[HiddlesWorth Fanfiction] Iwish the series – E8 My Father is GOD E03

Title : Iwish the series – E8 My father is GOD E03 (END)

Pairing : Chris Hemsworth x Tom Hiddleston and Little Iwish ft. Benedict Cumberbatch x Martin Freeman

Author : Babibubell

Talk : แด่วันเกิดเลทๆ ของเจ๊พตก.ที่รักของพวกเรา ว่าแต่ตอนที่แล้วเราพลาดล่ะ เพราะเราบรรยายว่าน้องอินเดียตาสีเทาเข้มไปในพาร์ทแรก พอพาร์ทสองเราดันบอกว่าตาน้องสีเหมือนพี่คริส ก๊ากๆๆๆ ขออภัย แต่แอบไปแก้มาแล้วนะก๊ะ T w T

 

 

 

 

 

เสียงสะอื้นไห้หยุดลงนานแล้ว เมื่อหลานสาวคนเก่งของคุณอาตัวบางงับไหล่หนาๆ ของรูมเมทตนจนพอใจ เธอก็ปล่อยให้ชายหนุ่มเป็นอิสระ ถึงจะบอกว่าอิสระแต่มันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว เมื่อเด็กน้อยร้องไห้หนักจนหมดแรงข้าวต้ม หลับคอพับคออ่อนซุกซอกคอขาวๆ ของคนตัวใหญ่ไปอย่างง่ายดาย

 

 

 

หน้าที่ดูแลน้องอินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธเลยตกเป็นของทอม ฮิดเดิลสตันไปโดยปริยาย

 

 

 

ตลอดทางกลับที่พัก อ้อมแขนของชายหนุ่มถูกจับจองโดยเด็กหญิงผมทองตัวป้อมที่ช่างเจรจา มือเล็กๆ กางเข้าออกแสดงอาการตื่นเต้นทุกครั้งที่เล่าวีรกรรมต่างๆ ของป๊ะป๋าตัวใหญ่ให้อีกฝ่ายฟัง หนุ่มร่างบางแอบพินิจพิจารณาใบหน้าของเด็กน้อยหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสีผม ส่วนรูปหน้า หรือว่าโครงจมูก ดูยังไงมันก็โขลกแบบออกมาจากผู้ชายที่ชื่อคริส เฮมส์เวิร์ธชัดๆ

 

 

 

โดยเฉพาะรอยยิ้มใสซื่อนั่น…

 

 

 

เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูกไม่มีผิด

 

 

 

พวกเขาตัดสินใจกลับมาเคลียร์ปัญหากันที่หอพัก ปกติแล้วที่หอพักแห่งนี้ไม่ได้มีกฎข้อห้ามพาใครเข้าออกเป็นพิเศษ ออกจะหละหลวมเกินไปด้วยซ้ำ แต่การที่ชายหนุ่มสองคนเดินอุ้มเด็กหญิงวัยไม่เกินสองขวบกลับมายังห้องพักมันก็เป็นอะไรที่ผิดสังเกตในสายตาคุณป้าผู้ดูแลหออยู่ดี

 

 

 

หลังเสียงประตูปิดลงไม่นาน บรรยากาศมาคุก็เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง เจ้าของห้องทั้งสองคนนั่งกันอยู่คนละฝั่งโต๊ะอาหาร คนที่ตัวโตกว่าทำหน้าเหมือนพยายามจะพูดหรืออธิบายอะไรสักอย่าง แต่พออ้าปากจะเริ่มพูดเท่านั้น ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็ตวัดสายตาคมฉับราวกับใบมีดกรีดแทงใจมาให้ ทำให้ชายหนุ่มตัวใหญ่หุบปากฉับไปเสียอย่างงั้น

 

 

 

ถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก บริเวณหน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ เด็กน้อยสองคนกำลังกำดินสอสีก้มหน้าก้มตาขดจนตัวกลมดิกขีดๆ เขียนๆ ระบายสีลงในกระดาษสีขาวสะอาดแผ่นใหญ่ ตอนแรกก็มีแค่สิ่งมีชีวิตกลมๆ ขดอยู่ตัวเดียวหรอก พอเหลือบสายตากลับไปมองอีกที หัวกลมสีน้ำตาลทองกับสีน้ำตาลเข้มขยุกขยุยก็สุมหัวกันแบบมิได้นัดหมาย

 

 

 

ทอม ฮิดเดิลสตันยิ้มขื่นๆ ให้กับภาพตรงหน้า ความน่ารักไร้เดียงสาของเด็กน้อยทั้งสองคนทำให้เขารู้สึกแย่กับสถานการณ์ตอนนี้มากยิ่งขึ้น

 

 

 

ความเงียบยังคงรายล้อมรอบตัว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เงียบกริบมากขนาดนั้น เพราะเสียงจุ๊กจิ๊กเอิ๊กอ๊ากยังคงดังมาจากบริเวณหน้าโทรทัศน์นั่น แต่สำหรับทอมแล้ว เขารู้สึกว่าตอนนี้หูเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงหัวใจของตัวเองเท่านั้นที่มันยังคงเต้นอยู่

 

 

 

สมองกำลังคิดทบทวนว่าจะทำอย่างไรต่อไป และจะแก้ปัญหาตรงหน้านี้ยังไงดี อย่างที่บอกว่าเขาไม่อยากได้ชื่อว่าทำลายครอบครัวใครหรอกนะ อีกอย่าง ยังไงเด็กก็ต้องมีพ่อและแม่เพื่อเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อม จะให้เขาแย่งพ่อของน้องอินเดียมาครอบครองไว้ แล้วปล่อยให้คนเป็นแม่ดูแลเด็กน้อยเพียงลำพัง ผลเสียมันมีมากมายขนาดไหน ตัวเขาเองที่รู้ดีที่สุด…

 

 

 

“ทอม”

 

 

 

เขาต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด ยอมเจ็บคนเดียวดีกว่าให้เด็กไร้เดียงสาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ต้องมารับรู้ความทุกข์ที่พวกผู้ใหญ่เป็นคนก่อ

 

 

 

“ทอม”

 

 

 

ก่อนอื่นคงต้องให้คริสเก็บข้าวของออกจากหอไปก่อน แค่เก็บของคงใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่…

 

 

 

“ทอม!”

 

 

 

ดวงตาสีเขียวกระตุกวูบเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มกะพริบตาเล็กน้อยพลางจ้องมองไปยังคนตรงหน้า น้ำใสเอ่อคลอขึ้นมาอย่างหักห้ามไม่ได้ ก็ถ้า ณ ช่วงเวลานี้จะเป็นวินาทีสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็อยากจะมองหน้าคนคนนี้ให้นานที่สุด

 

 

 

ริมฝีปากสวยถูกเม้มเข้าหากัน ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดก่อนจะระบายออกมา ถึงอย่างไรก็ต้องตัดใจเสียแต่ตอนนี้ คิดซะว่าอะไรที่ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่ควรไปรั้งมันไว้

 

 

 

“เก็บของ”

 

 

 

เสียงหวานแต่แหบแห้งเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา แต่ถึงอย่างนั้นเรือนผมทองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลับได้ยินมันชัดเจนเป็นอย่างดี ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาไม่คิดว่าเรื่องมันจะเลยเถิดมาถึงขนาดนี้

 

 

 

“ดะ…เดี๋ยว ทอม นายว่าไงนะ”

 

 

 

ชายหนุ่มเอ่ยถามกลับด้วยเสียงตะกุกตะกักไม่มั่นใจ แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตากัน

 

 

 

“เก็บของไง ฉันไล่นายออกจากห้องฉัน”

 

 

 

“ทอม!”

