[JohnLock Fanfiction] BBC Sherlock the series – Take a break

Title: BBC Sherlock Little boy the series – Take a break aka. Freelance ห้ามป่วย..ห้ามพัก..ห้ามรักหมอ

Pairing: Sherlock Holmes x John Watson or Benedict Cumberbatch x Martin Freeman

Author: Babibubell

Talk: เอาจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งเสร็จแล้วแต่ไม่ค่อยอยากลงเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าตัวเองแต่งได้แย่มาก T^T ประมาณว่า ให้ตายยังไงก็ไม่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของเชอร์ล็อกได้เลย (ฮื้อ) มันก็เลยออกมาแปร่งๆ หลุดคาแรกเตอร์หน่อยๆ ก็ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะก๊ะ T v T ชอบไม่ชอบยังไงก็อย่าลืมไปอุดหนุนหนังไทยเรื่อง Freelance ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราด้วยนะคะ (เกี่ยวไร้วว ฮ่า) คิดดูว่าแต่งเสร็จนานขนาดไหน แต่งเสร็จก่อนหนังจะเข้าโรงซะอีก ฮื้อ…

 

 

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

 

 

“สามสิบแปดองศา เป็นไข้อย่างสมบูรณ์แบบ”

 

หลังจากพูดประโยคนี้จบ มิสซิสฮัดสันก็บ่นอะไรไม่รู้ยืดยาวมาอีกร้อยแปดพันประโยค พร้อมกับสะบัดปรอทที่ใช้วัดไข้ไปมา แล้วเดินหายไปยังโซนห้องครัวในห้องพักของชายหนุ่ม ปล่อยให้เจ้าของห้องนอนพ่นลมหายใจร้อนๆ อยู่บนโซฟาตัวยาวสีน้ำตาลตุ่นอย่างหมดสภาพ ใบหน้าคมคายที่ปกติดูหยิ่งยโสอยู่เสมอ บัดนี้กลับแดงก่ำด้วยพิษไข้ ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองดูอิดโรยเหมือนจะเปิดเปลือกตาไม่ขึ้นยังไงยังงั้น แขนขาไม่มีเรี่ยวแรงจะกระดิกกระเดี้ยไปไหน ตอนนี้ต่อให้มิสซิสฮัดสันบีบจมูกเขาแล้วบังคับให้กินยาพิษเข้าไป เขาก็คงไม่มีแรงขัดขืนใดๆ

 

“ฉันว่าไปหาหมอดีกว่านะ”

 

เธอเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถุงน้ำแข็งแล้วแปะลงบนหน้าผากเขา มิสเตอร์โฮล์มส์ที่นอนนิ่งไม่ไหวติงมานานขมวดคิ้วน้อยๆ ทันทีที่ความเย็นแผ่ซ่านบนใบหน้าที่ร้อนผ่าว อยากจะยกมือมาหยิบถุงน้ำแข็งออกแต่ก็ไม่มีแรง ถึงอย่างนั้นปากกลับยังปฏิบัติการได้ดีอยู่

 

“ถ้าผมมีแรงเดินไปหาหมอล่ะก็…ผมจะมานอนแบ็บอยู่แบบนี้มั้ย? คิดสิ คิด”

 

ผงกหัวขึ้นมาบ่นเหน็บอีกฝ่ายได้หน่อยหนึ่งก็ทิ้งศีรษะลงตึงกับที่วางแขนโซฟาอย่างเดิมเพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าหัวมันหนักอึ้งราวกับมีอะไรมาถ่วงไว้ โอเค นั่นมันก็แค่การพูดจาเปรียบเปรยเพราะความจริงแล้วหัวเขาไม่ได้มีอะไรมาถ่วง แต่มันเป็นเพราะเขาไม่สบายต่างหาก

 

มิสซิสฮัดสันที่ได้ยินคำประชดแบบนั้นก็หันหลังขวับ โบกมือเหนือศีรษะไปมาเป็นนัยว่า ‘เรื่องของเธอจ้า’ แล้วก็เดินออกจากห้องพักชายหนุ่มลงบันไดไปยังห้องพักตนเองที่อยู่ชั้นล่างอย่างไม่สนใจไยดี

 

ความเงียบสงบกลับมาอีกครั้ง ไร้ซึ่งเสียงจู้จี้ของมิสซิสฮัดสัน เชอร์ล็อก โฮล์มส์กระตุกยิ้มเล็กๆ อย่างสมใจ เขาหลับตาลงฟังเสียงแห่งความเงียบงัน มันเงียบมากจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเองดังเป็นจังหวะเบาๆ เงียบจนได้ยินเสียงวิ้งๆ ที่ก้องอยู่ในหัว เงียบเกินไปจนรู้สึกเหมือนร่างกายเขากำลังค่อยๆ หายเข้าไปในความมืดที่รายล้อมรอบตัวยามเมื่อดวงตาปิดสนิท

 

อย่างที่บอกว่าร่างกายอ่อนแอ แต่น่าแปลกที่สมองกลับทำงานได้ดี ที่จริงจะพูดว่า ‘ได้ดี’ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะเหมือนมันจะคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องเสียมากกว่า เพราะจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน คล้ายกับมนุษย์คนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ไร้เพื่อนฝูงที่คอยพูดคุยให้คำปรึกษา ไร้พี่น้องที่คอยดูแลยามเดือดร้อน ไร้…คนรักที่คอยเอาใจใส่ยามเจ็บป่วย ด้วยเพราะเขาไม่เคยสุงสิงหรือติดต่อกับเพื่อนคนใดเลย พี่ชายที่มีเขาก็ไม่อยากจะสนิทด้วยสักเท่าไหร่ เรื่องคนรักไม่ต้องพูดถึง แถมยิ่งมายึดอาชีพนักสืบที่ปรึกษาเป็นงานฟรีแลนซ์แบบนี้ จากที่ไม่มีใครคบอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้เพราะกลัวจะโดนเขาจับผิด ขุดคุ้ย และรู้ทันไปเสียหมดเข้าไปใหญ่ ในเมื่อไม่มีเป้าหมายอื่นใดอีก ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจึงมีแต่งาน ทำแต่งาน เพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกว่างจนเบื่อถึงขั้นต้องจินตนาการว่ากำลังต่อสู้กับฆาตกรต่อเนื่อง หรือต้องยิงปืนใส่กำแพงเล่นให้มิสซิสฮัดสันปวดหัวอีก

 

แต่ยามอ่อนแอเช่นนี้ บางทีก็อยากจะมีใครสักคนที่กุมมือเขาไว้ยามหลับ ให้มั่นใจว่าจะไม่ทิ้งเขาไว้ท่ามกลางความมืดมิด อยากได้รับความรู้สึกว่า พอลืมตาตื่นขึ้นมาจะเจอคนคนนั้นอยู่ข้างกาย ไม่จากไปไหน

 

ทำไมคนอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ถึงได้คิดอะไรเพี้ยนๆ อย่างนี้ได้นะ

 

เป็นเพราะพิษไข้แน่ๆ ไม่งั้นเขาไม่มีวันอยากมีความรู้สึกน่าขนลุกแบบนั้นหรอก

 

ใช่…เพราะพิษไข้นั่นแหละ…

 

 

 

 

 

เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ของชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ ดวงตายังไม่ทันจะลืมขึ้น แต่จมูกกลับรับกลิ่นได้ไวกว่า หูก็ได้ยินเสียงเคร้งของถ้วยกระเบื้องกระทบจานรองได้รวดเร็วยิ่งนัก นี่มิสซิสฮัดสันแอบมานั่งดื่มชาในห้องเขาหรือ อย่างนี้ต้องบ่นเสียหน่อยแล้ว

