Title: My mate Little boy the series – Halloween Sweet
Pairing: Benedict Cumberbatch x Martin Freeman and All
Author: Babibubell
Talk: สารภาพว่าเรื่องนี้แต่งไว้ตั้งแต่ The Hobbit ภาค 3 ยังไม่เข้าโรง จนกระทั่งบัดนี้… (มันลาโรงไปกี่ปีแล้วก็อย่าไปนับเลยค่ะ แหะๆ) ได้ฤกษ์เอามาแต่งต่อให้จบซักที หลังจากปล่อยค้างไว้ให้เปลืองเนื้อที่โทรศัพท์มานาน เหอๆ แถมช่วงนี้เราบ้าคู่ คุณหมอกับคุณเอเจนท์เป็นพิเศษ ก็เลยอยากจะเพิ่มตัวละครไปบ้าง ก็คงไม่ว่ากันนะคะ XD
<3<3<3
มาร์ติน ฟรีแมนไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
ชายหนุ่มร่างเล็กผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนกะพริบตาปริบๆ ให้กับภาพตรงหน้าราวกับจะปฏิเสธในสิ่งที่ตาเห็น ก่อนจะหันไปมองปฏิทินที่แขวนบอกวันเวลาอยู่ตรงผนังห้องสีครีม ถ้าเขาจำไม่ผิดนี่มันกลางฤดูใบไม้ร่วง ปลายสุดเดือนตุลาคมแล้วนี่นา แล้วทำไมเขาถึงได้เห็นอะไรๆ แบบนี้ได้
เมื่อห้านาทีก่อน ศาสตราจารย์วิชาวรรณกรรมกำลังใช้เวลาช่วงเย็นหลังกลับจากมหาวิทยาลัย ผ่อนคลายและปลดเปลื้องภาระหน้าที่ทั้งหลายทั้งปวงออก นอนแผ่สองสลึงอยู่บนโซฟาขนาดหนึ่งคนนั่งตัวโปรดที่ตั้งอยู่แถวๆ หน้าทีวี ไถลตัวจนศีรษะด้านหลังซบไปกับพนัก เหยียดเท้ายืดยาวยันไปยังโต๊ะไม้ตัวเล็ก ปล่อยมือลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกและหลับตาจมอยู่กับความสงบของช่วงเย็นวันจันทร์ปลายเดือนแบบนี้
วันนี้เขาไม่ต้องไปสอนพิเศษลูกศิษย์ตัวน้อยที่บ้าน เพราะริชาร์ดบอกว่าวันนี้วันฮัลโลวีน คุณพ่อทั้งสองตั้งใจจะพาลูกน้อยออกไปผจญโลกผีๆ กันแบบครอบครัว แน่นอนว่าเขาไม่มีเหตุผลใดให้ปฏิเสธ ได้หยุดสอนสบายๆ หนึ่งวันแบบนี้ ไม่รู้จะปฏิเสธให้ตัวเองเหนื่อยทำไม
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วันนี้เขาเหนื่อยมากกว่าปกติเพราะที่มหาวิทยาลัยเขามีงานประชุมวิชาการด้านภาษาและวรรณกรรมอังกฤษ ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่รวบรวมศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกเอาไว้มากมาย และเขาซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าบ้านจัดงานนี้ จึงต้องแต่งตัวเรียบร้อยมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม โดยเฉพาะไอ้การใส่สูทผูกไทที่นานๆ ครั้งต้องทำมันทำให้มาร์ติน ฟรีแมนรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
เพราะฉะนั้น…ความสงบในวันที่เสร็จสิ้นจากหน้าที่การงานแบบนี้นี่แหละคือสุดยอดปรารถนาของเขา
ทว่า ริมฝีปากที่ยกยิ้มให้กับความสุขตรงหน้านั้นก็เกิดขึ้นได้เพียงครู่เดียว เพราะเสียงเคาะประตูหน้าห้องพักดังขึ้นขัดจังหวะอารมณ์สบายๆ ของชายหนุ่มเจ้าของห้องเสียก่อน
ตอนแรกมาร์ตินก็กะว่าจะทู่ซี้นอนอยู่แบบนั้น เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเด็กๆ ที่มาเล่นสนุกตามประสามากกว่า แต่พอเสียงรัวกำปั้นดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจลืมตาและคว้ากระเป๋าที่โยนทิ้งไว้ข้างโซฟาขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย มือเล็กล้วงไปควานหาลูกอมสองสามเม็ดที่ได้รับมาจากนักศึกษาในคลาส กะว่าจะนำไปแจกเด็กๆ ที่มาเคาะประตูห้องตนอยู่ จะได้จบเรื่องจบราวไป
แต่ที่ไหนได้…พอเปิดประตูออกมาเขาก็ถึงกับอึ้ง
คนแคระธอริน กษัตริย์เอลฟ์ธรันดูอิล แล้วก็เจ้าฮอบบิทบิลโบมายืนอยู่หน้าห้องเขาได้ไง!?
“Trick or treat!”
สามเสียงประสานกันออกมาดังลั่นแบบไม่เกรงอกเกรงใจคนข้างห้องเขาเลยสักนิด มาร์ติน ฟรีแมนยืนขยี้ตาตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเบ้ปากแล้วปิดประตูห้องดังปังทันทีโดยไม่สนใจรอยยิ้มกว้างของครอบครัวสุขสันต์หลังประตูห้องเลยสักนิด
“เฮ้ย! มาร์ติน! เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ นายนี่นับวันยิ่งมารยาทแย่เหมือนไอ้เด็กบ้านั่นเข้าไปทุกที เป็นแฟนกันนี่มันออสโมซิสนิสัยผ่านกันได้ด้วยรึไง”
ได้ยินดังนั้นศาสตราจารย์ร่างเล็กที่ยืนตัวตรงอยู่หลังบานประตูก็กลอกตาบนพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ นิ้วมือทั้งสิบกำๆ แบๆ เหมือนกับกำลังอดทนอะไรอยู่สักอย่าง ใจจริงเขาอยากจะกระชากประตูให้เปิดออกแล้วตะโกนใส่หน้าไอ้พี่ชายข้างบ้าน ไม่ใช่สิ อดีตพี่ชายข้างบ้านกลับไปว่า เขายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับเบนสักหน่อย ถึงมันจะผ่านมาหลายปีแล้วก็เถอะ แต่ความสัมพันธ์ของเขาสองคนก็ยังคลุมเครืออยู่อย่างนั้น แต่ก็นั่นแหละ ขืนพูดออกไป เขาก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายต้องมองกลับด้วยแววตาล้อเลียน แล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยว่า ‘ฉันยังไม่ได้เอ่ยชื่อไอ้เด็กนั่นเลยนะ’ แน่นอน! ทีนี้ก็จะกลายเป็นว่า เขาขุดหลุมฝังตัวเอง เปิดช่องโหว่ให้ศัตรูปล่อยหมัดฮุคเข้าปลายคางได้ เพราะฉะนั้นถึงอยากจะเปิดประตูออกไปชูนิ้วกลางใส่หน้าริชาร์ดมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่ยืนนิ่งๆ เจ็บใจอยู่แบบนี้ไงล่ะ
“มาร์ติน~ Trick or treat จะหลอกหรือจะเลี้ยงก็เปิดประตูหน่อย ทำแบบนี้ยูจีนลูกสาวฉันเขาเสียใจนะ ดูสิ จะร้องไห้แล้วเนี่ย”
“เอ๋? แดดดี๊ หนูยังไม่ได้ร้องไห้ อุ๊บส์! เอยอะ อื้อ!”