 

 

 

คริส เฮมส์เวิร์ธลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้หงายล้มไปด้านหลัง ร่างใหญ่ตั้งใจว่าจะเข้าไปกระชากแขนบางๆ ของอีกฝ่ายแล้วล็อกตัวไว้ไม่ให้หนีไปไหน จะบังคับให้เงยหน้าขึ้นมาสบตากันชัดๆ ว่าที่พูดแบบนั้นออกมามันหมายความว่ายังไง

 

 

 

ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วนกันมามันไม่เคยมีค่าหรือสร้างความผูกพันกันได้เลยใช่มั้ย?

 

 

 

แต่มันก็เป็นเพียงความคิด เพราะทันทีที่ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน กระดาษสีขาวก็ถูกวางแปะลงบนกลางโต๊ะพร้อมด้วยมือปริศนาป้อมๆ นิ้วสั้นๆ วางทับบนกระดาษนั้นอีกที กลุ่มผมสีน้ำตาลทองที่โผล่พ้นขอบโต๊ะมาเล็กน้อยขยับขึ้นลงเพราะเจ้าตัวกำลังพยายามเขย่งปลายเท้าสลับกับการกระโดดให้ใบหน้าเธอพ้นขอบโต๊ะอยู่น่ะสิ

 

 

 

“ฮึบ! ฮึบ!”

 

 

 

“อะ…อินเดีย ทำอะไรอยู่น่ะ”

 

 

 

ป๊ะป๋าตัวใหญ่เห็นลูกสาวตัวน้อยกระโดดกระเด้งไปมาก็อดแปลกใจไม่ได้ โธ่ กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน พี่ธอร์กำลังจะโดนน้องโลกิขับไล่ออกจากแอสการ์ดอยู่รอมร่อ ลูกสาวเขายังระรื่นอยู่ได้ เด็กนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ

 

 

 

และที่ทำให้คริส เฮมส์เวิร์ธอิจฉามากขึ้นไปอีกก็ตอนที่ลูกสาวของเขาหยุดกระโดดแล้วลากเอาเจ้ากระดาษสีขาวแผ่นนั้นเดินเตาะแตะไปยังฝั่งตรงข้ามเขา ฝั่งที่มีคนน่ารักที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้นั่งอยู่ มือกลมๆ กระตุกชายเสื้อเชิ้ตสีสว่างเบาๆ พลางเงยหน้ายิ้มแป้นแล้นให้อีกฝ่าย ทอมที่เบนหน้าหนีอยู่พอรู้สึกถึงแรงกระตุกจึงหันมาก้มหน้าสบตากับหนูน้อย อินเดียยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อน้องโลกิของเธอหันมา แขนสั้นๆ สองข้างกางออกและยื่นไปข้างหน้า

 

 

 

“อุ้ม อุ้มอินเดียหน่อยน้า~”

 

 

 

พอเห็นแบบนั้น ชายหนุ่มที่ใจแข็งดุจหินผาก็อ่อนยวบราวกับขี้ผึ้งลนไฟ

 

 

 

ใบหน้าขาวที่ตอนแรกเต็มไปด้วยความอึดอัดกังวลใจ แต่พอได้เห็นความน่ารักของเด็กน้อยนั้นก็รู้สึกหัวใจพองคับอกยังไงก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรก แต่เขากลับตกหลุมรักเธอเข้าซะแล้ว

 

 

 

“น้องโลกิอุ้มอินเดียหน่อยนะ อุ้มหน่อย”

 

 

 

และดูท่า…เด็กน้อยอินเดียก็หลงเสน่ห์ทอม ฮิดเดิลสตันเช่นกัน

 

 

 

ปลายเท้าเล็กๆ เขย่งอยู่หลายครั้งจนตัวเธอเซเนื่องจากเท้าเล็กๆ ยังทรงตัวได้ไม่ดีนัก มือบางจึงสอดเข้าใต้วงแขนน้อยๆ แล้วอุ้มขึ้นมานั่งตักอย่างเบามือ อินเดียร้องเย่ๆ ก่อนจะวางกระดาษแผ่นนั้นลงบนโต๊ะ ด้วยความสงสัยชายหนุ่มจึงพลิกกระดาษอีกด้านขึ้นดูว่าเด็กน้อยวาดอะไร

 

 

 

“ไหน อินเดียวาดอะไรเอ่ย ขออาทอมดูหน่อยนะคะ”

 

 

 

ทันทีที่พลิกมา ทอม ฮิดเดิลสตันก็ต้องแปลกใจ มันเป็นภาพวาดฝีมือเด็กน้อย เป็นงานศิลปะที่ใครดูก็รู้ว่าเด็กอนุบาลเป็นคนวาดแน่ๆ แต่ไอ้ที่แปลกใจน่ะไม่ใช่ฝีมือการวาดรูปหรอกนะ แต่มันเป็นคนในภาพต่างหาก

 

 

 

ภาพนั้นมีรูปคนอยู่ห้าคน เป็นผู้ใหญ่เสียสี่คน และเด็กผมทองอีกหนึ่ง ภาพแบ่งได้เป็นสองส่วนซ้ายขวาเรียงจากทางซ้ายมือเป็นรูปที่ดูเหมือนผู้หญิง เด็กน้อยผมทอง และผู้ชายตัวใหญ่ที่มีผมสีเดียวกับคริส ผู้ใหญ่ทั้งสองคนในภาพกำลังจับจูงมือเด็กน้อยอยู่ ดูยังไงก็น่าจะเป็นรูปครอบครัว พ่อแม่ลูกชัดๆ

 

 

 

ทอมยิ้มบางๆ ให้กับภาพครอบครัวสุขสันต์ตรงหน้าก่อนจะเบนสายตาไปยังฝั่งขวาของกระดาษ

 

 

 

มันเป็นรูปผู้ชายสองคนยืนจับมือกัน คนหนึ่งมีผมสีทองแบบคริสอีกเช่นกัน ส่วนอีกคนมีผมสีดำแบบเขา ก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ ว่าผู้ชายผมดำนั่นคือเขาและผู้ชายผมทองนั่นคือคนตัวใหญ่รูมเมทเขาน่ะ

 

 

 

“อินเดียวาดใครคะ?”

 

 

 

ตัดสินใจเอ่ยถาม หนูน้อยที่นั่งอยู่บนตักนุ่มเงยหน้ามองอาทอมก่อนจะตอบอย่างภาคภูมิใจ

 

 

 

“อินเดียวาดแด๊ดดี้กับหม่ามี้กับอินเดียค่ะ ส่วนนี่ป๊ะป๋ากับน้องโลกิ”

 

 

 

“หือ?”

 

 

 

ความสงสัยวิ่งวนอยู่ในหัวก่อนจะไหลลงมากองอยู่ตรงอก หนุ่มร่างบางรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจติดขัด ในช่องท้องมันปั่นป่วนราวกับเครื่องซักผ้าฝาหน้ากำลังหมุน แด๊ดดี้ กับ ป๊ะป๋า…

 

 

 

“เอ่อ อินเดีย นี่ใครนะคะ?”

 

 

 

ชี้ไปยังชายหนุ่มทางด้านซ้ายในภาพที่ยืนจับมือเด็กน้อย

 

 

 

“แด๊ดดี้ค่ะ”

 

 

 

“อ่า แล้วนี่ใครคะ?”

 

 

 

ชี้ไปยังชายหนุ่มทางด้านขวาของภาพที่ยืนจับมือชายผมดำ

 

 

 

“ป๊ะป๋าไงคะ ป๊ะป๋าธอร์ที่มีค้อนอันใหญ่หญ่ายยยย”

 

 

 

“อ่า แล้วหม่ามี้ชื่ออะไรเหรอคะ?”