 

เร็วเท่าความคิด เปลือกตาที่คิดว่าหนักอึ้งกลับลืมได้ไวมากอย่างน่าแปลกใจ พอเปลือกตาบางเปิดขึ้นเท่านั้นแหละ ภาพตรงหน้ากลับไม่ใช่วิวห้องที่คุ้นเคย มันถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาคนนั้นมีผมสีน้ำตาลอ่อนดูน่าสัมผัส ดวงตาสีฟ้าเทาดูเป็นมิตรกำลังจ้องมองมายังเขาตาปริบๆ ก่อนริมฝีปากสวยจะระบายยิ้มแล้วเปล่งคำพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“ดีจัง คุณตื่นแล้ว…”

 

น้ำเสียงแผ่วเบาแต่ให้ความอบอุ่นอย่างประหลาดนั่นกลับทำให้เชอร์ล็อก โฮล์มส์งงเป็นไก่ตาแตก เจ้าผู้ชายหน้าตาน่ารัก แต่ถุงใต้ตาย้อยนิดๆ นี่เป็นใคร เขาพยายามจะใช้สมองวิเคราะห์ดูแล้ว แต่ดูเหมือนว่าดวงตากับรอยหยักในสมองจะไม่ค่อยสามัคคีกันสักเท่าไหร่ ใบหน้าของคนคนนี้มีผิวสีแทนคล้ำแดดนิดๆ แต่ตรงข้อมือกลับไม่เป็นแบบนั้น น้ำเสียงที่ใช้พูดให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ยินตอนเด็กๆ อยู่บ่อยๆ ผู้ชายคนนี้มานั่งอยู่ในห้องเขาพร้อมชาฝีมือมิสซิสฮัดสันได้แสดงว่าทั้งสองคนต้องรู้จักกันพอสมควร เครื่องแต่งกายธรรมดาๆ ไม่ได้บ่งบอกอาชีพอะไร แต่ดูแล้วไม่ใช่คนมีฐานะอะไรนัก ทั้งๆ ที่มีข้อมูลแต่สุดท้ายกลับอ่านคนคนนี้ไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นใคร มาจากไหน เข้ามานั่งในห้องเขาได้ยังไง จนสุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นคนเอ่ยเฉลยขึ้นมาก่อน

 

“กำลังสงสัยเลยว่า ถ้าคุณยังจับมือหมอแน่นไม่ยอมปล่อยแบบนี้ อีกสักสองสามชั่วโมงหมอจะทำยังไง”

 

“หมอ?”

 

ไม่ใช่สิ! มือต่างหากล่ะ นี่เขาจับมือผู้ชายคนนี้อยู่งั้นเรอะ?

 

คิดได้ดังนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะยังไม่แข็งแรงดี พอลุกเร็วๆ แบบนี้เลยมึนหัวจนล้มลงไปนอนกองอีกรอบ แต่คราวนี้สัมผัสที่ศีรษะกลับเปลี่ยนไป ไม่ใช่ที่เท้าแขนแข็งๆ ของโซฟาแต่เป็นหมอนสีขาวใบนุ่มที่มีกลิ่นแชมพูอ่อนๆ ของเขาเองติดอยู่

 

นี่มัน…หมอนใบโปรดเขานี่?

 

“โทษทีนะที่ถือวิสาสะเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบหมอนมารองหัวให้ แค่คิดว่า…ถ้าเป็นหมอเองก็คงไม่อยากจะนอนหนุนที่เท้าแขนแข็งๆ แบบนี้สักเท่าไหร่”

 

พูดพลางส่งยิ้มอ่อนละมุน ก่อนจะเบนสายตาลงต่ำ

 

“เอ่อ ถ้าไม่รบกวนเกินไป ช่วยปล่อยมือหมอก่อนได้มั้ย?”

 

พอได้ยินแบบนั้นเชอร์ล็อก โฮล์มส์ก็ยกมือตัวเองขึ้นมาทันที ข้างหนึ่งน่ะมันว่างเปล่า แต่อีกข้างนี่สิเต็มๆ เขากุมมือคุณหมอไว้ซะแน่นเลย

 

“เฮ้ย!”

 

ว่าแล้วก็ผละออกอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่อุณหภูมิอันอบอุ่นนั้นจางหายไป หัวใจมันก็เบาๆ โหวงๆ เหมือนจะหายตามไปด้วย เขาก้มมองมือตนเองข้างนั้นแล้วแอบเหลือบมองมือเล็กๆ ของคุณหมอที่กำๆ แบๆ ขยับนิ้วเพื่อคลายความเมื่อยล้าอยู่นั้นด้วยความเสียดาย

 

อยากได้ความอบอุ่นจากมือนั้นอีกครั้ง

 

“ห้องนอนคุณเรียบๆ ดีนะ มีชาร์ตตารางธาตุด้วย สมัยตอนที่หมอเรียนก็มีแบบนี้อยู่อันนึงติดไว้ตรงหัวนอน เหมือนกัน เอ่อ…” พอเห็นอีกฝ่ายจ้องมองมาที่ตนนิ่งๆ คุณหมอร่างเล็กก็เลยรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “เอาเป็นว่า หมอว่าคุณน่าจะอาการดีขึ้นแล้ว ถ้ายังไงทานยาให้ครบตามที่ระบุไว้ก็คงจะหายภายในสองสามวันนี้นะครับ พักผ่อนเยอะๆ อย่าออกไปเที่ยวเล่นสืบคดีที่ไหนล่ะพ่อนักสืบ หมอขอตัวก่อน”

 

รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องอีกครั้ง จะทำยังไงเพื่อให้ได้ครอบครองความอบอุ่นนั้นอีก จะทำยังไงเพื่อให้ได้กุมมือเล็กๆ นั้นอีก จะทำยังไง…

 

หมับ!

 

เขาบอกแล้วว่าสมองเขายังทำงานได้ดีกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนัก

 

เชอร์ล็อก โฮล์มส์ฝืนกายลุกขึ้นมานั่ง มือเรียวที่ตอนแรกดูไร้เรี่ยวแรงกลับยื่นตรงไปข้างหน้า เอื้อมไปรั้งเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลอ่อนของคุณหมอร่างเล็กเอาไว้จนอีกฝ่ายชะงักแล้วหันกลับมามอง เจ้าของห้องร่างสูงก้มหน้าก้มตางุดๆ ไม่เงยขึ้นมาสบกับอีกฝ่าย ริมฝีปากที่บวมแดงเพราะพิษไข้พูดเบาๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ

 

“เอ่อ…แล้วถ้าผมไม่หาย คุณหมอจะกลับมาดูอาการอีกมั้ย?”

 

พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง นี่เขาอายุเจ็ดขวบหรือไงถึงได้พูดอ้อนคุณหมออย่างนี้ เพราะพิษไข้แน่ๆ ที่ทำให้เขาเพ้อเจ้อ!