ฮอบบิทยูจีนที่เห็นคุณพ่อผมดำของเธอพูดอะไรแปลกๆ ออกมา โดยบอกว่าเธอร้องไห้ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้จะทำแบบนั้นเลยสักนิด พอเธอตั้งใจจะแก้ต่างสิ่งที่แดดดี๊พูดผิด กลับกลายเป็นว่าพูดยังไม่ทันจบประโยค มือใหญ่ๆ ของคุณพ่อกษัตริย์คนแคระก็ยื่นมาปิดปากเธอเสียก่อน
“ชู่ว…โอ๋ ยูจีน ไม่เอาไม่ร้องนะลูก เฮ้! ลี มัวแต่ยืนขำอยู่ได้ มาช่วยกันหน่อยสิ”
พอลูกสาวตัวน้อยเหมือนจะท่าเยอะ เริ่มดิ้นไปดิ้นมาจนคุณพ่อร่างใหญ่เอาไม่อยู่ เขาเลยหันไปพานใส่ชายหนุ่มผมทองข้างๆ ที่ยืนขำท้องคัดท้องแข็ง เบนหน้าหนีไปทางอื่นแทน
“ลี!”
เจ้าของชื่อได้ยินดังนั้นก็พยายามกลั้นขำสุดชีวิต ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์และลมหายใจตนเองให้กลับเป็นปกติ กษัตริย์เอลฟ์ผู้สูงส่งอย่างธรันดูอิลยืดตัวขึ้นอย่างสง่างาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและเย่อหยิ่ง อยากจะให้เขาช่วยอย่างนั้นหรือ ธอรินบุตรแห่งธราอิน เขาช่วยแน่ แต่…
“เจ้าหยุดแกล้งสหายตัวน้อยได้แล้ว ธอริน”
ไม่พูดเปล่า เขาว่าพลางยื่นมือคว้าหมับเข้าที่มือของคนรักก่อนจะดึงให้ออกจากปากลูกสาวตัวน้อย ยูจีนที่พอเป็นอิสระก็สูดลมหายใจเข้าปอดยกใหญ่
“แดดดี๊ ไม่ใช่สิ… ธอริน ไยเจ้าใจร้ายกับเราเพียงนี้ กล่าวเท็จแล้วยังแกล้งฮอบบิทอย่างเราอีก ใช้ไม่ได้เลย”
เด็กน้อยเพียงคนเดียวรับส่งมุกเข้าขาได้ดีกับคุณพ่อผมทอง ส่วนคุณพ่อที่ถูกลูกสาวค้อนขวับวงใหญ่รีบผละออกจากชายหนุ่มอีกคน นั่งคุกเข่าลงเพื่อให้ความสูงเท่าตัวลูกสาว แล้วเอ่ยง้อทันที
“โธ่…ยูจีน”
เสียงของริชาร์ดดังง้องแง้งสลับกับเสียงลูกศิษย์ของเขา ทำให้มาร์ตินยืนหัวเราะคิกคักอยู่ภายในห้อง พอนึกภาพริชาร์ดที่กำลังใช้สารพัดวิธีง้อลูกสาวแล้วเขาก็ถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ปล่อยก๊ากออกมาฮายกใหญ่ ยกมือขึ้นเท้าหลังตู้ใส่ของสีขาวครีมแล้วก้มตัวหัวเราะเสียงดัง
ไม่นานนักมือเล็กก็เอื้อมไปเปิดประตูห้องออก ตั้งใจจะเอาลูกอมใส่ในกระป๋องสีส้มที่วาดเป็นหน้าแจ๊คโอแลนเทิร์นในมือของเด็กหญิงยูจีน
“Trick or treat คะ? คุณครูขา”
ทันทีที่ยูจีนเห็นประตูตรงหน้าเปิดออก เด็กน้อยก็ละความสนใจจากคุณพ่อผมดำที่อยู่ในชุดกษัตริย์คนแคระพร้อมด้วยหนวดเครารุงรังเต็มยศอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ชายหนุ่มยกมือค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเพราะกำลังจะลูบหัวลูกสาวอยู่แบบนั้น เล่นเอาลี เพซกับเจ้าของบ้านอย่างมาร์ตินขำคิกคัก เสียฟอร์มอีกแล้วสินะคุณพ่อ
“Treat ค่ะยูจีน”
ว่าจบก็เอาลูกอมในห่อกระดาษสีสวยใส่ลงไปในกระป๋อง แล้วเอื้อมมือไปวางบนศีรษะเด็กหญิงแล้วขยี้ไปมาเบาๆ อย่างเอ็นดูในตำแหน่งที่เมื่อสักครู่ริชาร์ดคิดจะทำเป๊ะๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นผ้าพันคอสีส้มแดงของยูจีน ปลายด้านหนึ่งคล้ายหางสัตว์เลื้อยคลาย ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งพันพาดไว้ตรงบ่า มันมีลักษณะคล้ายหัวมังกร อืม…คงจะเป็นสเมาก์สินะ
“ยูจีนชอบสเมาก์เหรอจ๊ะ?”
เด็กหญิงส่ายหน้า เธอเอียงคอทำท่านึกก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเอ่ยคำตอบออกมา ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำเอาคุณพ่อผมดำเกือบร้องไห้
“ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น หนูก็ชอบมากกว่าธอรินอยู่ดี”
แล้วสามคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสายตาอาฆาตแค้นแบบหงุดหงิดเสียเต็มประดาของริชาร์ด แต่ศาสตราจารย์ร่างเล็กก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ซ้ำยังยักคิ้วหลิ่วตาใส่อย่างเยาะเย้ย ถือเป็นการแก้แค้นที่ตอนแรกอีกฝ่ายพูดจาล้อเลียนเขาไปในตัว
ทะเลาะกันทางสายตาไม่นาน สามคนพ่อลูกก็เดินจากไป โดยที่หนูน้อยยูจีนยังหันหลังมากระโดดโบกมือบ๊ายบายให้เขา ก่อนที่จะหันไปจับมือคุณพ่อทั้งสองของเธอไว้แล้วตัวเธอก็ถูกยกลอยขึ้นมาเหนือพื้นราวกับเหาะได้อย่างน่าสนุก
มาร์ตินมองภาพนั้นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้
เขาไม่ได้เป็นแฟนหนังเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง หรือ เดอะ ฮอบบิท อะไรหรอกนะ แต่จะบอกว่าไม่เคยดูเลยก็คงกลายเป็นพูดโกหก เอาเป็นว่า พอได้มาเห็นสามคนพ่อลูกแต่งคอสเพลย์เป็นตัวละครจากหนังเรื่องนั้นมันก็ดูน่ารักดีเหมือนกันนะ
ชายหนุ่มร่างเล็กยืนยิ้มอยู่ได้ครู่หนึ่งก็หันหลังกลับเข้าห้องไป เสียงประตูห้องที่ค่อยๆ ปิดลงราวกับจะกั้นความวุ่นวายภายนอกให้ถอยห่างทำให้มาร์ตินอารมณ์ดีมากขึ้น เขาเดินไปทิ้งตัวนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาตัวเดิม เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลง เตรียมตัวจะถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมด
ก๊อกๆ!
ลมหายใจสะดุดกึกกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ ใจหนึ่งก็อยากจะทำเป็นหูหนวกตาบอด แสร้งว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แต่อีกใจก็อยากจะลุกออกไปเปิดดูว่าเป็นใครมาเคาะประตูขัดความสุขเขา หากเป็นครอบครัวประหลาดต่างสายพันธุ์เจ้าเดิมอีกล่ะก็…พ่อจะชูนิ้วกลางใส่จริงๆ ด้วย
ก๊อกๆๆ!
นั่น! มีการเพิ่มระดับจากสองครั้งเป็นสามครั้ง สุดท้ายมาร์ติน ฟรีแมนก็ได้พ่นลมหายใจสมอยาก แต่มันเป็นการระบายออกด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาเดินลากเท้าจากโซนห้องรับแขกไปยังประตูบานเดิมอีกครั้ง ลองตบๆ กระเป๋ากางเกงสแล็กกับเสื้อเชิ้ตดูเพื่อหาว่ามีลูกอมหลงเหลืออยู่หรือไม่ ก่อนจะเย็นใจว่าอย่างน้อยก็ยังเหลือลูกอมผู้โชคร้ายนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงซ้ายเขาหนึ่งเม็ด
เมื่อมือเล็กผลักประตูให้เปิดกว้าง ภาพที่เห็นก็ทำให้เขาถึงกับเลิกคิ้วแปลกใจ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ เพราะตรงหน้าเขาตอนนี้มีเด็กอยู่ถึงสองคน แล้วก็มีเด็กยักษ์…ยักษ์ขนาดที่ทำให้เขาต้องเงยหน้าพูดด้วยอีกสองคนยืนประกบข้างเด็กน้อยอยู่ แล้วส่วนไหนน่ะเหรอที่ทำให้เขาแปลกใจ? ก็ชุดคอสตูมของเจ้าเด็กพวกนั้นยังไงล่ะ ถ้าครอบครัวเมื่อครู่เป็นตัวละครจากจักรวาลเดอะ ฮอบบิทล่ะก็…เจ้าพวกนี้ก็เป็นตัวละครจากจักรวาลมาร์เวลแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวอร์ชันไหน เพราะมันเป็นธอร์กับโลกิตัวจิ๋วน่ะสิ!
“Trick or treat!”
มาสเต็ปเดิมเป๊ะ! และเขาก็อยากจะปิดประตูบ้านใส่หน้าเหมือนเดิมเช่นกัน แต่ติดตรงที่ว่าถ้าทำอย่างนั้นเด็กหญิงธอร์กับเด็กหญิงโลกิคงจะร้องไห้จ้าแน่นอน แถมดูเป็นการเสียมารยาทต่อผู้ช่วยสอนของเขาที่เป็นผู้ปกครองของเด็กน้อยอีกต่างหาก มาร์ติน ฟรีแมนเลยได้แต่ยิ้มหวานส่งให้อย่างฝืนๆ ก่อนจะลังเลครู่หนึ่งว่าจะตอบ Treat ออกไปดีหรือไม่ เพราะมีเด็กสองคน แต่ลูกอมเขาเหลือแค่เม็ดเดียว
“จะหลอกหรือจะเลี้ยงคะ ไอวิชยืนเมื่อยแล้วอ่า… เดี๋ยวต้องเดินไปเคาะอีกหลายบ้านด้วย ไอวิชอยากกลับบ้านแล้วค่ะอาทอม”
พูดจบก็หันไปเบะปากทำหน้าเหนื่อยใส่คุณอาในชุดเทพโลกิ คนโดนอ้อนยู่หน้าเล็กน้อย เมื่อก่อนหลานสาวเขาไม่งอแงเก่งแบบนี้ แต่เพราะโดนเจ้าหมียักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาตามใจแบบสุดกู่ แถมมีลูกคู่อย่างอินเดียคอยเออออห่อหมกอีก เลยทำให้เด็กน้อยของเขาเสียผู้เสียคนแบบนี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ กลับแอสการ์ดเมื่อไหร่ โลกิผู้นี้แหละจะจัดการธอร์ให้หมอบเลยคอยดู!
“ไม่เอาๆ อินเดียยังไม่อยากกลับค่ะ อินเดียยังอยากได้ลูกอมอีก พี่มาร์ตินมีลูกอมมั้ยคะ? เอาใส่กระป๋องมาเร็วๆ เลยค่ะ”
ไม่พูดเปล่า มีการยื่นกระป๋องสั่นดิ๊กๆ เป็นการเร่งเขาอีกต่างหาก เห็นแล้วก็อดขำปนเอ็นดูในความแก่นเซี้ยวของเด็กหญิงไม่ได้ นึกย้อนกลับไป จำได้ว่าตอนเด็กๆ ยูจีนก็แสบไม่เบาเหมือนกัน
“อินเดีย ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลย”
เสียงทุ้มปรามออกมาไม่ดังนัก คนโดนดุทำปากจู๋ อมลมเข้าแก้มจนพองอย่างไม่พอใจ แต่ถึงอย่างไรความต้องการลูกอมก็ยังมีมากกว่า เธอยังคงยื่นแขนสั้นๆ ไปตรงหน้าศาสตราจารย์ร่างเล็กอย่างไม่ลดละ แม้จะโดนคนเป็นอาดุก็ตาม
มาร์ติน ฟรีแมนเห็นแบบนั้นก็ขำเบาๆ ล้วงลูกอมเม็ดสุดท้ายหย่อนลงในกระป๋อง ทว่าเสียงดัง ‘ป๊อง’ ที่ดังก้องไปทั่วทางเดินราวกับจะหยุดทุกการเคลื่อนไหว ธอร์จิ๋วยืนนิ่งก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงไปมองในกระป๋องสีส้มรูปทรงฟักทองปีศาจช้าๆ เมื่อเห็นว่าในนั้นมีลูกอมเพียงเม็ดเดียวเธอก็อ้าปากโวยวาย
“ทำไมพี่ใส่มาเม็ดเดียวเองล่ะคะ พวกอินเดียมากันตั้งสี่คนนะ หรือว่าพี่มาร์ตินนับเลขไม่ถูก เดี๋ยวอินเดียสอนให้ก็ได้นะคะ อินเดียหนึ่ง ไอวิชนับสองเร็วๆ สิ”
“ไอวิชสอง อาทอมนับสามเร็วค่ะ”
สิ้นเสียงแจ๋วๆ อย่างสดใสของเด็กน้อย ผู้ใหญ่สามคนที่ยืนอยู่ในวงสนทนานั้นก็ใบ้รับประทานกันไปหมด ต่างคนต่างทำหน้าปูเลี่ยนๆ โลกิกับธอร์ทำหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนเจ้าของบ้านที่โดนกล่าวหาว่านับเลขไม่ถูกก็ได้แต่เม้มปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เก็บอาการไว้
ใจจริงเขาอยากจะชูนิ้วกลางแล้วเตะเจ้าเด็กพวกนี้ไปให้พ้นๆ หน้าห้องเขาต่างหาก!