 

 

 

เด็กน้อยทำปากจู๋พลางเอียงคอคิดเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ

 

 

 

“หม่ามี้ชื่อที่รักค่ะ”

 

 

 

“หา? แล้ว…แล้วแด๊ดดี้ล่ะคะ”

 

 

 

ลองเสี่ยงถามดู อยากรู้ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร มันเหมือนกับคำตัดสินประหารชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้ แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็น…

 

 

 

“แด๊ดดี้ก็ชื่อที่รักค่ะ”

 

 

 

“หา? ชื่อ…ชื่ออะไรนะคะ”

 

 

 

“ชื่อที่รักค่ะ ชื่อเดียวกันเลย หนูเห็นแด๊ดดี้เรียกหม่ามี้ว่าที่รัก หม่ามี้ก็เรียกแด๊ดดี้ว่าที่รักเหมือนกันค่ะ”

 

 

 

ร่างบางรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรตีบตันอยู่ในลำคอ ทั้งๆ ที่อากาศในห้องก็ตั้งอุณหภูมิกำลังสบายๆ แท้ๆ แต่เหงื่อเม็ดน้อยๆ กลับไหลย้อยลงข้างขมับ

 

 

 

“ละ…แล้วแด๊ดดี้เรียกป๊ะป๋าว่าอะไรคะ”

 

 

 

ได้ยินคำถามแบบนั้น เธอก็ระบายยิ้มเต็มหน้าพร้อมชูมือขึ้นตอบทันที เพราะข้อนี้ง่ายมาก เธอตอบได้แบบไม่ต้องคิดเลย

 

 

 

“แด๊ดดี้เรียกป๊ะป๋าว่าคริสค่ะ”

 

 

 

ชายหนุ่มกลืนน้ำลายดังเอื๊อก รู้สึกเรื่องนี้มันจะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ

 

 

 

แล้วไอ้คนที่พลาดน่ะก็คงหนีไม่พ้นเขาแหงๆ

 

 

 

“แล้วป๊ะป๋าเรียกแด๊ดดี้ว่าอะไรคะ?”

 

 

 

เด็กหญิงนิ่งไปพักหนึ่ง เธอเอียงคอพลางเอานิ้วชี้จิ้มตรงข้างศีรษะเหนือใบหู ก่อนจะทำตาโตแสดงโอเวอร์แอ๊กชันว่า ‘คิดออกแล้ว’

 

 

 

“เรียกพี่ลุคค่ะ!”

 

 

 

“หา!”

 

 

 

ทอม ฮิดเดิลสตันหน้าซีดเผือด จากเดิมที่ใบหน้าขาวอยู่แล้วกลับดูไร้สีเลือดมากไปกว่าเดิมอีก คนตัวบางสะบัดดวงหน้าขึ้นมาจ้องอีกฝ่ายอย่างคาดคั้นเอาคำตอบทันที

 

 

 

“คริส! นี่มันหมายความว่ายังไง!?”

 

 

 

“ก็หมายความว่า อินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธ เป็นหลานสาวของคริสไง เด็กนี่เป็นลูกของพี่ชายคริส แค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือทอม เฮอะ! ฉันมองรูปนี้ด้วยหางตาปราดเดียวก็เข้าใจหมดแล้ว คนธรรมดานี่มันน่าเบื่อจริงๆ”

 

 

 

“เบน!”

 

 

 

จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำงึมงำก็ร่ายยาวตอบคำถามแทนคริส เฮมส์เวิร์ธอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เล่นเอาคนถูกถามอ้าปากค้างชะงักคำตอบเอาไว้ ส่วนคนที่ได้ยินคำเฉลยเรื่องราวทั้งหมดแบบนั้นก็ไม่รู้จะรู้สึกอะไรก่อนดี ทั้งอายที่ตัวเองเข้าใจผิด คิดนู่นคิดนี่สารพัด ทั้งเขินที่ตัวเองแสดงพฤติกรรมราวกับเด็กสาวถูกแฟนหนุ่มทิ้ง ทั้งตกใจที่จู่ๆ คนที่ทะลุกลางปล้องและไม่ได้อยู่ในวงสนทนามาตั้งแต่แรกอย่าง เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ กลับโผล่มาอยู่ตรงนี้ได้!

 

 

 

นี่ไอ้หมอนี่มันเป็นแมลงสาบหรือไงกัน! โผล่มาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง ว่าแต่…

 

 

 

“เฮ้ย! เบน นายเข้ามาได้ยังไง!? แล้วเข้ามาตั้งแต่ตอนไหน!?”

 

 

 

ร่างสูงที่ก่อนหน้านี้เอามือวางลงบนโต๊ะพร้อมโน้มตัวก้มหน้าลงไปอธิบายความก็กลับมายืดตัวตรงดังเดิม ดวงตาสีฟ้าอมเขียวกลอกไปมาก่อนจะเบนหนีไปทางอื่น

 

 

 

“ก็…เข้ามาตั้งแต่…เจ้าหนูนี่ยังนอนวาดรูปอยู่เลยน่ะ”

 

 

 

ตอบพลางชี้นิ้วจิ้มไปยังเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักเพื่อนซี้

 

 

 

งี้มันก็ตั้งแต่แรกแล้วน่ะสิ! บ้าจริง

 

 

 

“แล้วตกลงนายเข้ามาได้ยังไง?”

 

 

 

คนถูกคาดคั้นอ้ำอึ้งไป ก่อนจะเบนสายตาไปยังเด็กน้อยผมน้ำตาลหยักยุ่งที่ยังนอนคว่ำวาดรูปอยู่ตรงหน้าทีวี

 

 

 

“เบน ตอบ!”

 

 

 

“ก็พอฉันมาถึงที่นี่ คุณป้าแม่บ้านแกก็เดินมาลากแขนฉันไปตรงมุมลับตาคนใต้บันได ตอนแรกนึกว่าจะถูกป้าแกทำมิดีมิร้ายซะแล้ว เพราะแวะมาหานายทีไร ป้าแกชอบทำตาแวววาวทุกที”

 

 

 

“เบน…สรุปมาอย่างด่วน”

 

 

 

“อ้อ ก็นั่นแหละ พอป้าแกลากฉันไปตรงใต้บันไดแล้วแกก็กระซิบบอกว่านายสองคนอุ้มเด็กที่ไหนมาก็ไม่รู้ ท่าทางจะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลด้วย ด้วยความที่ฉันชอบยุ่งเรื่องของพวกนายสองคน เอ่อ…ไม่ใช่ๆ อย่าเพิ่งทำตาโตใส่ฉันสิ ฉันหมายความว่าชอบเรื่องลึกลับๆ ฉันก็เลยถือโอกาสบอกป้าแม่บ้านไปว่า น่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แล้วก็ขอให้ป้าแกใช้กุญแจสำรองเปิดประตูห้องนายเข้ามาน่ะสิ”

 

 

 

พอเล่าอย่างภาคภูมิใจจบ ชายหนุ่มก็เบี่ยงตัวออกเปิดทางให้สายตาทุกคู่จ้องมองไปยังคุณป้าผู้ดูแลหอร่างตุ้ยนุ้ย สาวผมสั้นสีดำสะดุ้งทันทีที่หนุ่มๆ ในห้องมองมายังเธอ พอไม่รู้จะแก้ตัวยังไงได้ ก็เลยได้แต่ยิ้มแป้นจนตาหยีกลับมาให้เมื่อถูกจับได้ว่าทำอะไรลงไป แล้วรีบโบกมือบ๊ายบาย ถอยหลังช้าๆ ปิดประตูห้อง วิ่งออกไปด้วยความเร็วแสงทันที

 

 

 

พอเห็นแบบนั้นทอมก็ได้แต่ยกมือกุมขมับ ได้เป็นขี้ปากชาวบ้านอีกแล้วสินะ ทอม ฮิดเดิลสตัน เฮ้อ

 

 

 

“เอาเป็นว่า…นายสองคนเคลียร์ปัญหากันให้จบก่อนนะ ฉันจะนั่งรออยู่ตรงนั้น พอเคลียร์เรื่องของพวกนายจบแล้ว ก็ค่อยมาเคลียร์เรื่องของฉันต่อ โอเคนะ”