 

คุณหมอร่างเล็กระบายยิ้มละมุน ก่อนจะย่อตัวลงนั่งชันเข่าให้ความสูงระหว่างใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ระดับเดียวกัน

 

“ต้องมาสิ” แล้วมือเล็กๆ ก็เอื้อมมากุมมือของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ไว้อีกครั้ง บีบเบาๆ จนเจ้าตัวเงยหน้าสบดวงตาสีฟ้าเทา “แต่ถ้าหายหวัดแล้วไม่ต้องมาเจอหมออีก หมอจะดีใจกว่านี้นะ”

 

คำตอบนั้นทำเอาใบหน้าคมคายที่ดูอิดโรยเพราะพิษไข้อยู่แล้วดูหงอยลงไปอีก เป็นครั้งแรกที่เขาอยากเจอคุณหมอ ทั้งๆ ที่ปกติเวลาไม่สบายอะไรเขาไม่เคยคิดจะไปหาหมอด้วยซ้ำ

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ยืนขึ้นเต็มความสูงหลังพูดจบอย่างช้าๆ คุณหมอร่างเล็กส่งยิ้มบางๆ ให้พลางยกมือขึ้นมาขยี้ผมหยักยุ่งของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

 

คราวนี้เชอร์ล็อก โฮล์มส์ไม่ได้เอื้อมมือไปรั้งร่างนั้นไว้ เขาเพียงแต่มองแผ่นหลังนั้นเดินออกจากห้องไป ก่อนจะยกมือข้างที่ยังหลงเหลืออุณหภูมิอุ่นร้อนนั้นขึ้นมามองด้วยความเสียดาย

 

แว่วเสียงบทสนทนาของคุณหมอคนนั้นกับมิสซิสฮัดสัน เป็นเสียงคำปฏิเสธไม่ยอมรับค่าตรวจรักษาและค่าเสียเวลา ด้วยเพราะกลับมาลอนดอนทีไร มิสซิสฮัดสันก็มีน้ำใจแบ่งขนมให้กับคุณหมอคนนั้นมาตลอด แถมเขายังได้ยินอีกว่า คราวนี้อีกฝ่ายอยู่ได้นานหลายอาทิตย์กว่าจะกลับอัฟกานิสถาน พอรู้ความดังนั้น เด็กชายเชอร์ล็อกก็ถีบผ้าห่มผืนหนาลงไปกองกับพื้น ก่อนจะถอดเสื้อคลุม เสื้อสเวตเตอร์แขนยาวกับเสื้อยืดตัวข้างในออกจนท่อนบนเปลือยเปล่า แล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาทั้งแบบนั้น

 

หลังจากนั้นก็แค่รอ…

 

รอให้ตัวเขาเป็นหวัดอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเขาจะเดินไปบอกกับมิสซิสฮัดสันด้วยตนเองว่าเขาเป็นหวัด และต้องการคุณหมอแบบด่วนที่สุด

 

ถ้าเธอถามเขาว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงพูดแบบนั้น…เขาจะตอบว่าเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เขาเพ้อแบบนี้

 

ใช่…เพราะพิษไข้นั่นแหละ

 

 

 

 

 

สามสี่วันต่อมา มิสเตอร์โฮล์มส์ยังคงนอนป่วยอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลตุ่นตัวเดิม

 

มิสซิสฮัดสันยืนมองเขาแล้วส่ายหัวไปมาด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ เอาจริงๆ หลังจากที่วันก่อนคุณหมอที่เธอรู้จักแวะมาเยี่ยม เธอเลยขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยดูอาการของชายหนุ่มให้หน่อย พอคุณหมอกลับไป อาการของเชอร์ล็อกก็ทำท่าว่าจะดีขึ้นแล้ว ทั้งอุณหภูมิของร่างกายที่ลดลง อาหารก็เริ่มกินได้นิดหน่อย เรี่ยวแรงกลับมามีมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงปากที่จิกกัดเธอได้ตลอดเวลา จนเธอค่อนข้างไว้ใจไม่ค่อยได้ขึ้นมาดูแลเขาแบบตอนแรก อีกอย่างเจ้าตัวก็ยืนยันด้วยว่าตนเองดีขึ้นมากแล้ว เธอก็เลยไม่ได้สนใจมากนัก

 

แต่พอวันนี้กลับทรุดหนักลงจนเธออดจะเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า

 

เสียงเรียกชื่อเจ้าของตึกดังจากชั้นล่าง มิสซิสฮัดสันได้ยินแบบนั้นก็หมุนตัวลงไปต้อนรับแขกทันที ปล่อยให้เชอร์ล็อก โฮล์มส์นอนกระตุกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเมื่อแผนที่ตนวางไว้สำเร็จเรียบร้อย ใช่แล้ว เขาทำตัวเองให้เป็นหวัดอีกครั้ง โดยการไม่กินยาตามหมอสั่ง แถมยังใส่เสื้อผ้าบางๆ สู้กับอากาศหนาว จะมีเพียงอย่างเดียวที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็คือไม่ได้ออกไปสืบคดีที่ไหน พอเช้าวันนี้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจนรับรู้ได้เลยว่าแผนตนเองลุล่วงแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้มิสซิสฮัดสันตามคุณหมอจอห์น วัตสันมาดูอาการเขาก็เท่านั้น

 

นอนรออยู่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา จากที่ดังอยู่ไกลๆ ก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มผมหยักยุ่งค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองภาพตรงหน้า มันเป็นภาพใบหน้าของคุณหมอผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนกำลังก้มหน้าลงมามองเขาด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่ค่อยสู้ดีนัก เห็นแบบนั้นแล้วเชอร์ล็อกก็อดกังวลใจไม่ได้ หากเป็นเขาในยามปกติคงไม่มีทางรู้สึกไม่มั่นใจแบบนี้

 

“คุณไม่ทำตามที่หมอสั่งเลยสักนิด”

 

เสียงที่เคยอ่อนโยนกลับแข็งกร้าวและติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเทาคู่นั้นมองมายังเขาด้วยสายตาผิดหวัง นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดในโลกอีกต่อไป

 

“เอ่อ…”

 

“ถ้าเป็นแบบนี้หมอก็ไม่รู้จะรักษาคุณไปทำไม เพราะคุณไม่คิดจะหายป่วยตั้งแต่แรกแล้ว ขนาดคุณยังไม่อยากดูแลตัวเอง แล้วใครจะอยากมาดูแลคุณล่ะครับ?”

 

“ไม่…”

 

“เอาเป็นว่าหมอกลับดีกว่า ลาล่ะครับ”

 

พูดจบก็หมุนตัวเตรียมก้าวเท้าเดินออกไปทันที เห็นแบบนั้นแล้วสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ยามป่วยไข้ก็คือต้องหยุดคนคนนี้เอาไว้ และมันก็เร็วเท่าความคิด มือเรียวยาวของชายหนุ่มเอื้อมไปข้างหน้าหวังจะรั้งข้อมือขาวของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อออกไปด้วยเสียงอันดังอย่างต้องการให้คุณหมอหันกลับมาสนใจตนเองอีกครั้ง

 

“จอห์น!”

 

เจ้าตัวผวาลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาอย่างรวดเร็วจนหัวตนเองโขกเข้ากับศีรษะกลมๆ ของคุณหมอตัวเล็ก ดูจากความแรงที่ของแข็งทั้งสองกระทบกันเล่นเอาอินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธที่ตัวเล็กกว่าถึงกับหงายหลังลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นทันที แน่นอนว่าคนตัวสูงที่นั่งอยู่บนโซฟาก็มึนไม่แพ้กัน

 

“คนไข้ฟื้นแล้ว!”

 

เสียงเล็กๆ ของนางพยาบาลไอวิชตะโกนดังลั่น จากตอนแรกที่เธอขดตัวกลมบ๊อกขีดๆ เขียนๆ อะไรสักอย่างที่เธอเรียกมันว่า ‘เอกกะฉานทางการแพด’ พอเธอเห็นว่าคุณลุงฮิปโปที่จู่ๆ ก็เป็นลมสลบล้มตึงไปฟื้นขึ้นมา เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับปีนขึ้นไปบนโซฟาแล้วเอาหลังมือแตะหน้าผาก ‘คนไข้’ ของเธอทันที พอคุณหมออินเดียเห็นแบบนั้นก็ไม่รอช้า จากที่นอนหงายท้องยกมือขึ้นถูหน้าผากป้อยๆ อยู่ เธอก็รีบพลิกตัวขึ้นยืนแล้วปีนโซฟามาประกบ ‘คนไข้’ ข้างที่ว่างทันที

 

ส่วนคนไข้ที่เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังพูดถึงอยู่นั้นก็ได้แต่นั่งอึนๆ ด้วยสายตาเหม่อลอยราวกับเพิ่งถอดจิตไปท่องกาลเวลามายังไงยังงั้น

 

นี่เขาไม่ได้อยู่ในเรื่อง Doctor Who ใช่ไหม?