“อะ…อินเดีย เม็ดเดียวก็พอแล้วค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กอมลูกอมเยอะๆ แล้วเดี๋ยวฟันผุนะ มันไม่ดี เนอะทอมเนอะ”
คริส เฮมส์เวิร์ธค่อยๆ ย่อตัวลงเตรียมจะหนีบเจ้าเด็กน้อยในผ้าคลุมแดงเข้าเอว ปากก็เอ่ยร้องหาพวก ส่วนดวงตาก็ขยิบยิบๆ ส่งสัญญาณให้ทอมเผ่นออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“จริงด้วย อาคริสพูดถูกค่ะ เพราะงั้นเราเอาไปเม็ดเดียวพอ เดี๋ยวแบ่งกันกินเนอะ เราไปบ้านอื่นกันดีกว่า ไอวิชจะได้รีบกลับบ้านไง”
พูดพลางค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งเตรียมอุ้มเด็กหญิงโลกิหนีเหมือนกัน และประโยคต่อมาที่หลุดมาจากปากอินเดียก็ทำเอาทอม ฮิดเดิลสตันและคริส เฮมส์เวิร์ธอยากจะวาร์ปหายตัวไปจากตรงนั้น
“แล้วคุณลุงฮิปโปไปไหนละคะ? ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ หรือว่าที่ให้ลูกอมอินเดียเม็ดเดียว เพราะที่เหลือจะเก็บไว้ให้คุณลุงฮิปโป…อุ๊บ! อื้อ!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ มือใหญ่ของคริสก็พุ่งเข้ามาปิดปากหลานสาวก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นแล้ววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แน่นอนว่าด้านหลังก็ตามมาติดๆ ด้วยโลกิใหญ่กับโลกิน้อย ซึ่งเด็กหญิงไอวิชที่ถูกทอมอุ้มขึ้นบ่าก็ไม่วายหันหน้ามาโบกมือบ๊ายบายให้ศาสตราจารย์ร่างเล็กพร้อมกับตะโกนเสียงดังก้องทั่วทางเดินว่า
“บอกคุณลุงฮิปโปด้วยนะคะว่าอย่ากินลูกอมเยอะ เดี๋ยวฟันผุ ต้องไปหาหมอไม่รู้ด้วยน้า~”
เสียงใสค่อยๆ ดังห่างออกไปเรื่อยๆ ผกผันกับหน้าที่ค่อยๆ แดงขึ้นของชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่ยังยืนอยู่ สรุปนี่มันวันอะไรกันแน่!? เพียงแค่ไม่กี่นาทีกลับทำให้เขารู้สึกเขินได้มากขนาดนี้ทั้งๆ ที่เจ้าตัวที่ถูกพูดถึงไม่อยู่ตรงนี้ และเขาก็หวังว่าเทศกาลนี้จะไม่อยู่ในฮาร์ดไดรฟ์สมองของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์หรอกนะ ลำพังแค่รับมือกับริชาร์ดกับเด็กหญิงอินเดียก็วุ่นวายเกินพอแล้ว เอ้อๆ เพิ่มเด็กหญิงไอวิชไปด้วยอีกคน ฮึ่ม! เจ้าตัวแสบทั้งหลาย!
ยืนนิ่งได้ไม่นานก็หันหลังปิดประตูบ้านอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วผ่อนออกยาวๆ ก้าวขาเดินไปทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนที่โซฟาตัวเดิม เท้าเล็กยกขึ้นพาดไปกับโต๊ะตัวเตี้ยแถวๆ นั้น มือดึงเนกไทสีกรมท่าลายจุดขาวเพื่อคลายออก เขาปิดเปลือกตาลง และตั้งใจแน่วแน่ว่า ถ้าคราวนี้มีใครมาเคาะประตูเรียกให้เขาไปเปิดอีก เขาจะไม่…
ก๊อกๆ
…ไปเปิดเด็ดขาด…
“โว้ย! นี่มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”
ชายหนุ่มสบถเสียงไม่ดังนักออกมา ก่อนจะก้มหน้าคอตกเหมือนยอมรับชะตากรรม ปากบ่นพึมพำคำว่า ‘ก็ได้ๆ’ ออกมาไม่หยุดพลางเดินตรงไปยังประตูบานเดิมอีกครั้ง ก็ช่วยไม่ได้ นี่มันวันฮัลโลวีนนี่นะ บ้านเขาจะมีแขกมาหามากหน่อยมันก็ไม่แปลก ถ้าเป็นวันวาเลนไทน์แล้วมีคนมาเคาะประตูบ้านรัวๆ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าแปลก
เอ…แต่การที่มีกลีบกุหลาบมาโปรยทั่วพื้นห้องนอนเขาก็นับว่าแปลกอยู่นะ
สายตามองไปยังแจกันที่ตั้งอยู่บนตู้ตัวเตี้ยตรงประตูทางเข้า พอคิดถึงเรื่องราวน่ารักๆ เมื่อครั้งก่อนหน้านั้น ริมฝีปากก็ระบายยิ้มบางๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้จะผ่านมาหลายปี แต่ความสัมพันธ์ของเขาสองคนก็ยังครึ่งๆ กลางๆ อยู่แบบนี้ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี หรือเขาไม่พอใจอะไร ที่มันเป็นแบบนั้น ก็แค่มันเหมือนกับว่าสถานะอะไรก็ไม่สำคัญ ขอเพียงทั้งเขาและเบนต่างรับรู้ว่า เราสองคนยังอยู่ตรงนี้เพื่อกันและกันเท่านั้นก็พอแล้ว
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ มันดึงสติของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนให้กลับเข้าร่าง มาร์ติน ฟรีแมนสะบัดหัวหนึ่งที ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตู ในใจพลันคิดว่าถ้าเป็นเด็กๆ มาขอลูกอม คราวนี้เขาคงจะไม่มีให้แล้ว คงต้องยอมให้เด็กๆ เหล่านั้นหลอกล่ะมั้ง
ทว่าพอประตูเปิดออก ครั้งนี้กลับเป็นครั้งที่ทำให้เขาอึ้งที่สุด อึ้งยิ่งกว่าสองครั้งที่ผ่านมา ภาพตรงหน้าที่เห็นนั้นทำให้สมองถึงกับคิดทบทวนว่า วันนี้มันวันอะไร เดือนอะไรกันแน่ เขาหันไปมองปฏิทินที่แขวนอยู่ตรงผนังห้อง และใช่ นี่มันเดือนตุลาคมแน่นอน ไม่ใช่เดือนกรกฎาคมที่ปกติจะจัดงานคอมมิกคอนอะไรทำนองนี้นี่!?