 

 

 

เจ้าของห้องทั้งสองคนหันขวับมามองร่างโปร่งในชุดเสื้อโค้ตตัวยาวโบกมือบ๊ายบายแล้วเดินไปยังบริเวณหน้าทีวี ขาเรียวในกางเกงสแล็กสีดำก้าวไม่กี่ก้าวก็ถึงโซฟาสีเขียวตุ่น พ่อเชอร์ล็อก โฮล์มส์แห่งศตวรรษที่ 21ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟายาวนั่น พลางตวัดขาไขว่ห้างนั่งกอดอกแล้วหยิบมือถือขึ้นมากดดูทันที พอเห็นว่าไม่มีข้อความอะไรตอบกลับมาจากคนที่รออยู่ก็พ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง เบะปากแล้วเก็บมือถือลงในกระเป๋าเสื้อโค้ตด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด ภาพทั้งหมดนั่นสร้างความสงสัยให้กับแม่หนูน้อยไอวิชที่ขดตัวกลมดิกอยู่หน้าโซฟาเป็นอย่างมาก และไม่ใช่แค่ไอวิชหรอก…

 

 

 

ผู้ใหญ่สองคนที่อยู่ตรงโต๊ะกินข้าวโซนห้องครัวก็สงสัยเหมือนกัน

 

 

 

เคลียร์เรื่องของเขาจบแล้วค่อยไปเคลียร์เรื่องของหมอนั่นต่อ?

 

 

 

หมอนั่นมีเรื่องอะไรให้เคลียร์?

 

 

 

ทอม ฮิดเดิลสตันนั่งอึ้งมองพฤติกรรมเพื่อนตัวสูงอยู่ พอเห็นอากัปกิริยาไม่รู้ร้อนรู้หนาวแบบนั้นแล้วไอ้อารมณ์ดราม่าเมื่อกี้นี้ของเขาเลยหมดฟีลไปโดยปริยาย เฮ้อ ใครจะไปอยากเคลียร์อะไรต่อล่ะ จะเศร้าก็เศร้าไม่ออกแล้ว ไว้เคลียร์กันคืนนี้ตอนที่ไม่มีเด็กๆ กับไอ้…แมลงสาบนี่อยู่ดีกว่า เฮ้อ

 

 

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเหลือบมองใบหน้าสงสัยของเพื่อนรักแล้วก็เบนสายตากลับไปจ้องยังเด็กหญิงตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจเจ้าของห้อง หัวกลมๆ ถูกปกคลุมไปด้วยผมสีน้ำตาลเข้มหยักยุ่งดูไปดูมาทั้งสีผมและทรงผมก็คล้ายๆ กับเขาไม่มีผิด ใบหน้ากลมๆ สีขาวอมชมพูของหนูไอวิชเงยหน้ามองคนตัวโตกว่าพลางทำปากจู๋ใส่ก่อนจะก้มหน้าลงไปวาดรูปต่อ

 

 

 

“นี่ทอม…เด็กคนนี้เป็นหลานนายใช่มั้ย?”

 

 

 

“หือ…ใช่ ทำไม?”

 

 

 

จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยถามขึ้นมา ทอมหันขวับไปยังเพื่อนตัวดีอีกครั้ง พยักหน้าพร้อมเอ่ยตอบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสงสัย

 

 

 

“คงเป็นหลานห่างๆ สินะ เพราะสีตา สีผม โครงหน้าไม่เหมือนนายเลยสักนิด ห่างกันมากๆ อย่างกับยุโรปกับเอเชียเลย หือ? มีอะไร มาจ้องหน้าฉันทำไม”

 

 

 

ประโยคต้นเบเนดิกต์เหมือนกับบ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะปิดท้ายประโยคด้วยคำถามเมื่อเด็กหญิงไอวิชที่ตอนแรกนั่งอยู่หน้าทีวี ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเตาะแตะมาหยุดตรงหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา เบนก้มหน้าลงมาเด็กน้อยในขณะที่เธอก็เงยหน้าขึ้นแล้วชูมือสูงทั้งสองข้างเหนือศีรษะ

 

 

 

“อุ้ม คุณลุงอุ้มไอวิชหน่อยค่ะ”

 

 

 

เส้นเลือดที่ขมับข้างขวาของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ปูดโปนขึ้นมาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำหยาบคายนั่น ฟังเผินๆ หนูน้อยผมขยุกขยุยก็พูดจาไพเราะดีหรอกนะ แต่ไอ้ที่เรียกเขาว่า ‘ลุง’ น่ะมันหมายความว่ายังไง!? หน้าเขาออกจะใสกิ๊งอ่อนกว่าวัย… โอเคๆ พูดใหม่ก็ได้ ถึงริ้วรอยเขาจะเยอะ แต่เขาก็แก่กว่าอาของเธอแค่สองปีนะเฟ้ย!

 

 

 

“คุณลุง~ อุ้มไอวิชหน่อยค่ะ อุ้ม อุ้ม”

 

 

 

ไม่พูดเปล่า แต่เธอกระโดดขึ้นลงไปมาด้วย เห็นแบบนั้นคนที่ไม่ค่อยจะเคยชินกับเด็กอย่างเบนก็ไม่รู้จะทำยังไง กลัวว่าถ้าปฏิเสธแล้วผลักให้หงายหลังเด็กน้อยก็จะลงไปนอนดิ้นๆ อยู่กับพื้น ร้องไห้เสียงดัง ถ้าเป็นงั้นเขาก็โดนทอมบ่นอีก หาว่ารังแกเด็ก แต่จะให้อุ้มก็…

 

 

 

บอกไว้ตรงนี้เลยว่า ใช้ชีวิตอยู่มาจนป่านนี้ยังไม่เคยอุ้มเด็กคนไหนเลยนะ!

 

 

 

นี่แค่ต้องคลุกคลีอยู่กับเด็กผู้หญิงที่ชื่อยูจงยูจีนอะไรนั่นตอนที่รอมาร์ตินไปสอนพิเศษ แค่เด็กผู้หญิงคนนั้นคนเดียวก็ปวดประสาทจะแย่อยู่แล้ว อย่าบอกนะว่าต้องมาเป็นเพื่อนเล่นกับหลานของทอมที่ชื่อไอว้งไอวิชอะไรนั่นอีกน่ะ เฮ้อ

 

 

 

“คุณลุงขา~ คุณลุงขายาวอุ้มไอวิชหน่อยค่ะ”

 

 

 

เด็กน้อยยังไม่ละความพยายาม แค่กระโดดยังไม่พอ ตอนนี้เริ่มจะปีนขายาวๆ เพื่อขึ้นไปนั่งบนตักของชายหนุ่มแล้ว เห็นแบบนั้นเบนก็เลยตัดสินใจอุ้มหลานสาวของเพื่อนซี้ขึ้นมายืนอยู่บนตักตัวเองทันที

 

 

 

“อะๆ อุ้มแล้วๆ แล้วทีนี้ยังไงต่อ ต้องยกสูงๆ แล้วเล่นเครื่องบินด้วยมะ…อ๊ะ…โอ๊ยยย อะไรเนี่ย ไอ้เด็กบ้า…บ้านนี้นี่ยังไง”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำร้องเสียงดังแหวกออกมาทันทีที่ฟันคมๆ งับลงตรงหัวไหล่ของคุณลุงขายาว เบนที่แหกปากร้องลั่นและกำลังจะว่าเด็กน้อยก็เปลี่ยนประโยคคำพูดและปรับน้ำเสียงเกือบไม่ทันเมื่อเห็นสายตาคมฉับของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจ้องมองมา พอเหลือบไปมองคริสด้วยหวังว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง หมอนั่นก็ดันทำหน้าปุเลี่ยนๆ ประมาณว่า ‘ทำใจเถอะ’ ส่งกลับมาให้ คนถูกทำร้ายได้แต่น้ำตาตกใน จะโวยวายก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนทอมว่า คงต้องปล่อยให้เด็กนี่กัดจนพอใจ เดี๋ยวก็คงปล่อยเอง

 

 

 

“ไอวิช ไปกัดอาเบนทำไมคะ?”