 

ไม่หรอก เขาน่าจะอยู่ในเรื่อง Sherlock มากกว่า

 

“ไข้ยังไม่ลดเลยค่ะคุณหมออินเดีย”

 

“จริงด้วยค่ะ งั้นเราต้องฉีดยาเพิ่มแล้วเนอะ นางพยาบาลไอวิช ไข้จะได้ลด”

 

พอคุณหมออินเดียสั่งแบบนั้น นางพยาบาลไอวิชก็ตาวาวทันที เธอยิ้มแป้นจนตาหยี ยกมือขวาสั้นๆ ขึ้นตะเบ๊ะเป็นการรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ก่อนจะค่อยๆ ถอยหลังถัดตัวลงจากโซฟา พอเท้าแตะพื้นได้เท่านั้นแหละ เธอก็สับเท้าเล็กๆ วิ่งจู๊ดไปหน้าทีวีเครื่องใหญ่ ก้มหยิบเอาดินสอที่เธอใช้เขียนเอกสารเมื่อสักครู่นี้วิ่งกลับมายื่นให้กับเด็กหญิงผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ด้านขวามือคนไข้ทันที

 

ส่วนคนไข้นั้นกำลังมึนงงได้ที่ ชายหนุ่มผมหยักยุ่งขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองหรี่ลงมองยังสภาพรอบกายตนเอง ใช่ เขายังนั่งอยู่บนโซฟาเหมือนเดิม จะต่างกันก็แค่สีของโซฟาเท่านั้น และตรงหน้าเขาก็ไม่ใช่วิวห้องรับแขกแบบที่ควรจะเป็น ผนังห้องไม่ได้ปูวอลล์เปเปอร์สีน้ำตาลเข้มที่มีลวดลายสีอ่อน แถมที่ผนังก็ไม่มีรูจากการโดนปืนยิงอีกต่างหาก ไม่มีกลิ่นชาอ่อนๆ ของมิสซิสฮัดสัน มีแต่กลิ่นหอมนมหวานๆ ที่มักติดตามตัวเด็กตลบอบอวลไปทั่ว

 

ไม่มีคุณหมอที่ชื่อจอห์น วัตสันอีกแล้ว ตรงหน้าเขาตอนนี้มีเพียง…

 

“คุณหมอจะฉีดยาแล้วนะคะ เจ็บนิดเดียวเหมือนมดกัดเนาะ เด็กดีต้องไม่ร้องไห้น้า…”

 

เสียงเล็กแหลมพูดปลอบหลอกล่ออย่างอ่อนโยนแบบที่เวลาเจ้าตัวไปหาคุณหมอแล้วมักจะได้ยินแบบนี้เสมอๆ พอพูดจบ ปลายดินสอก็จิ้มจึกเข้าไปยังต้นแขนด้านขวาของชายหนุ่มร่างสูงทันที จากที่กำลังนั่งสะลึมสะลือ เสียดายความอบอุ่นจากมือคู่นั้นอยู่ อารมณ์ทั้งหลายและภาพฝันก็สลายไป เมื่อความเจ็บที่ต้นแขนแล่นจี๊ดขึ้นสมอง ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองก็เบิกกว้างก่อนจะแหกปากดังลั่นห้องพัก

 

“อ๊าก!”

 

ชายหนุ่มสะบัดแขนเร่าๆ เรียกเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจากคุณหมอและนางพยาบาลตัวน้อยได้เป็นอย่างดี แต่พอสิ้นเสียงทุ้มต่ำที่ตะโกนร้องออกมาเท่านั้นแหละ เสียงหวานติดจะหงุดหงิดก็ดังออกมาจากปากชายหนุ่มเจ้าของห้องที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ทันที

 

“คริส! ทำไมไม่ดูเด็กๆ เลย ปล่อยให้ไปเล่นกับเบนได้ไง เดี๋ยวก็ติดหวัดหรอก”

 

ทอม ฮิดเดิลสตันเอามือป้องโทรศัพท์มือถือเอาไว้ พลางชะโงกหน้าออกมาจากห้องนอนมองภาพโกลาหลด้านนอกที่ตอนนี้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังวิ่งไล่จับเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนที่วิ่งหนีไปมารอบๆ โซฟาที่เพื่อนสนิทของตนสลบเหมือดไปอีกรอบ

 

ให้ตายสิ! เรื่องแค่นี้ยังดูแลไม่ได้ แล้วจะให้เขาฝากชีวิตไว้กับหมอนั่นได้ยังไง เฮ้อ!

 

“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับศาสตราจารย์ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

 

ดวงตาสีมรกตละสายตาจากภาพความวุ่นวายตรงหน้า มองจ้องไปยังเพื่อนสนิทของตนที่นอนแผ่พังพาบอยู่บนโซฟาอีกครั้ง เห็นแล้วก็ไม่รู้จะหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าหรือทำท่าสำนึกผิดปลอบใจมันดี เอาเป็นว่าสงสารเล็กๆ ก็แล้วกัน เพราะสาเหตุที่ทำให้เพื่อนซี้หัวยุ่งต้องมาเป็นไข้นอนซมอยู่แบบนี้ก็มาจากเขานี่แหละ

 

โอเค ถึงเขาจะเป็นฝ่ายผิดที่ทำให้หมอนี่ต้องผิดใจกับศาสตราจารย์ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าเจ้าเพื่อนบ๊องของเขาจะง้อด้วยวิธีประหลาดๆ ขนาดยอมไปยืนท้าลมหนาวแบบนั้นน่ะ…

 

เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาเคลียร์ปัญหาขี้ปะติ๋วกับเจ้าหมีร่างยักษ์นั่นเสร็จ เจ้าบ้าเบนกับเด็กๆ ก็โผล่พรวดออกมาจากในห้องตอนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน มายืนค้ำหัวเขาที่นอนหนุนแขนคริสอยู่บนพื้น แล้วหัวเราะหึๆ ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ปนสะใจเสียเต็มประดา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปากด่าแล้วก็ไถ่ถามว่า จู่ๆ หมอนี่โผล่มาที่ห้องเขาทำไมตอนดึกป่านนี้ แล้วที่บอกว่าจะเคลียร์นี่คือเคลียร์เรื่องอะไร อยู่ดีๆ สีหน้าของเบนก็เปลี่ยนไป ก่อนเรียวขายาวจะทรุดลงและพาร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้นทันที

 

โชคดีที่คริสยังพอเหลือสติอยู่บ้าง ลุกขึ้นมารับอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ไม่งั้นเจ้าเพื่อนตัวดีคงได้ล้มหัวฟาดพื้นกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแน่ ทีนี้ก็ไม่ต้องร้งต้องรู้มันแล้วว่าตกลงมันมาเคลียร์เรื่องอะไร

 

หลังจากที่เบเนดิกต์ล้มไป คริสบอกกับเขาว่าตัวเบนร้อนมากน่าจะเป็นไข้ พอเขาลองเอื้อมมือไปแตะหน้าผากดูก็พบว่ามันร้อนมากจริงๆ เขาให้คริสอุ้มเบนไปนอนบนโซฟาก่อนที่ตนเองจะเดินเข้าไปในห้องครัว หาถุงน้ำแข็งลดไข้มาแปะหน้าผากของเพื่อนรักเอาไว้ ด้วยความที่ไม่รู้จะโทรศัพท์ไปบอกใคร เพราะหมอนี่อยู่แฟลตคนเดียว เพื่อนสนิทที่ไหนก็ไม่มี ถึงเขาจะจำได้ว่าเบนมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งแต่ก็ไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเธออยู่ดี เพราะงั้นอย่ามาตายในห้องเขานะเฟ้ย!