แล้วทำไมเขาถึงเห็นดอกเตอร์ สเตรนจ์ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ล่ะ!?
“Trick or treat”
ไม่ใช่หุ่นด้วย พูดได้แบบนี้ ตัวจริงแน่ๆ เอ…หรือว่ามาโปรโมตหนังแถวนี้ล่ะเนี่ย?
“มาร์ติน Trick or treat”
ทว่าพอเสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาเรียบๆ อีกรอบ พร้อมกับเขาที่เพ่งพินิจมองอย่างตั้งอกตั้งใจ ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ดาราดังที่ไหน แต่เป็นไอ้ลูกศิษย์จอมป่วนที่เขาคิดถึงอยู่เมื่อสักครู่นี้ต่างหาก ขอสารภาพว่าเขาไม่ได้คิดว่าวันนี้จะเจอเบนด้วยซ้ำ แถมยังมาด้วยรูปลักษณ์ อืม…นับว่าแปลกตาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก็ว่าได้ ร่างสูงอยู่ใต้ผ้าคลุมสีแดงปกตั้ง เสื้อผ้าด้านในเป็นสีครามไล่เฉด พันเข็มขัดสีน้ำตาลไว้ตรงเอวเสียหลายเส้น คาดคะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะหกถึงเจ็ดเส้น แถมยังห้อยสร้อยคอประจำกายของตัวละครหมอแปลกอีกต่างหาก
ใครจะไปคิดว่าเบนก็บ้าคอมมิกกับเขาด้วย
“Trick or treat มาร์ติน?”
“หา? เอ่อ… Trick แล้วกัน เพราะฉันไม่มีลูก…อม…แล้ว เฮ้ย!”
ความสงบอย่างที่มาร์ติน ฟรีแมนต้องการกลับคืนสู่แฟลตหลังน้อยอีกครั้ง เขาได้กลับมานั่งที่โซฟาตัวโปรดอย่างที่ต้องการในตอนแรก ถึงแม้จะต้องนั่งกอดอกหลังตรง ไม่ได้ยืดขาปล่อยแขนตามสบายก็ตาม มิหนำซ้ำยังได้ออปชันเสริมเป็นฟิกเกอร์ดอกเตอร์ สเตรนจ์ขนาดหนึ่งต่อหนึ่งมาประดับอยู่ในห้องอีกชิ้นหนึ่งให้รำคาญใจอีกด้วย
เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ในคอสตูมตัวละครชื่อดังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้อง ใบหน้าคมไร้หนวดเคราไม่เหมือนต้นฉบับคอมมิกมองตรงมายังข้างหน้านิ่งๆ สองมือกอดอกแบบไว้ท่า ไอ้ท่าทางหยิ่งผยองคล้ายไม่สำนึกต่อการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้มันยิ่งทำให้มาร์ติน ฟรีแมนหมั่นไส้นัก หมั่นไส้จนอยากจะถีบอีกฝ่ายให้ตกเก้าอี้
“ฮึ่ย!”
เร็วดั่งใจคิด เท้าเล็กๆ ยันเข้าที่เบาะโซฟานุ่มจนมันเขยื้อนไปด้านหลังเล็กน้อย ทว่าร่างของคนเด็กกว่ากลับนั่งตรงท่าเดิมไม่ไหวติง ดวงตาก็ไม่แสดงอาการวูบไหวใดๆ สีหน้ายังคงนิ่งดังเดิมอย่างไม่ยี่หระ นั่นยิ่งทำให้เขาอยากจะพุ่งตัวไปบีบคอให้หายแค้นนัก แต่ไม่เอาหรอก ขืนเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายได้กระชากเขาเข้าไปงับคออีกแน่!
ก่อนหน้านี้ หลังจากที่เบนฉวยโอกาสตอนเขางงๆ กับรูปลักษณ์แปลกตา เอ่ยถามว่า ‘Trick or treat’ เขาก็ตอบออกไปเบลอๆ แบบที่ใจคิดไว้ตอนแรก พอคำว่า ‘Trick’ หลุดจากปากไปเท่านั้นแหละ คนตัวสูงตรงหน้าก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนเขาถึงกับพูดออกไปไม่เป็นประโยค มันใกล้ขนาดที่ต้องเอนตัวหนีไปด้านหลัง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วายไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ ดวงตาคู่สวยจับจ้องราวกับจะกักขังลมหายใจของเขาไว้ไม่ให้หลุดรอดไปไหน และเพียงเสี้ยววินาทีภาพทุกอย่างก็หายออกไปจากคลองสายตา ทว่ามันเอนไปด้านข้างแทน ทั้งอุณหภูมิร่างกาย กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย พร้อมๆ กับลมหายใจร้อนที่เป่ารดอยู่บริเวณลำคอ ไม่นานนักความหยุ่นนุ่มและอุ่นชื้นก็เกิดขึ้นก่อนจะตามมาด้วยอาการเจ็บจี๊ดตรงซอกคอ
เบนกัดเขา!
ใช่ ดอกเตอร์ สเตรนจ์กัดคอเขานี่แหละ!
“ฮึ่ย!”
จะด่าจะว่าก็ไม่ได้ เพราะดูท่าทางแล้วคนคนนี้คงมีตรรกะอะไรในหัวอยู่แน่ๆ ถึงได้ทำแบบนี้ บางครั้งมันก็เป็นตรรกะที่ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือจะเขินดี เฮ้อ…
ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่คนเป็นศาสตราจารย์ก็ทนไม่ไหว เขาทำลายมันลงโดยการลดทิฐิแล้วเอ่ยปากถามอีกฝ่ายก่อน แม้จะกรุ่นโกรธหรือโมโหแค่ไหนก็ตาม แต่ให้มานั่งจ้องหน้ากันเงียบๆ แบบนี้บอกเลยว่า เขายอมแพ้ ก็เขาทนมองดวงตาสีฟ้าเหลือบทองของเบนได้นานที่ไหนกันเล่า
“ไปเอาชุดมาจากไหน?”
“หืม?”
“ถามว่าไปเอาชุดมาจากไหน? นี่มันฮัลโลวีนนะ”
เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์คลายอ้อมแขนที่กอดอกอยู่ออก ก้มหน้าลงมองเนื้อตัวตนเองว่ามีอะไรผิดปกติตรงไหน ทำไมศาสตราจารย์ตรงหน้าถึงได้ถามอะไรแปลกๆ อย่างนี้ออกมา
“ซื้อมา”
“จากไหน?”
ถามพลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ดวงตาสีเทาหรี่มองลูกศิษย์คนโปรดอย่างจ้องจับผิด ถึงแม้ว่าตอนนี้เบนจะกลายเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่เชี่ยวชาญด้านเคมีไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังนับว่าหมอนี่เป็นลูกศิษย์อยู่ดี เพราะดูท่าชีวิตนี้คงมีอะไรให้สอนกันอีกเยอะทีเดียว
คนถูกถามทำท่าคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบออกมา
“ร้านขายชุดแฟนซี”
“แล้วคิดยังไงแต่งชุดนี้”
“นี่คุณจะเล่นเกมยี่สิบคำถามหรือยังไง”
เบเนดิกต์ตวัดขาที่ไขว่ห้างออกก่อนจะเอนตัวมาด้านหน้าอย่างคุกคาม น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูจะโกรธเคืองอะไรมากนัก เหมือนแค่สงสัยมากกว่าว่าทำไมต้องมานั่งตอบคำถามอะไรไร้สาระแบบนี้ และทำไมศาสตราจารย์ของเขาถึงได้ไล่บี้เหมือนเขาทำผิดอะไรสักอย่างอย่างนั้นแหละ แค่แต่งชุดนี้มันผิดตรงไหน?
“ตอบมาเหอะน่า ฉันอยากรู้”
เสียงของมาร์ติน ฟรีแมนโอนอ่อนลงเหมือนจะรับรู้อารมณ์กรุ่นๆ ของอีกฝ่าย พอได้ยินแบบนั้น เบเนดิกต์ก็ไม่ได้งอแงหงุดหงิดอะไร เขาไหวไหล่เบาๆ แล้วเอนแผ่นหลังลงพิงพนักโซฟาดังเดิม มือใหญ่ทั้งสองข้างยกขึ้นกระตุกปกผ้าคลุมให้ตั้งขึ้นอย่างเท่ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงดังออกมา
“วันฮัลโลวีนทั้งที ผมก็อยากแต่งเป็นผีมาหลอกคุณไง”
“…”
มาร์ตินตะโกนคำว่า ‘เดี๋ยวๆๆ’ ในใจดังลั่น ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเบิกตาโตขึ้นด้วยความงุนงงก่อนจะหรี่ตาลง ขยับคิ้วไปมาด้วยความสงสัย เขาว่าฮาร์ดไดรฟ์ในสมองของเบเนดิกต์ต้องบรรจุข้อมูลอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ
“ผี?”
“ใช่ ผีไง ก็วันนี้วันฮัลโลวีน”
“แล้วนาย…แต่งเป็นผีอะไร?”
พอโดนคำถามนี้เข้าไป จากที่ต่อล้อต่อเถียงฉอดๆ เมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นนิ่งเงียบไป เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์หลบสายตาไปทางอื่นเหมือนกับว่าคำตอบของคำถามนี้มันเป็นสิ่งที่น่าอายประมาณนั้น
“เบน…นายแต่งเป็นผีอะไร?”
“…”
โอเค ถามจี้แบบนี้คงไม่ได้ผล ถ้าไม่ทะเลาะกันให้ตายไปข้างหนึ่งหรือว่าทำท่าจะโกรธใส่ ทำยังไงหมอนี่ก็ไม่ยอมบอกความจริงออกมาแน่ เจอแบบนี้ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้อีกฝ่ายตายใจ
“โอเค งั้นตอนนายไปที่ร้านนายบอกคนขายว่าจะซื้อชุดอะไร”
พอได้ยินคำถามเลี่ยงๆ แบบนี้ชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมแดงก็ยิ้มกริ่มอย่างโล่งใจ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องตอบออกไปตรงๆ ว่า เขานึกไม่ออกว่าไอ้ผีตัวที่เขาอยากแต่งมาเซอร์ไพรส์มาร์ตินน่ะชื่ออะไร ไอ้ครั้นจะให้บอกคนขายว่ามาซื้อชุดที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าตัวอะไรก็ดูไร้มาดเสียฟอร์มเสียเหลือเกิน เพราะงั้นเขาก็เลยตอบเจ้าของร้านขายชุดแฟนซีออกไปว่า
“ซื้อชุดที่มีผ้าคลุม”
“…” มาร์ตินเงียบ
“…” เบเนดิกต์ก็เงียบ
ต่างคนต่างเงียบ ก่อนจะเป็นอีกครั้งที่ศาสตราจารย์ร่างเล็กทำลายความเงียบออกมาเสียก่อน แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะความอึดอัด แต่เป็นเพราะขำกลั้นขำไม่อยู่ต่างหาก
“ฮ่าๆๆ เบน นาย…นาย…ฮ่าๆๆ”
เขาเว้นคำว่า ‘บ๊อง’ เก็บไว้ต่อท้ายประโยคในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวลูกศิษย์คนโปรดจะเสียน้ำใจหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเขาขำมากจนพูดไม่ออกต่างหาก เลยได้แต่ก้มหน้า เอามือกดท้องตัวเองเพราะหัวเราะมากเกินไป ดวงตาสีฟ้าเทาหยีลงจนริ้วรอยบริเวณรอบๆ แย่งกันขึ้นหลายขีด สมองเขาประมวลผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พอรู้ความจริงแล้วมันก็ตลกดีที่เบนต้องการซื้อชุดท่านเคาต์แดรกคูลามาเพื่อใส่ในวันฮัลโลวีน แต่ทางเจ้าของร้านกลับเข้าใจว่า เบนอยากได้ชุดของตัวละครที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้ ดอกเตอร์ สเตรนจ์!
ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ความผิดของหนังนั่นแหละ ที่ทำให้ผ้าคลุมมันเด่นจนคนจดจำและชื่นชอบ ฮ่าๆ
“นี่ๆ หยุด หยุด! มาร์ติน คุณหัวเราะอะไร ผมทำผิดอะไร ก็ผีที่มีผ้าคลุมมันก็มีตัวเดียวไม่ใช่หรือไง”
“ฮ่าๆๆ อ้อ เพราะงี้…เมื่อกี้นาย…นายก็เลยกัดคอฉันเพื่อจะดูดเลือดสินะ ฮ่าๆๆ”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มในชุดหมอแปลกพุ่งตัวเข้าใกล้เจ้าของบ้านเพื่อจะบังคับให้หยุดหัวเราะ มือใหญ่เอื้อมไปจับข้อมือมาร์ตินไว้แล้วกระชากเข้าหาตัว แน่นอนว่าคนแก่กว่าย่อมขัดขืน แต่ถึงกระนั้นแรงต้านทานมันก็มีน้อยนิดเหลือเกินในยามที่เขากำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แบบนี้
“โอ๊ย เบน! ฉันเจ็บ ฮ่าๆ ปล่อยๆ ฮ่าๆๆ ปล่อยก่อน โอเค หยุดหัวเราะแล้ว นี่ๆ เอาหน้าออกไปเลยนะเว้ย!”
พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดหัวเราะสักที เบนที่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยกระชากตัวร่างเล็กเข้ามาใกล้กว่าเดิม มือใหญ่ที่กำปลายผ้าคลุมทั้งสองข้างตวัดโอบรัดไปรอบเอวมาร์ติน ทำให้ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ใต้ผ้าคลุมไหล่สีแดงผืนเดียวกัน ก่อนจะออกแรงแน่นขึ้นเพื่อให้ร่างของศาสตราจารย์คนสนิทแนบชิดยิ่งกว่าตอนแรก
“เบน โอเค ไม่เล่นๆ ยอมแล้ว ไม่ขำแล้ว อะแฮ่ม! ไม่ขำแล้วครับ ท่านเคาต์แดรกคูลา…ตรงไหนกันเนี่ย ฮ่าๆๆ”
“มาร์ติน! ถ้าไม่หยุดผมจะดูดเลือดคุณจริงๆ ด้วย”
“ไม่ขำแล้ว หยุดแล้วครับ เฮ้ย! ก็หยุดขำแล้วไงเล่า อื้อ! กัดทำไมเนี่ย เบน! อื้อ…”
ปึ้ก!