 

 

 

เสียงเข้มลอยมาจากทางฝั่งห้องครัว ในที่สุดทอม ฮิดเดิลสตันก็ตัดสินใจสงบศึกให้ปากของหลานออกมาจากไหล่ของเพื่อน

 

 

 

“คุณลุงขายาวขี้ตู่ค่ะ ไอวิชไม่ชอบ คุงคูสการ์เล็ตเคยบอกว่าเด็กขี้ตู่เป็นเด็กไม่ดี เก๊าะ…ไอวิชไม่ได้ห่างกับอาทอมซักหน่อย คุณลุงขายาวมาพูดแบบนี้ได้ไยย่ะ”

 

 

 

พูดจบเธอก็กระโดดลงจากตักคุณลุงที่ว่า แล้ววิ่งเตาะแตะๆ ไปยังคุณอาที่รักทันที เธอกระตุกขากางเกงชายหนุ่มหวังว่าจะให้อีกฝ่ายอุ้มเธอขึ้นไปนั่งบ้าง แต่ทอมก็ทำไม่ได้เพราะบนตักของเขามีเด็กน้อยอีกคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว แถมไอ้เด็กคนที่ว่านั่นก็ก้มลงมองต่ำแลบลิ้นใส่หลานของเขาประมาณว่า ‘ฉันชนะ ฉันได้นั่งตัก’ เสียด้วย

 

 

 

“อาทอมอุ้ม อาทอมอุ้ม ไอวิชจะนั่งตักอาทอมอ้ะ”

 

 

 

เสียงแหลมๆ โวยวายออกมาดังลั่น เด็กน้อยไม่ได้ทิ้งตัวลงไปนั่งตีขาคู่อยู่ที่พื้นตามประสาเด็กดื้อแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ร้องขอเสียงดัง พร้อมกับกระตุกขากางเกงของชายหนุ่มรัวๆ เล่นเอาคนเป็นอาลำบากใจ จะให้ยกอินเดียออกจากตัก ดูท่าเด็กผมทองคนนี้ก็น่าจะโวยวายหนักกว่าหลานเขาอีก เลยได้แต่ถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ

 

 

 

“ไอวิช มาๆ อาคริสอุ้มเองครับ”

 

 

 

แล้วก็เหมือนเจ้าชายขี่ม้าขาว คริส เฮมส์เวิร์ธคงกะจะพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ใช้ปฏิบัติการ เลิฟทอม ก็ต้องเลิฟหลานของทอมด้วย คนตัวใหญ่ก้าวเข้าประชิดตัวเด็กน้อย ก่อนจะก้มหน้ายื่นแขนไปข้างหน้าแล้วคว้าไอวิชขึ้นมาไว้ในแขนเดียว คนถูกอุ้มทำตาโต แล้วสะบัดขาบิดตัวดิ้นเร่าๆ ไปมาบ่งบอกให้รู้ว่าไม่อยากให้พ่อคนตัวใหญ่แบบพี่ธอร์อุ้ม แต่ดูท่าแขนแกร่งจะแข็งแรงและก็รัดตัวเธอแน่นเกินไป ในเมื่อดิ้นแล้วยังไม่ยอมปล่อยลง เธอเลยใช้วิธีเดิม…

 

 

 

กัดซะ!

 

 

 

งั่ม!

 

 

 

“โอ๊ย!”

 

 

 

“ไม่เอาอะ ไอวิชจะให้อาทอมอุ้มอะ ไม่เอาพี่ธอร์อ้ะ! ไอวิชจะเอาอาทอมอ้ะ อาทอม อาทอม!!!”

“น้องโลกิเป็นของเลาแล้ว เพราะเธอขี้งก เก็บน้องโลกิไว้คนเดียว นิฉัยไม่ดี ท่านพ่อโอดิงลงโทษเธอแย้ว”

“นี่เจ้าเด็กหัวทุยสองคนเลิกโวยวายได้แล้ว ทอมกับคริสจะได้เคลียร์ปัญหากันให้เสร็จ เข้าใจมั้ย?”

“โอ๊ยๆๆ ไอวิชเลิกทุบอาคริสซักทีสิครับ”

 

“ไม่เอาพี่ธอร์อ้ะ แง้!”

“น้องโลกิเป็นของเลา แบร่ๆ”

“หยุดโวยวายกันซะที!”

“อาเจ็บนะไอวิช…โอ๊ยยย”

 

 

 

เสียงโวยวายดังออกมาจากเด็กน้อยทั้งสี่คน สองคนแรกเป็นเด็กหญิงวัยเพียงขวบกว่า ส่วนอีกคนเป็นเด็กโข่งวัยเกือบเบญจเพส และอีกคนเป็นเด็กตัวใหญ่สุด ทั้งสี่เสียงประสานกันลั่นห้องพักหลังนี้ เจ้าของห้องผมดำที่นั่งอดทนอยู่นาน คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน ดวงตาสีเขียวส่องประกายวาวโรจน์ด้วยความโมโห มือบางกำหมัดแน่น และในที่สุด…

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความเงียบกลับมาทำงานอีกครั้ง ในห้องได้ยินเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่งๆ แบบแผ่วเบากับเสียงนาฬิกาบนผนังที่ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองแบบไม่ขาดตกบกพร่อง เสียงเจี๊ยวจ๊าวยังคงดังออกมาเบาๆ ลอดมาจากห้องนอนของคริส คนตัวบางเหลือบสายตาไปมองยังบานประตูที่ปิดสนิทนั่น แล้วถอนหายใจ

 

 

 

ก่อนหน้านี้ หลังจากเสียงโวยวายแบบนรกแตกดังขึ้น เจ้าของห้องรักสงบอย่างทอมก็สติแตก จับสิ่งมีชีวิตทั้งสามชู้ตโด่งเข้าห้องนอนคริสไปในคราวเดียวกัน ใจจริงอยากจะชู้ตไอ้เจ้าของห้องผมทองเข้าไปด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าต้องเคลียร์ปัญหากันให้จบเสียก่อน เขาก็คงไม่ปล่อยไว้แน่นอน และถึงแม้จะได้ยินเสียงโวยวายทุบประตูขอร้องอย่างบ้าคลั่ง (ส่วนใหญ่เป็นเสียงของไอ้เด็กตัวใหญ่สุด!) แต่ทอมก็หาใจอ่อนไม่ เขาทุบประตูกลับไปหนึ่งครั้ง แล้วถลึงตาใส่ทั้งๆ ที่รู้ว่าคนในห้องไม่มีทางเห็น ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนี ปล่อยให้เด็กน้อยทั้งสามคนอยู่ในห้องกันไป

 

 

 

เบเนดิกต์ที่โดนขังหมู่อยู่กับเด็กๆ พ่นลมหายใจออกมาทันทีที่รู้ว่าทำให้ทอมโกรธมากซะแล้ว และถ้าเป็นแบบนั้นก็คงอีกนานกว่าเพื่อนซี้หนอนหนังสือของเขาจะยอมให้เขาออกไปด้านนอก ถึงแม้จะรู้ว่าประตูมันล็อกจากด้านในก็เถอะ แต่ลองทอมได้ออกคำสั่งให้เขาอยู่แต่ในนี้ล่ะก็…ขืนเขาขัดคำสั่งขึ้นมามีหวังหัวขาดแหงๆ

 

 

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหยักยุ่งได้แต่กระฟัดกระเฟียดในความอยุติธรรมของเพื่อนรัก ทั้งๆ ที่คริสก็โวยวายเหมือนกับเขา แต่ทำไมหมอนั่นถึงไม่โดนขังด้วยเล่า! ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