 

และความซวยทั้งหมดก็เลยมาตกอยู่ที่คนสนิทเพียงคนเดียวของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ที่เขารู้จัก

 

ศาสตราจารย์มาร์ติน ฟรีแมน

 

พอเขาโทรไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้ศาสตราจารย์ฟัง ฝ่ายนั้นก็ดูจะอึ้งๆ ไป แล้วยิ่งตอนที่เขาบอกถึงข้อสันนิษฐานของตนเองไปว่า สงสัยหมอนั่นคงไปบ้ายืนตากลมเพื่อทดลองวิทยาศาสตร์อะไรมาแน่ๆ ปลายสายก็เงียบสนิทแทบจะไม่ได้ยินเสียงลมหายใจเลยด้วยซ้ำ แค่นั้นทอม ฮิดเดิลสตันก็รู้แล้วว่า เรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับศาสตราจารย์ด้วยแน่ๆ

 

ใจจริงก็ไม่อยากถามหรอกนะ เพราะเขาไม่ใช่พวกชอบสอดรู้สอดเห็นแบบเบนสักเท่าไหร่ แต่พอดีตอนนี้ของกลางมันนอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟากลางห้องพักเขาน่ะสิ เพราะฉะนั้นเขาก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ด้วยจริงไหม? อีกอย่างหนึ่ง ลางสังหรณ์มันบอกว่านอกจากจะเกี่ยวกับศาสตราจารย์ร่างเล็กนี่แล้ว น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เบนจะมาเคลียร์กับเขาวันนี้ด้วยแน่ๆ แล้วพอประโยคถัดมาดังออกมาจากปลายสายเท่านั้นแหละ

 

‘เอ่อ เบนไม่ได้ไปทดลองวิทยาศาสตร์อะไรหรอก เขาไป เอ่อ ยืนรอฉันน่ะ’

 

นั่นไง! โป๊ะเชะ! ศาสตราจารย์ไม่ต้องพูดต่อเขาก็พอจะเดาเรื่องราวได้ ก็อยู่กับไอ้เพื่อนบ้านักสืบมาตั้งนาน ไอ้เรื่องตั้งข้อสังเกตสังกาแล้วรวบรวมหลักฐานอะไรแบบนี้น่ะเขาก็พอซึมซับมาได้อยู่บ้าง สรุปว่าคนที่เบนส่งข้อความไปยกเลิกนัดเพื่อไปดูหนังกับเขาก็คือศาสตราจารย์นี่เอง แล้วพอเขาทิ้งมันไว้คนเดียวเพราะคุณครูของไอวิชโทรมาตามเขาให้ไปพบเสียก่อน เบนก็คงเลิกดูหนัง แล้วช่วงต่อจากนั้นคงมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่หมอนั่นอยากจะไปง้อศาสตราจารย์สินะ แต่ก็ไม่รู้ใช้วิธีง้อแบบไหน เพราะหมอนั่นมันเหมือนมนุษย์มนาเสียที่ไหนล่ะ ผลเลยกลายมาเป็นแบบนี้

 

เฮ้อ…นี่สินะที่เขาบอกว่า…

 

“อัจฉริยะกับคนบ้าต่างกันแค่เส้นบางๆ กั้น”

 

“นั่นแหละ คำนั้นเลย เฮ้ย!”

 

จู่ๆ เสียงที่ต่อประโยคที่เขาคิดไว้ในใจจนจบกลับไม่ใช่เสียงของตนเอง แต่เป็นเสียงทุ้มงึมงำของรูมเมทร่างใหญ่ ทอมที่ได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปมองทันทีที่คิดได้ แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่เพราะดูยังไงมันก็เหมือนพ่อหมีกล่อมลูกหมีให้นอนยังไงยังงั้น

 

คริส เฮมส์เวิร์ธยืนอยู่ข้างๆ โซฟาหน้าทีวีเครื่องใหญ่ ในอ้อมแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มนั้นถูกจับจองพื้นที่ด้วยเด็กน้อยทั้งสองคน เด็กหญิงอินเดียยึดแขนซ้าย เด็กหญิงไอวิชยึดแขนขวา สุดท้ายแล้วคุณหมออินเดียกับนางพยาบาลไอวิชก็สลบเหมือดไปไม่แพ้คนไข้เหมือนกัน แขนสั้นๆ ทั้งสองข้างของเด็กๆ ต่างห้อยต่องแต่งอยู่บนแผ่นหลังกว้างของคริส เอนหัวซบเข้าซอกคอร่างสูงใหญ่แบบที่เรียกว่าคอพับคออ่อน ริมฝีปากเผยอนิดๆ จากการที่แก้มยุ้ยๆ แนบลงกับไหล่กว้างจนดูเหมือนว่าน้ำลายจะไหลย้อยออกมาหน่อยๆ ดูน่ารักน่าชังจนเขาอยากจะมีลูกเป็นของตัวเองสักโหลนึง

 

ก็อย่างว่าล่ะนะ นี่มันเลยเวลาที่เด็กดีควรจะเข้านอนไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรนั่นขึ้นมาก่อน เขาก็คงเอาหลานสองคนเข้านอนไปตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้วล่ะ

 

“ขำอะไรน่ะทอม”

 

พ่อหมีตัวใหญ่ยืนทำหน้าสงสัยพร้อมโคลงตัวไปมาเบาๆ ราวกับจะกล่อมเด็กน้อยให้หลงอยู่ในวังวนนิทราไม่ตื่นมาขัดจังหวะอะไรพวกเขาได้อีกหากคืนนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น นอกจากจะโคลงตัวแล้วคริสยังเดินหมุนไปหมุนมาไม่อยู่กับที่อีกด้วย คนตัวใหญ่ที่ปกติจับแต่ลูกรักบี้ พอมาอุ้มเด็กตัวน้อยๆ แบบนี้ดูแล้วน่ารักชะมัด!

 

แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยตอบอะไร เสียงครางต่ำๆ ก็ดังมาจากเบื้องล่าง เรียกสายตาทั้งสองคู่ให้หลุบต่ำลงมองทันที ชายหนุ่มร่างสูงที่นอนอยู่บนโซฟาขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เปลือกตาบางกระตุกอยู่สองสามครั้งราวกับเจ้าตัวกำลังฝันร้าย พร้อมๆ กับมือที่ยื่นตรงมาข้างหน้าคล้ายกับจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง

 

“จอห์น…”

 

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่สองคนหันมามองหน้ากันพลางขมวดคิ้วมุ่นไม่แพ้คนที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยความประหลาดใจ

 

จอห์น? จอห์นไหน?

 

 

 

 

 

สมองของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ตื่นตัวตั้งแต่เช้าด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายอะไรก็ไม่รู้ที่เขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย มันเหมือนเขากำลังนอนอยู่กลางสนามเด็กเล่น ท่ามกลางเจ้าพวกมนุษย์ข้อเดียวที่วิ่งผ่านหัวเขาไปมายังไงยังงั้น อยากจะลืมตามองสภาพแวดล้อมรอบกายแต่ที่ทำได้ก็คือยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างเดิม หัวมันหนักราวกับมีใครเอาหินมาถ่วงไว้ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นเพราะพิษไข้ที่กำลังรุมเร้าเขาอยู่ตอนนี้ต่างหาก

 

“ไอวิช อินเดีย สายแล้วนะ! หม่ำซีเรียลชามนี้หมดเมื่อไหร่เราจะได้ไปโรงเรียนกัน โอเคมั้ยคะ?”