แล้วทุกอย่างก็สงบนิ่ง เมื่อมาร์ติน ฟรีแมนปล่อยหมัดเสยปลายคางร่างสูงจนเจ้าตัวหลุดออกจากการเกาะกุม เขารีบเดินไปยังห้องน้ำทันทีเพื่อส่องกระจกดูว่าที่คอมีรอยแดงเกิดขึ้นหรือไม่ ด้วยเพราะเมื่อครู่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูดคอเขาแรงเกินเลยคำว่าเล่นๆ ไปมากโข หากเกิดรอยแดงขึ้นมามีหวังได้ใส่เสื้อคอเต่าหรือพันผ้าพันคอตลอดเวลาจนผิดสังเกตแน่ๆ
“ถ้ามันเป็นรอยนะน่าดู!”
เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตะโกนออกมาจากห้องน้ำ หูเขาแว่วเสียงคำโต้เถียงลอยลมกลับมาเบาๆ ว่า ‘ไม่เป็นหรอก’ ด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
และโชคดีที่การกระทำของเบเนดิกต์เมื่อสักครู่นี้ไม่ทิ้งรอยอะไรไว้
“นายเป็นบ้าอะไร”
เจ้าของห้องเดินบ่นกระปอดกระแปดออกมาจากห้องน้ำ ตรงมายังชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่กลางห้อง พอพิศมองดีๆ แล้ว นอกจากเครื่องแต่งกายจะแปลกตา ทรงผมก็แปลกไปด้วย ปกติหมอนี่จะปล่อยผมยุ่งๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ค่อยได้ไปเซตอะไรให้วุ่นวาย แต่วันนี้กลับเสยตั้งขึ้นไป ดูเรียบร้อยกว่าทุกวัน
“สรุปรู้รึยังว่าฉันหัวเราะอะไร”
“ไม่”
คนแก่กว่ายักไหล่เบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางจากเดิมที่ตั้งใจจะไปนั่งคุยกันหน้าโซฟา จุดหมายกลับเป็นแล็ปท็อปที่ตั้งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ในห้องครัวแทน แน่นอนว่าเบเนดิกต์ที่เห็นแบบนั้นก็ก้าวขายาวๆ เดินตามติดมาอย่างไม่ต้องเอ่ยปากเรียกแต่อย่างใด
“ผีที่นายอยากจะแต่งน่ะเขาเรียกแดรกคูลา”
“อ้อ มันชื่อนี้เองหรอกรึ”
“และมันก็ใส่ชุดแบบนี้”
ภาพชายหนุ่มผมเสยเรียบแปล้ในชุดขาวดำพร้อมผ้าคลุมผืนใหญ่ปรากฏขึ้นในหน้าเว็บเสิร์ชเอนจิน เบเนดิกต์กวาดตามองภาพเหล่านั้นก่อนจะก้มมองชุดที่ตัวเองใส่อยู่ เท่านั้นแหละ สมองก็ประมวลผลได้ทันทีว่า…หน้าแตกแบบสุดๆ แน่นอนว่าไอ้สีหน้าพะอืดพะอม เคอะๆ เขินๆ ของเบนมันน่ารักจนมาร์ตินอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้
“ละ…แล้ว ตัวที่ผมใส่อยู่มันชื่ออะไร? คุณจำผิดหรือเปล่า ชุดที่ผมใส่อาจจะเป็นแดรกคูลาเวอร์ชัน 2016 ก็ได้นะ”
ไอ้การเถียงข้างๆ คูๆ ของร่างสูงนี่มันก็น่าเอ็นดูนัก คนตัวเล็กยิ้มกริ่ม ก่อนจะเลื่อนหน้าจอแล็ปท็อปกลับ จิ้มๆ พิมพ์ๆ ด้วยนิ้วชี้ซ้ายขวาอยู่สิบกว่าครั้ง พอกดปุ่มเอนเทอร์เสร็จปุ๊บก็หันหน้าจอกลับไปยังลูกศิษย์ดังเดิม
“เขาชื่อ ดอกเตอร์ สเตรนจ์”
เป๊ะ! ชัดขนาดนี้ จะเถียงก็เถียงไม่ออก จะแถว่าเป็นแดรกคูลาเวอร์ชันโลกอนาคตก็คงไม่ใช่ ในเมื่อชุดที่เขาซื้อมาจากร้านแฟนซีมันตรงระเบียบตามแบบแผนยูนิฟอร์มหมอแปลกขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้ร้านทำชุดมันจะเก็บรายละเอียดได้ครบทุกกระเบียดนิ้ว ขนาดเลเยอร์สีครามของชุดยังเหมือน หรือลายตารางด้านในของผ้าคลุมสีแดงที่เขาคลุมอยู่ก็เหมือนอย่างกับสำเนากันออกมา
ริมฝีปากหยักซีดได้แต่อ้าๆ หุบๆ ราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็นึกได้ว่าไม่พูดดีกว่า คล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์กำลังรวน ระบบภายในกำลังโดนไวรัสเล่นงานอะไรประมาณนั้น ซึ่งมันเป็นท่าทางที่ตลกมากในสายตาของมาร์ติน
“ว่าแต่ผม คุณก็เหมือนกันนั่นแหละ”
เมื่อรู้ว่าเถียงไม่ชนะ ก็หาความผิดในตัวอีกฝ่ายยกขึ้นมาต่อกรแทนแล้วกัน ไม่ชนะด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาชนะด้วยเวทมนตร์!
“หือ? ฉัน ฉันทำไม?”
ศาสตราจารย์ร่างเล็กก้มมองสภาพตัวเอง เขามีอะไรแปลกไปตรงไหน
“นี่อะไร…เนกไทสีกรมลายจุด…อย่างนั้นเหรอ?”