 

 

 

ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองข้างตัวทั้งฝั่งซ้ายและขวาที่มีเด็กหญิงตัวเล็กยืนอยู่ทั้งสองด้านแล้วก็แสร้งทำเสียงพ่นลมหายใจออกทางจมูก หวังว่าจะให้เด็กๆ รับรู้ว่าเขาเบื่อแค่ไหนที่ต้องมาอยู่ร่วมห้องกับเจ้าสองหน่อจอมวุ่นวายนี่ แต่ผิดคาด เพราะทันทีที่อินเดียได้ยินเสียงนั้น เด็กน้อยก็เงยหน้ามองคนตัวโตกว่าตาวาวแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจยกใหญ่ มือเล็กตบแปะๆ เสียงดัง แล้วเอื้อมมือไปกระตุกขากางเกงสีเข้ม

 

 

 

“เอาอีกๆ ทำเสียงแบบคุณฮิปโปอีกสิคะคุณลุง”

 

 

 

คนที่ถูกเรียกว่าลุงย่อตัวลงนั่งให้ใบหน้าเสมอกับเด็กน้อยผมสีน้ำตาลทองทันที ก่อนจะพ่นลมหายใจดังพรืดใส่หน้าเด็กที่เรียกเขาว่าลุงไปอีกครั้งหนึ่ง จนผมหน้าม้าบางๆ ของเด็กหญิงกระจุยกระจาย อินเดียหลับตาปี๋ก่อนจะหัวเราะชอบใจอีกรอบ

 

 

 

“เอาอีกๆ ทำเสียงคุณฮิปโปอีกน้า~”

 

 

 

“ไอวิชเอาด้วย คุณลุงขายาวทำเสียงคุณฮิปโปให้ไอวิชด้วยค่ะ”

 

 

 

ได้ยินแบบนั้นเบนก็เลยหันหน้าไปหาต้นเสียงอีกด้านหนึ่งที่ยืนทำหน้าตื่นตาตื่นใจรออยู่

 

 

 

“พรืด!”

 

 

 

“เอิ๊กๆ สนุกจังเลยค่ะคุณลุงฮิปโป”

 

 

 

เบนได้แต่ฮึมฮัมอยู่ในใจ ตอนแรกก็คุณลุง ตอนนี้ก็ฮิปโป อะไรกันนักหนาเนี่ย! นี่เขาไปหน้าแก่เกินหน้าเกินตาพ่อแม่ของเจ้าเด็กพวกนี้รึยังไง!

 

 

 

ด้วยความหมั่นไส้ก็เลยหันไปพ่นลมใส่หน้าเด็กน้อยที่ยืนคนละฝั่งอีกคนละที เรียกเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้อีกรอบ พอหายใจใส่หน้ามนุษย์ข้อเดียวจนพอใจแล้วก็เดินไปทิ้งตัวนั่งขัดสมาธิลงกลางห้อง มือใหญ่ล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์หน้าจอเพื่อเข้าไปดูกล่องข้อความ แต่มันก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม นี่ก็ไม่คิดจะตอบข้อความเขาหน่อยหรือไงกัน…จะให้โทรไปหามันก็ไม่ใช่แนวเขาหรอกนะ

 

 

 

ว่าแต่อะไรหนักๆ?

 

 

 

พอเหลือบมองก็เห็นเด็กน้อยสองคนมานั่งข้างๆ แล้วเอามือเท้าลงบนตักตน ทางซ้ายเป็นอินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธ ส่วนด้านขวาเป็นไอวิช นามสกุลอะไรก็ไม่รู้ เมมใส่สมองไปว่า ‘ฮิดเดิลสตัน’ ก่อนแล้วกัน

 

 

 

“อะไรอีกล่ะ? เมื่อกี้ก็ทำคุณฮิปโปให้แล้วไง”

 

 

 

เผลอเรียก ‘คุณฮิปโป’ ตามเด็กน้อยไปซะแล้ว โถๆๆๆ ลุงเบน

 

 

 

“คุณลุงขายาวดูอะไยอยู่คะ”

“เปิดการ์ตูนให้หนูดูหน่อยจิ อินเดียอยากดูพี่ธอร์ เน้อไอวิชเน้อ”

“ช่ายช่าย ไอวิชก็อยากดูด้วย~ ไอวิชจะดูน้องโลกิ เน้ออินเดียเน้อ”

 

 

 

นี่เอ็งสองตัวไปสนิทกันตอนไหน? มีมาเน้อมาแน้ด้วย

 

 

 

“ไม่มีการ์ตูนอะไรทั้งนั้น ไปนั่งไกลๆ ไป๊”

 

 

 

ว่าแล้วก็โบกมือไล่เด็กๆ จอมป่วนทั้งสองพลางเขยิบตัวหนีออกห่าง หันกลับมาเพ่งสายตาไปยังโทรศัพท์มือถืออีกรอบ หน้าจอที่แสดงผลอยู่ยังคงเหมือนเดิมเหมือนก่อนหน้าที่เขาจะมาที่นี่ แววตาสีฟ้าเหลือบทองหรี่ลงเล็กน้อยก่อนไหล่ตึงๆ จะห่อเหี่ยวลงอย่างคนหมดแรง พร้อมๆ กับมือที่ตกลงข้างลำตัว

 

 

 

“เฮ้ย! เจ้าเด็กบ้า เอาคืนมานะ”

“แบร่ ไม่ให้ อินเดียจะดูการ์ตูน เอิ๊กๆๆ”

“อินเดียส่งมาให้เลา คุณลุงขายาวจะจับได้แย้ว”

 

 

 

ว่าแล้วเจ้าเด็กน้อยสองคนก็โยนโทรศัพท์มือถือของร่างโปร่งไปมา มีหลายครั้งที่เจ้าเครื่องมือสื่อสารนั่นตกพื้น และเด็กหญิงก็อาศัยช่วงตัวที่สั้นกว่าหยิบเอามาได้แล้วก็โยนเล่นกันใหม่ พลางหัวเราะชอบใจอย่างสนุกสนาน ไอ้ที่ว่าอยากดูการ์ตูนน่ะลืมไปหมดแล้ว เพราะตอนนี้วิ่งหนีคุณลุงขายาวสนุกกว่าตั้งเยอะ

 

 

 

“จะเล่นกันแบบนี้ใช่มั้ย? ได้เลย ได้”

 

 

 

เบเนดิกต์ดึงผ้าพันคอสีน้ำเงินเข้มของตนออกแล้วโยนอย่างไร้เยื่อใย ก่อนจะตามมาด้วยเสื้อโค้ตตัวยาวใหญ่ ทำให้ตอนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าครามและกางเกงสแล็กสีดำ มือใหญ่ค่อยๆ พับแขนเสื้อที่ว่านั่นขึ้นไปถึงข้อศอกทั้งสองข้าง ประสานมือเข้าหากันและบิดกร๊อบแกร๊บไปมา เส้นผมสีน้ำตาลเข้มหยักยุ่งสะบัดพลิ้วไปทางซ้ายขวาตามแรงที่ศีรษะโยก จะเล่นกันแบบนี้ใช่มั้ยเด็กๆ ได้… เดี๋ยวลุงเบนจัดให้

 

 

 

“ย้าก!!!”