 

โอเค ตอนนี้เขาเริ่มได้ยินเสียงที่พอจะคุ้นหูบ้างแล้ว มันฟังดูเหมือนเสียงเพื่อนสนิทของเขาเอง ทอม ฮิดเดิลสตัน แต่วิธีการพูดกับเนื้อหาที่เขาได้ยินนั้นมันไม่คุ้นเอาเสียเลย หม่ำซีเรียล? ไปโรงเรียน? โอเคมั้ยคะ? หรือว่าเขายังไม่หลุดออกมาจากซีรีส์ Doctor Who กันแน่นะ

 

“ขออินเดียขี่หลังป๊ะป๋าไปโรงเรียนได้มั้ยคะ”

 

“อ๊าๆ หนูด้วยๆ งั้นไอวิชขี่หลังอาทอมไปโรงเรียนด้วยนะคะ”

 

โอเคๆ เขายังไม่หลุดออกมาจากซีรีส์ Doctor Who แน่ๆ ขี่หลังไปโรงเรียนบ้าบออะไรกัน ทำอย่างกับว่าทอมกับคริสมีลูกด้วยกันแล้วอย่างนั้นแหละ

 

เฮ้ย! หรือว่า!

 

“ไม่มีใครได้ขี่หลังใครทั้งนั้นค่ะ ถ้าหนูสองคนยังหม่ำซีเรียลชามนี้ไม่…เฮ้ย! เบน!”

 

จู่ๆ ร่างสูงที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟามานานก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว เล่นเอาเจ้าของห้องอย่างทอมที่กำลังสู้รบปรบมือหลอกล่อเด็กน้อยทั้งสองให้กินอาหารเช้าให้หมดเพื่อจะได้ไปโรงเรียนอยู่นั้นถึงกับตกใจจนอุทานเสียงดัง ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินออกจากโซนห้องครัวเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้าตาตื่นกลัวแบบแปลกๆ อย่างที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

“เบน นายโอเคมั้ย?”

 

“ไม่ ไม่โอเค นี่วันที่เท่าไหร่ ปีอะไร นี่เรายังอาศัยอยู่บนโลกไม่ใช่ดาวอังคารใช่มั้ย แล้วนายกับคริสมีลูกด้วยกันแล้วเรอะ! นี่ฉันอยู่ในโลกอนาคตจริงๆ ใช่มั้ย? วิทยาศาสตร์ถึงได้ก้าวไกลขนาดผู้ชายก็ท้องได้แล้วเนี่ย โอ๊ย! เจ็บ ตีหัวฉันทำไม”

 

แว่วเสียงหัวเราะคิกคักมาไกลๆ ทำให้คนป่วยที่เพิ่งโดนตีหัวเมื่อครู่นี้หันไปมองยังต้นเสียงทันทีด้วยความขุ่นเคือง ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองมองเห็นเด็กน้อยสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวกำลังหัวเราะขำเอิ๊กอ๊ากกับการกระทำของเขาและชายหนุ่มผมดำเจ้าของห้อง

 

“คุณลุงฮิปโปตื่นแย้ววว”

 

ไม่รู้ว่าเสียงของไอ้จอมแสบคนไหนที่เป็นคนพูดขึ้นมา แต่นั่นก็พาสติของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์กลับมาโฟกัสอยู่ ณ ปัจจุบันจนได้ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่ได้อยู่ในซีรีส์ Doctor Who ไม่ได้ข้ามกาลเวลาอะไรมาทั้งนั้น ทอมกับคริสก็ไม่ได้มีลูกด้วยกันด้วย เพราะนั่นคือหลานของทั้งสองคนที่เป็นจอมป่วนหมายเลขสองกับหมายเลขสาม แน่นอนว่า หมายเลขหนึ่งเขายกไว้ให้เจ้าเด็กที่ชื่อยูจงยูจีนอะไรนั่นโดยเฉพาะ

 

และเมื่อคืนเขาก็ไปยืนรอศาสตราจารย์ร่างเล็กที่สวนตั้งหลายชั่วโมงตามคำแนะนำของแม่ผีสาวหน้าขาวในชุดกิโมโน ยังไม่ทันจะได้สวีตอะไรสักนิด พอพูดคำว่า สุกี้ยากี้ เอ่อ ไม่ใช่สิ ต้องเป็น…สุๆ เออ สุอะไรสักอย่างออกไปนั่นแหละ ก็โดนมาร์ตินชกเปรี้ยงเข้าเต็มรัก แถมยังโดนสั่งห้ามไม่ให้ไปที่บ้านยัยเด็กแสบเบอร์หนึ่งอีกด้วย ไม่งั้นเขาสองคนจบกัน

 

จบอะไรกัน แล้วจะจบกันได้ยังไง ในเมื่อเขายังไม่ได้เริ่มอะไรกับมาร์ตินเลยด้วยซ้ำ!

 

พอตั้งใจจะมาเคลียร์ปัญหากับทอมที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ก็ดันเกิดเรื่องอื่นขึ้นมาซะก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น จำได้แค่เพียง…อุณหภูมิอันอบอุ่นที่ฝ่ามือนี่แหละ

 

ร่างสูงยกมือขึ้นตรงหน้าพลางจ้องมองมันด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ ฝันสินะ นั่นมันก็แค่ความฝันสินะ มือเล็กๆ ทว่าอบอุ่นพาให้หัวใจเขาสั่นไหว เป็นความอบอุ่นแบบที่ไม่เคยมีใครมอบให้กับเขา อยากจะไขว่คว้ามือนั้นเอาไว้ เหนี่ยวรั้ง ยึดเอาไว้เป็นของเขาคนเดียว คุณหมอคนนั้น…ช่างคล้ายกับศาสตราจารย์ร่างเล็กของเขาเหลือเกิน

 

“มาร์ติน…”

 

“อ้าว นึกว่าจะเรียกว่า ‘จอห์น’ ซะอีก”

 

จู่ๆ น้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิดก็พูดแทรกขึ้นมา มันเป็นเสียงเล็กๆ ที่เขาคุ้นเคย คุ้นเสียยิ่งกว่าเสียงทุ้มหวานของทอม คุ้นเสียยิ่งกว่าเสียงงึมงำของรูมเมทร่างยักษ์ของเพื่อนเขา มันเป็นเสียงเล็กๆ ที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองได้ทุกครั้ง เสียงเล็กทว่าอบอุ่น เสียงเหมือนคุณหมอในฝันของเขา

 

“มาร์ติน…”

 

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาหันหน้าไปทางต้นเสียงทันที แล้วก็ต้องพบกับใบหน้าขาวที่ออกจะบูดบึ้งราวกับไม่พอใจอะไรอยู่สักอย่าง มาร์ติน ฟรีแมนยืนพิงขอบประตูห้องน้ำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอก ในมือถืออ่างน้ำเล็กๆ มีผ้าขนหนูสีขาวพาดไว้บนบ่า ดูก็รู้ว่าเตรียมมาเช็ดตัวให้เจ้าลูกศิษย์ตัวดีแน่ๆ

 

“หึ”

 

ริมฝีปากอิ่มพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้คนเด็กกว่าที่มองตามทุกการเคลื่อนไหวของเขาแบบที่เรียกได้ว่าตาไม่กะพริบ จนกระทั่งเขาหยุดลงตรงหน้าเบนนั่นแหละ เจ้าตัวถึงยอมเลิกหมุนคอมองตามเขาสักที

 

อ่างน้ำใบเล็กถูกวางลงตรงโต๊ะที่ตั้งอยู่ระหว่างโซฟากับทีวี และคนที่ถือมันมาก็นั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มผมหยักยุ่งที่นั่งป่วยอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน พอมานั่งใกล้กันแบบนี้ มาร์ติน ฟรีแมนก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าลูกศิษย์ของเขาดูป่วยแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าคมคายซีดขาว ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนฝืนลืมขึ้นมาและดูไม่สดใสแวววาวอย่างเคย ปากบางๆ บวมขึ้นและดูแดงจัดเพราะพิษไข้ เหงื่อกาฬทั้งหลายแย่งกันผุดพรายทั่วหน้าผากและข้างขมับ ทำเอาไรผมสีน้ำตาลเข้มเปียกชื้นไปหมด

 

ก็ได้ๆ เขาลดทิฐิลงให้ก็ได้ เห็นว่าป่วยหนักหรอกนะถึงยอมให้ขนาดนี้น่ะ

 

“ไหน ดูซิว่าไข้ลดลงรึยัง”

 

ว่าจบคนตัวเล็กก็เอื้อมมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่ายทันที เบเนดิกต์นั่งนิ่งยอมให้มือบางสัมผัสตนได้ง่ายๆ

 

“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”

 

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่อีกฝ่ายกลับไหวไหล่เบาๆ แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

“ขึ้นรถไฟใต้ดินแล้วก็เดินต่อเอา”

 

ดวงตาสีเทาเสมองไปทางอื่นอย่างไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย อุณหภูมิร้อนๆ ที่หน้าผากของร่างสูงทำให้เขารีบหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กลงไปชุบน้ำในอ่างทันที บิดหมาดอยู่สองสามครั้งก็หันหน้ากลับมาเผชิญกับเบเนดิกต์อีกครั้ง

 

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมหมายถึงทำไมคุณถึงมาล่ะ”

 

พอได้ยินแบบนั้นบวกกับดวงตาที่ฉายแววคาดคั้น มาร์ตินก็รู้ดีว่าป่วยการที่จะเฉไฉพูดเรื่องอื่น เขาจึงตอบออกไปตามตรง

 

“ฉันทำให้นายป่วย ฉันก็ต้องมารับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ไม่เหมือนบางคนหรอก แค่นัดยังยกเลิกได้ง่ายๆ เลย”

 

ศาสตราจารย์ร่างเล็กไม่รู้หรอกว่าตนเองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบไหน และกระทบชิ่งไปโดนใครบ้าง พอสิ้นประโยคนั้นเจ้าของห้องผมดำก็สะดุ้งโหยง และรู้ตัวว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว เขารีบหยิบชามซีเรียลออกจากตรงหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินอยู่ทันที แถมยังฉวยเอาช้อนออกจากมือเล็กๆ ด้วย เล่นเอาหนูอินเดียอ้าปากค้างงับลมกลางอากาศฟันกระทบกันดังกึก ไม่ต่างจากเด็กหญิงไอวิชที่กำลังเบะปากเตรียมจะร้องไห้ที่อดกินอาหารเช้าแล้ว

 

“ฮึก…”

 

“ชู่ววว ไม่เอาไม่ร้องนะคะ เดี๋ยวเราไปกินแพนเค้กกันต่อที่ร้านหน้าโรงเรียนดีกว่าเนอะ เฮ่ คริส!”

 

เสียงทุ้มกระซิบกระซาบแผ่วเบา ยิ้มหวานหลอกเด็กน้อยทางซ้ายทีทางขวาที ก่อนที่รูมเมทร่างใหญ่จะสะพายกระเป๋าแล้วรีบเดินตามมาคว้าเด็กน้อยขึ้นนั่งบนบ่าคนละข้างอย่างรู้งาน แล้วทั้งสี่คนก็รีบเผ่นแผล็วออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

 

“เอ่อ ผม…ขอโทษ”

 

มือเล็กที่กำผ้าขนหนูอยู่นั้นชะงักไป เป็นอีกครั้งที่เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นแววตาที่สั่นไหวของตนเอง ผ้าขนหนูถูกโยนลงไปในอ่างน้ำดังเดิม และเสียงกระเพื่อมของน้ำก็เป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ทั่วทั้งห้องพักจะตกอยู่ในความเงียบงัน

 

สุดท้ายก็เป็นศาสตราจารย์ร่างเล็กที่ทำลายความเงียบลงก่อน

 

“เฮ้อ…ทำไมนายถึงชอบทำอะไรบ้าๆ ให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่นายทำเลยจริงๆ รู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ บอกออกมาบ้างก็ไม่มีใครคิดว่านายเสียฟอร์มหรอกนะ บางครั้งฉันก็เหนื่อยที่จะต้องมาตีความพฤติกรรมของนายแล้วนะเบน ฉันเหนื่อย…”

 

“ผมทำให้คุณเหนื่อยเหรอ…”

 

ประโยคเดียวแต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าระคนสำนึกผิด พอได้ยินเสียงทุ้มต่ำหงอยลงทีไร มาร์ติน ฟรีแมนก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ทุกที

 

“เปล่าหรอก ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่…รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามัน…ไม่ชัดเจน ก็เท่านั้น”

 

ใบหน้าขาวที่ดูอิดโรยค่อยๆ ขึ้นสีแดงเรื่อทีละน้อย เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกพูดเรื่องสำคัญในเวลาแบบนี้ แล้วก็สถานที่แบบนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ใบหน้าคมของคนเด็กกว่าก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ พอเขารู้ตัวเลยตั้งใจจะถอยหลังแต่ไม่รู้ว่าแขนยาวๆ ของอีกฝ่ายเอื้อมมาโอบรอบตัวเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝ่ามืออุ่นร้อนดันแผ่นหลังเขาให้เข้าไปใกล้คนตรงหน้ามากกว่าเดิม

 

นี่ๆ หมอนี่มันป่วยอยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงออกอาการเพี้ยนๆ อะไรแบบนี้ล่ะ!

 

“ใครว่าไม่ชัดเจน ผมน่ะ ชัดเจนกับมาร์ตินตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้วนะ”

 

ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองที่ก่อนหน้านี้ดูไม่แวววาวสดใส แต่ตอนนี้กลับวิบวับราวกับเจอของกินถูกใจอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสีซีดกระตุกยิ้มมุมปากน้อยๆ แล้วค่อยๆ เลื่อนใบหน้าตัวเองเข้าใกล้คนตัวเล็กที่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ดวงตาสีเทามองจ้องดวงตาคู่นั้นสลับกับเรียวปากหยักบางที่เคลื่อนเข้าใกล้มากขึ้นทุกที ภาพความทรงจำเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามาเรื่อยๆ น่าแปลกที่ผ่านไปแปดปีแล้ว แต่เขายังจดจำรายละเอียดได้ดีราวกับเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

 

ดวงตาสีทองที่วาววับดูลึกลับคล้ายมีบางอย่างซ่อนเร้น

 

กลิ่นหอมสดชื่นคล้ายกับส้มที่เพิ่งปอกเปลือกใหม่ๆ

 

เสื้อโค้ตตัวยาวสีเข้มที่ทุกวันนี้เขายังเก็บไว้ไม่เคยคืนเจ้าของ

 

“ผมชัดเจนมาตลอด มีแต่คุณนั่นแหละที่เอาแต่หนี แล้วยังมาพูดอีกว่าผมไม่เคยบอกว่ารู้สึกยังไง”

 

ไอ้เด็กนี่มันร้าย! พลิกสถานการณ์กลับมาไล่ต้อนเขาได้ยังไงเนี่ย!