“คิๆๆ เอิ๊กๆๆๆ”

“มาแย้วๆ หนีเร็วววว”

 

 

 

ว่าแล้วขายาวๆ ก็วิ่งไล่ตามเจ้าเด็กน้อย หกล้มหกลุก วิ่งไม่กี่รอบก็ถึงตัวมนุษย์ข้อเดียว เขาใช้ช่วงแขนที่ยาวกว่าคว้าเข้าที่ลำตัวเด็กทั้งสองคนเอาไว้แล้วโยนตุ้บลงไปบนเตียง เรียกเสียงหัวเราะเฮฮาได้ดีทีเดียว ก่อนเด็กน้อยจะคลานถอยหลังลงจากเตียงและวิ่งหนีใหม่ให้ลุงเบนวิ่งไล่ตาม วนลูปเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ทอมที่ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวที่เมื่อกี้มีร่างของเพื่อนซี้วัยแก่กว่านั่งอยู่ เหลือบมองไปยังต้นเสียงอีกครั้ง จากเสียงโวยวายแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะราวกับในห้องนั้นจัดงานเทศกาลรื่นเริงอะไรกันอยู่ เรียวคิ้วสวยขมวดด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก แค่นึกแปลกใจที่เพื่อนซี้ญาติดีกับเด็กๆ ได้ง่ายกว่าที่คิด

 

 

 

เขายกมือขวาขึ้นนวดขมับตัวเองไปมาเพื่อคลายความเหนื่อยล้า เปลือกตาบางปิดสนิทลงไม่เผยให้เห็นดวงตาสีเขียวสวย อารมณ์ตอนนี้ของเขาไม่พร้อมที่จะเคลียร์ปัญหาใดๆ กับคริสแล้ว เอาจริงๆ ก็เหมือนจะรู้คำตอบอยู่กลายๆ แล้วล่ะนะว่าตัวเองผิดที่โวยวายอยู่ฝ่ายเดียว แต่ทำไงได้เล่า! หมอนั่นก็ผิดเหมือนกัน เล่นพูดจากำกวม ไม่อธิบายอะไรให้มันชัดเจนแบบนี้น่ะ จะมาโทษเขาฝ่ายเดียวได้ยังไง ไม่ยอมหรอก ฮึ!

 

 

 

“ทอม…”

 

 

 

มือขาวยกขึ้นเป็นเชิงให้อีกฝ่ายหยุดพูด คนตัวใหญ่ทำไหล่ห่อคอตกลงทันทีที่เห็นแบบนั้น เขายืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าโซฟา จะนั่งก็ไม่กล้ากลัวว่าทอมจะไม่อนุญาต แต่ถ้ายืนอยู่แบบนี้ ทอมก็อาจจะบ่นว่าเขา ‘จะยืนบื้ออยู่อีกนานมั้ย?’ เหมือนทุกที

 

 

 

“แล้วจะยืนบื้ออยู่อีกนานมั้ย? นั่งสิ”

 

 

 

นั่นไง ว่ายังไม่ขาดคำโดนบ่นอีกแล้ว

 

 

 

คนตัวโตกว่าค่อยๆ หย่อนก้นตัวเองลงบนเบาะโซฟาตัวนุ่มสีเขียวตุ่น นั่งไหล่ห่อเหมือนหมาโดนเจ้าของดุก็ไม่ปาน ดวงตาสีฟ้ากะพริบปริบๆ แอบเหลือบมองคนที่นั่งหลับตาอยู่ข้างๆ หลายครั้ง แต่ทอมก็ยังคงนอนนวดขมับปิดตาสนิทอยู่แบบนั้นไม่คิดจะเปิดเปลือกตาขึ้นมาเลยสักนิด

 

 

 

ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ปล่อยให้ช่องว่างระหว่างคนทั้งคู่อัดแน่นไปด้วยบรรยากาศอันแสนอึดอัด ไม่นานนักลมหายใจเฮือกใหญ่ก็ระบายออกมาอีกครั้งพร้อมๆ กับร่างสูงที่ลุกขึ้นยืน แน่นอนว่าทอมรับรู้ได้ทันที เพราะเบาะโซฟามันฟูขึ้นบ่งบอกว่าคนที่นั่งข้างกายเขาเมื่อกี้ลุกขึ้นยืนแล้ว แต่เรือนผมดำก็ยังคงหลับตาอยู่แบบนั้น เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไป พอมองไม่เห็นอะไรแบบนี้ ในใจมันยิ่งเพิ่มความกังวลขึ้นไปอีก และแล้วเขาก็ตัดสินใจ

 

 

 

“คริส! จะไปไหนน่ะ…”

 

 

 

เรียวขาแกร่งในกางเกงยีนสีเข้มหยุดชะงักทันที เขาหันหลังกลับไปก็เห็นทอมที่นั่งอยู่บนโซฟาหันหน้ามาทางเขา ใบหน้าขาวขึ้นสีเล็กน้อย ดวงตาสีเขียวคู่งามเบิกกว้าง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนแน่น เรียวคิ้วขมวดด้วยความกังวลใจ

 

 

 

“เก็บของไง”

 

 

 

เสียงทุ้มเอ่ยตอบเรียบๆ ราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย ทอมสะอึกไปทันที ทั้งๆ ที่เป็นคนบอกให้คริสไปเก็บของเองแท้ๆ แต่ทำไมพอคำนี้หมันหลุดออกมาจากปากคนตัวใหญ่ พอได้ยินแบบนั้นใจมันหวิวๆ ยังไงก็ไม่รู้ แล้วตอนที่เขาพูดให้คริสเก็บของล่ะ…ใจของคริสจะหวิวๆ แบบที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้รึเปล่านะ

 

 

 

“เอ่อ…คือ…นายจะไปเก็บของได้ไงล่ะ ขืนเปิดประตูพวกเด็กๆ ก็ออกมากันพอดีสิ”

 

 

 

ชายหนุ่มผมทองเลิกคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยินข้อความนั้น ก่อนจะหรี่ตาลงเพ่งมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยความสงสัย ทอมไม่ตอบอะไรอีกนอกจากหันไปนั่งท่าทีสงบแบบเดิม มือบางประสานไว้บนตัก ก้มหน้าต่ำเพื่อซ่อนใบหน้าที่เขินอายเอาไว้ กลุ่มผมสีดำปรกหน้าปรกตาไปหมด แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถปิดหูอันแดงก่ำของคนตัวบางได้เลย คริสที่เห็นภาพนั้นก็กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เขาเดินไปยังด้านหน้าโซฟาสีเขียวตุ่น หยุดยืนอยู่ตรงหน้าคนน่ารักที่กำลังก้มหน้างุดๆ อยู่นั่น ร่างใหญ่ย่อตัวลงนั่งชันเข่าตรงหน้าทอมอย่างช้าๆ

 

 

 

“ไม่อยากให้ฉันเก็บของออกไปจากที่นี่แล้วเหรอ”

 

 

 

น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ที่แฝงมาในประโยคคำถามเรียกสีแดงให้แต่งแต้มบนใบหน้าขาวของอีกฝ่ายยิ่งขึ้น ทอมไม่ตอบอะไร นอกจากก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม โอ๊ย…ถ้ามุดเข้าไปในโซฟาตอนนี้ได้ เขาคงมุดหนีไปแล้ว แถมไม่ต้องเห็นหน้าก็รู้เลยว่าไอ้บ้าที่อยู่ข้างหน้าเขากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ ฮึ! ได้ทีล่ะเอาใหญ่เชียวนะ

 

 

 

“สรุปว่า…อินเดียเป็นหลานฉัน นายรู้แล้วใช่มั้ย?”

 

 

 

“ระ…รู้แล้วน่า…จะถามย้ำทำไมบ้าจริง”

 

 

 

ประโยคหลังกระซิบแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเอง แต่เพราะคริส เฮมส์เวิร์ธนั่งอยู่ในระยะประชิดมากจึงได้ยินประโยคนั้นเต็มๆ คนตัวใหญ่หัวเราะหึๆ ในลำคอเบาๆ ก่อนจะใช้สองมือเอื้อมไปกอบกุมมือบางที่ประสานกันแน่นไว้บนหน้าตัก เขาดึงมืออีกฝ่ายให้คลายออกจากกันแล้วยกขึ้นชิดริมฝีปากของตัวเอง พอสัมผัสอุ่นนุ่มกระทบที่ปลายนิ้วเย็นเยียบของตัวเองเท่านั้นแหละ ทอม ฮิดเดิลสตันก็สะบัดหน้าแดงๆ เงยขึ้นมาสบตากับอีกฝ่ายทันที

 

 

 

แต่แล้วก็ต้องหน้าแดงมากขึ้นเมื่อเห็นว่าดวงตาสีฟ้าใสของคนที่นั่งอยู่เบื้องล่างช้อนมองขึ้นมาด้วยความหมายมากมายเกินกว่าจะบรรยายได้ นั่นทำให้ดวงตาสีเขียวต้องหลบวูบลงต่ำอีกครั้ง

 

 

 

“ตกลงว่า…ไม่ต้องเก็บของแล้วใช่มั้ย?”