 

“เบ…เบน”

 

“คุณเองก็ไม่เคยบอกผมเหมือนกัน เพราะงั้น…เราเจ๊ากันนะ หายโกรธผม…นะครับ”

 

แววตาเว้าวอน น้ำเสียงออดอ้อน เล่นแบบนี้แล้วเขาจะปฏิเสธอะไรได้ล่ะ ฮึ้ย!

 

พอเห็นว่าร่างเล็กตรงหน้าไม่พูดอะไร เบเนดิกต์ก็ถือว่านั่นคือคำตอบตกลง เขาก้มหน้าลงต่ำตั้งใจจะใช้ริมฝีปากจุมพิตช้อนใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ขณะที่ริมฝีปากอยู่ห่างกันไม่ถึงเซ็นต์นั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรกลมๆ สีดำขยุกขยุยเสียก่อน

 

“เฮ้ย!”

 

“คุณลุงฮิปโปกำลังจะทำอะไรคุณพี่คนนี้อะคะ”

 

เสียงเล็กๆ เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาพลางเกาะขอบโต๊ะตัวเตี้ยหน้าทีวีเอียงคอมองด้วยความสงสัยในการกระทำของผู้ใหญ่ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ เจ้าของห้องที่ควบตำแหน่งผู้ปกครองเจ้าเด็กแสบไอวิชก็ถลาตามเข้ามาอุ้มมนุษย์ข้อเดียวในชุดเอี๊ยมยีนสีเข้มออกไปเสียก่อน

 

“อะ…ไอวิชเจอกล่องดินสอแล้วใช่มั้ยคะ? งั้นเรารีบไปโรงเรียนดีกว่าเนอะ เดี๋ยวไปสายแล้วโดนคุณครูสการ์เล็ตต์ตีเอานะคะ”

 

“อื้อ! งั้นไปโรงเรียนกันค่ะ อาทอมวิ่งเลยวิ่ง!”

 

แล้วสองอาหลานก็หายวับไปอย่างรวดเร็วราวกับเทเลพอร์ตตัวเองได้ยังไงยังงั้น เล่นเอาสองคนที่โดนขัดจังหวะมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะขำก๊ากออกมากับสถานการณ์พิลึกๆ ที่เกิดขึ้น

 

ชายหนุ่มเอื้อมไปกอบกุมมือเล็กๆ อันอบอุ่นของคนตรงหน้าเอาไว้ ก่อนจะดึงเข้ามาชิดใกล้ใบหน้าตนเอง ก้มหน้าลงประทับจุมพิตไปที่หลังนิ้วนั่น ดวงตาคู่งามช้อนมองใบหน้าแดงระเรื่อด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

 

“คราวหน้าค่อยทำตอนที่ไม่มีใครขัดจังหวะแล้วกันนะ”

 

เขาจะไม่ปล่อยมือให้ห่างหายอีกแล้ว แปดปีก่อนเขาคว้าไว้ไม่ได้ ทำให้ห่างหายจากความอบอุ่นนี้ไปถึงสี่ปี และตอนนี้ เขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีกแน่ แม้จะต้องแสดงออกอีกกี่ครั้ง หรือกระทั่งชั่วชีวิต เขาก็จะทำ

 

สุดท้ายแล้ว แม้จะโดนขัดจังหวะ แต่เบเนดิกต์ก็ไม่ได้หัวเสียอะไรมากเท่ากับเรื่องที่ตนเองโดนเรียกว่าคุณลุง ในขณะที่มาร์ตินซึ่งแก่กว่ากลับถูกเรียกว่าพี่! เห็นทีเขาต้องขึ้นบัญชีดำกับเด็กหญิงไอวิชให้เป็นศัตรูหมายเลขสองรองจากเจ้ายูจีนซะแล้ว!

 

งานนี้ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวงานหน้าค่อยเอาคืน!

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again: อู๊ย…บ้าบอ ออกทะเลไปไกลแถมวกกลับมาไม่ได้ด้วย สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นไปเลยค่ะเรื่องนี้ ทุกคนอย่าเพิ่งกระโดดถีบตบตีเรานะก๊ะ งิ้งๆ นี่รวมหลายซีรีส์เข้าด้วยกันมากๆ มาเจอกันได้แบบมั่วไปหมด

 

คราวนี้เป็นเรื่องหลังจากวันที่พี่เบนของเราไปยืนรอสารภาพรักกับคุณศาสตราจารย์ถุงใต้ตาย้อยจนถึงขั้นป่วยไข้ (ในตอน Kokuhaku ซึ่งเกี่ยวพันกับตอน My father is GOD ด้วย เพราะฉะนั้นใครจำไม่ได้ (ซึ่งคาดว่าน่าจะทุกคนที่จำไม่ได้ ฮ่าาา อาจจะงงๆ นิดหน่อย ก็ย้อนกลับไปอ่านสลับไปสลับมาได้นะคะ ตอนแรกกะจะบอกว่าตอนต้นเรื่อง แต่ก็กลัวว่าจะสปอยล์เนื้อหา เลยไม่บอกดีกว่า แหะๆ) งานนี้เราเปิดโหมดเบิร์นปั่นไฟแลบแบบเบลไหน ไฟแรงเฟร่อ! รู้สึกเลยว่าไม่ได้เขียนนานๆ แล้วฝีมือที่ไม่มีอยู่แล้วกลับติดลบลงไปอีก แย่จัง… อะฮื้อ ใครทนอ่านมาได้ถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ซาบซึ้งใจ…

 

สักกลางปีหน้าค่อยเจอกันใหม่เนาะ…(สั้นไปรึเปล่านะ หรือว่าปลายปีไปเลยดี ฮ่าาา)

 

แถมรูปปิดท้าย ทำไว้อีกเวอร์ชันนึงค่ะ กะว่าตอนลงฟิคค่อยลงรูป ได้ฤกษ์ซะที นึกว่ารูปจะเป็นหมันเพราะเราไม่ได้แต่งฟิคต่อซะแล้ว ฮ่าาา

freelancesherlock2

2 thoughts on “[JohnLock Fanfiction] BBC Sherlock the series – Take a break

  1. สารภาพตามตรง เก๊าลืมตอนเก่าไปร๊าวววววว ถถถถถถถถถถถ
    แหม ไอ่เราก็นึกว่าจะได้อ่านหยิกอ้อนหมอต่อ แต่ฝันสลายตื่นมาเจอสองเด็กแสบแกล้งแทน โด่..

    เอาล่ะ ดูท่าแล้วงานหน้าดญ.ไอวิชคงโดนจับขังใต้บันไดพร้อมยูจีนแหงๆ ฮ่าๆๆๆ

  2. นี่มันอินเซปชั่น!!! 555555555555555555555555555555555

    ป่วยแล้วสมองแลมต่ำลงไปเยอะนะคะพี่เบน
    แล้วไอ้ฝันซ้อนฝันนั่นมันอะร้ายยย 5555555
    ชอบตรง ‘จอห์นคือใคร’ ก๊ากกกกก

    ตอนต้นเรื่องก็นึกว่าอ่าน AU จอห์นล็อกอยู่
    ไปๆ มาๆ เอ้า! เด็กหญิงไอวิชกับเด็กหญิงอินเดียมาได้ไงเนี่ย?!
    ถึงกับต้องรื้อความจำกันเลยทีเดียวค่ะ ฮาา

    แต่สุดท้ายถึงคุณหมอจอห์นจะไม่มาแต่ศาสตราจารย์คนน่ารักก็มาแทนล่ะนะเบนนะ
    ยังไงก็มีแต่ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องนั่นแล~ อาเมนนน

ใส่ความเห็น