 

 

 

“อื้อ”

 

 

 

“แต่ฉันยังอยากเก็บของอยู่นะ”

 

 

 

“เอ๋?”

 

 

 

คนตัวบางที่นั่งอยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดวงตาที่สบมองไม่ได้ฉายแววเขินอายแต่อย่างใด แต่มันเป็นแววสงสัยระคนเสียใจ คำถามมากมายที่วิ่งวนอยู่ในหัวแบบจับต้นชนปลายไม่ได้ ความรู้สึกหลายอย่างประดังประเดแน่นอก คิดสะระตะไปเรื่อยว่าอีกฝ่ายโกรธตนจนถึงขั้นอยากเลิกคบ หรือไม่ก็คงเบื่อในความเอาแต่ใจ งี่เง่าของตนจนไม่อยากจะอยู่ร่วมห้องกันอีกแล้ว

 

 

 

แต่แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลใจก็จางหายไป เรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นในคราแรกที่ได้ยินประโยคนั้นกลับคลายออกเป็นระบายยิ้มกว้าง พร้อมๆ กับความเขินอายที่ปรากฏฉายชัดอยู่เต็มใบหน้าแดงๆ นั่น

 

 

 

“อยากเก็บของย้ายจากห้องตัวเองไปอยู่ห้องนายน่ะ”

 

 

 

“…”

 

 

 

“นะครับ? โอ๊ย!”

 

 

 

“ได้คืบจะเอาศอกตลอด อ๊ะ!”

 

 

 

ทอมสะบัดมือออกข้างหนึ่งแล้วแจกหมัดลุ่นๆ เสยเข้าที่ปลายคางไปเบาๆ เล่นเอาคนตัวใหญ่หงายเงิบไปด้านหลังลงไปนอนกลิ้งกับพื้น แต่ก็ยังไม่วางใช้แรงที่มีอยู่ฉุดมืออีกข้างที่ยังคงกุมมือของคนตัวบางไว้ดึงให้ลงมานอนบนพื้นด้วยกัน

 

 

 

คนตัวบางที่นอนทาบทับอยู่ด้านบนได้แต่ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมแขนใหญ่ ดูเหมือนว่าพี่ธอร์จะไม่ยอมปล่อยน้องโลกิให้หนีหายไปง่ายๆ ริมฝีปากสวยฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายกำลังบิดตัวหนีอยู่ อาศัยช่วงชุลมุนหอมแก้มเนียนๆ นั่นไปหลายฟอด

 

 

 

“คริส พอก่อน…”

 

 

 

เสียงหวานเอ่ยอย่างผะแผ่วด้วยความเหนื่อยอ่อนเพราะดิ้นหลบมากไป ใกล้กันจนลมหายใจรินรดกันและกัน คนตัวบางใช้ข้อศอกทั้งสองด้านดันแผ่นอกแกร่งของอีกฝ่ายเอาไว้เพื่อเว้นระยะห่างของใบหน้าให้มากขึ้น แต่คริส เฮมส์เวิร์ธก็ไม่ฟัง กลับเลื่อนมือที่ใช้โอบกอดร่างบางๆ อยู่เมื่อกี้ สอดปลายนิ้วทั้งห้าเข้าขยุ้มเส้นผมนุ่มของคนที่นอนทับเขาอยู่ด้านบน ก่อนจะค่อยๆ กดศีรษะอีกฝ่ายให้โน้มตามแรงดึงดูดของโลก ตั้งใจว่าจะให้ริมฝีปากของเราประกบกันแบบช้าๆ

 

 

 

แต่ที่ไหนได้…

 

 

 

“อุ๊บ!”

 

 

 

เสียงฝีเท้าของเด็กน้อยสองคนสับขาอย่างรวดเร็ววิ่งตรงมายังพวกเขาที่นอนกอดกันอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา ก่อนเจ้าตัวเล็กนามว่าอินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธจะกระโดดขี่หลังคนบางเจ้าของห้องทันที ตามมาด้วยเด็กที่ตัวเล็กกว่าอย่างไอวิชที่กระโดดขึ้นขี่หลังอาทอมของเธออย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน

 

 

 

ใบหน้าของทอมเคลื่อนที่ลงมาหาอย่างรวดเร็วจนคนตัวใหญ่ที่อยู่ด้านล่างตกใจรีบเบนหน้าหนีไปข้างๆ ด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอด ริมฝีปากของทอมเลยประทับอยู่บนแก้มสากๆ แทน แต่มันก็ไม่ได้มีความโรแมนติกเลยสักนิด เพราะเสียงของเจ้าตัวเล็กที่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับเงาดำที่ทาบทับลงมามันบอกให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

 

 

 

ไอ้พวกนี้มันกล้าขัดคำสั่งเขาออกมาจากห้องเรอะ!?

 

 

 

“ป๊ะป๋าขี้โกง อินเดียก็อยากเย่นเครื่องบินฉูงๆ แบบอาทอมบ้างนี่นา”

“ไอวิชเล่นด้วย ไอวิชก็อยากเล่นเครื่องบินเหมือนกัน”

 

 

 

และแล้ว…เสียงเจี๊ยวจ๊าวโวยวายก็ดังลั่นก้องห้องพักหลังเล็กๆ อีกครั้ง หนุ่มตัวบางบิดตัวจนเด็กๆ หล่นปุกลิ้งไปกับพื้นเรียกเสียงหัวเราะคิกคักออกมาได้เป็นอย่างดี เขากลิ้งลงมานอนข้างๆ คนตัวใหญ่ที่จู่ๆ ก็เอาท่อนแขนมารองใต้ศีรษะเขาตอนไหนก็ไม่รู้ให้นอนหนุนต่างหมอน พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเพื่อนซี้ยืนหัวเราะหึๆ อยู่ด้านบน หน็อย เจ้าหัวหน้าแก๊งเด็กเกรียนคนนี้นี่เองที่กล้าขัดคำสั่งเขา

 

 

 

แต่คนที่ดูจะเสียดายกับเรื่องนี้มากที่สุดเห็นจะเป็นเจ้าคนตัวใหญ่ที่นอนแผ่พังพาบอยู่กับพื้นนี่แหละ ฮื้อ…เล่นเครื่องบงเครื่องบินอะไรกันล่ะเด็กๆ เมื่อกี้น่ะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม น้องโลกิจะยอมยกแอสการ์ดคืนมาให้พี่ธอร์อยู่แล้วนะ รีบออกกันมาทำไม ฮื้อ…

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again : จบล้าววววววว จึงๆ มีคุณครูขามาต่ออีกตอนนึงแล้ว เป็น Spin off ของตอนนี้ เพราะเรื่องพี่เบนยังไม่ได้เคลียร์เลย อุฮิๆ เดี๋ยวจะรีบมาต่อตอน Spin off แล้วจะรีบไปแต่งตาหลากสีนะคะนะคะ :D

 

ไปๆ มาๆ กลายเป็นสามตอน วันเกิดสามคน ไอวิช – น้องอินเดีย – เจ๊พตก. ฮ่าๆๆๆ มีความสุขทุกๆ คนนะก๊ะ ><