ไม่พูดเปล่า เจ้าของคำถามขยับเข้าประชิด มือใหญ่ดึงเนกไทของคนตัวเล็กรั้งให้เข้าหาตัวเอง มาร์ตินพยายามจะขืนแต่ก็ไม่สำเร็จ
“ใส่เนกไทไม่พอ ยังใส่สูทสีเทา แถมเสยผมแบบนี้อีก”
“ทำ…ทำแล้วจะทำไม”
ยิ่งใบหน้าคมเลื่อนเข้าใกล้ จังหวะลมหายใจก็ยิ่งผิดแผก ไม่ต้องไปนับจังหวะการเต้นของหัวใจนะ อันนั้นระทึกหนักหน่วงตั้งแต่โดนกัดคอตรงหน้าประตูห้องแล้ว
“ก็ไม่ทำไม แค่เหมือนไม่ใช่มาร์ตินคนเดิม เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่มาร์ตินของผม”
จู่ๆ ประโยคสุดท้ายก็กลายเป็นพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ก่อนที่สองแขนจะโอบรัดไปรอบเอวและวางมือลงบนแผ่นหลัง ใบหน้าหล่อซุกซบลงกับไหล่เล็กๆ ของอีกฝ่าย รัดวงแขนให้แน่นขึ้นเหมือนกับกลัวว่าคนคนนี้จะเปลี่ยนไปไม่ใช่มาร์ติน ฟรีแมนอีกแล้ว ความอบอุ่นจากวงแขนและผ้าคลุมที่ห่อหุ้มตัวเขาไว้ บวกกับประโยคที่แฝงไปด้วยความหมายน่าอายเหล่านั้น เล่นเอามาร์ตินหน้าแดงซ่านแบบห้ามไม่อยู่ เอาจริงๆ เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงส่วนไหนที่น่าจะทำให้เด็กน้อยซึมกะทันหันแบบนี้… แต่เอาเถอะ อุตส่าห์ลงทุนไปซื้อชุดมาเซอร์ไพรส์เขาทั้งที ไม่กอดตอบก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อยล่ะมั้ง
ทั้งๆ ที่ไม่รู้ความผิด แต่ศาสตราจารย์ร่างเล็กก็เตรียมปลอบประโลมลูกศิษย์อย่างไม่มีเงื่อนไข
“เฮ้ๆ ฉันก็ยังเป็นฉันคนเดิม ไม่ว่าฉันจะแต่งชุดไหน ฉันก็เป็นศาสตราจารย์ของนายอยู่ดีล่ะน่า”
“แต่ว่า…”
ใบหน้าคมถอนออกจากไหล่ลาด เงยขึ้นมาสบดวงตาสีฟ้าเทา แล้วพยักหน้าเบาๆ เหมือนจำใจยอมรับ เสร็จแล้วก็หลุบดวงตาลงต่ำเหมือนเดิม ไอ้อาการหมาหงอยจนออกนอกหน้าแบบนี้ ขืนเบนเอ่ยปากขออะไรออกมาสักอย่างนี่เขาต้องยอมแน่ๆ
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย มาร์ตินยอมรับเลยว่า เบนในลุกส์นี้ก็ทำให้เขาใจแกว่งเหมือนกัน มันเหมือน…ไม่ใช่เบน แต่จะให้มาเอ่ยปากยอมรับกันง่ายๆ ก็กระไรอยู่ อายุอานามก็ปาไปเลขสามแล้วนะ จะให้มาง้องแง้งเหมือนตอนอินเดียกับไอวิชตีกันมันคงดูน่าถีบมากกว่าน่ารัก แต่ถ้าไม่เอ่ยปากง้อออกไป ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงซึมกะทืออยู่แบบนี้แน่ๆ
“งั้นเอางี้ ก็คิดซะว่า…วันนี้นายก็แต่งตัวเหมือนไม่ใช่นายเหมือนกัน ฉันก็แต่งตัวเหมือนไม่ใช่ฉัน เพราะงั้นก็เจ๊ากันไป ดีมั้ย?”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ สรุปว่าวันนี้นายเป็นดอกเตอร์ สเตรนจ์ ส่วนฉันเป็น…อืม นายบอกว่าฉันเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลใช่มั้ย? งั้นฉันเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยชิลด์แล้วกัน โอเค้? ทีนี้ก็เลิกงอแงได้แล้ว โตแล้ว ทำเป็นยูจีนไปได้”
พูดพลางยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นวางแนบลงไปกับแก้มของคนเด็กกว่า ก่อนจะนวดขึ้นลงไปมาอย่างมันเขี้ยว
“หยุด หยุดน่า…อย่าเอาผมไปเปรียบกับจอมป่วนหมายเลขหนึ่งนะ”
มือใหญ่ยกขึ้นทาบกับหลังมือเล็ก สอดนิ้วมือประสานเพื่อหยุดการกระทำของอีกฝ่าย เขาเอนใบหน้าตนซบลงกับฝ่ามืออุ่นนั่น ก่อนจะหันไปประทับริมฝีปากลงใจกลางฝ่ามือน้อยๆ ของศาสตราจารย์ ไม่ใช่สิ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยชิลด์สินะ
ใบหน้าของร่างเล็กในชุดเชิ้ตสีอ่อนแดงเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาสีฟ้าเทาเสมองไปด้านอื่นแทนอย่างไม่กล้าสบสายตาคมกล้าที่มองจ้องมาด้วยสื่อความหมายอะไรบางอย่าง
“…นี่ ไหนๆ วันนี้นายก็แต่งตัวแปลกๆ แล้ว เรามาถ่ายรูปเก็บไว้กันดีกว่า”
ว่าแล้วก็เบี่ยงตัวหลบ ก้าวสั้นๆ แต่รวดเร็วไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ตรงโต๊ะหน้าทีวี แล้วเลยไปตรงประตูห้องเพื่อจะหยิบเสื้อสูทสีเทาอ่อนมาสวมคลุมทับ พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยโดยพยายามไม่หันหลังกลับไปมองอีกคน จังหวะที่จะหมุนตัวหันกลับพลันปรากฏว่าชนเข้ากับแผ่นอกแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว ก็บอกแล้วว่าเบเนดิกต์เดินตามมาประชิดมาร์ติน ฟรีแมนได้แบบไม่ต้องเอ่ยปากเรียกสักคำเดียว
จัดท่าจัดทางถ่ายรูปกันอยู่นาน เพราะแต่ละท่าที่เบนต้องการมันดูสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้ พอเป็นท่าที่เขาอยากได้ เบนก็ไม่ยอมอีก สุดท้ายแล้วก็พบกันครึ่งทาง ได้ท่าที่ยอมความกันได้ทั้งสองฝ่าย นั่นคือเบนยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเขา แล้วเอาคางเกยตรงไหล่ แน่นอนว่าแก้มของเจ้าเด็กตัวสูงนั่นแนบแก้มเขาจนแทบจะสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน
มาร์ตินเปิดแอปฯ กล้องถ่ายรูป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโหมดกล้องหน้า ทว่าพอเขายื่นมือออกไปเพื่อจะถ่าย ภาพที่ปรากฏในกล้องนั้นแทบจะเก็บหน้าเขากับเบนไม่หมด โอเค ผิดที่แขนเขามันสั้นเอง เพราะงั้นก็ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด
“เบน นายเป็นคนถือกล้อง…”
“ไม่”
ตอบสวนกลับมาทั้งๆ ที่เขายังถามไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ มาร์ตินจิ๊ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงขุ่น
“นายแขนยาวกว่าก็เป็นคนถือกล้องสิ!”
“ไม่”
“เบน…อย่าทำให้ฉันหงุดหงิดน่า”
น้ำเสียงที่ขุ่นมัวกับอาการขืนตัวออกห่างทำให้คนเด็กกว่ารับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน จึงรีบเอ่ยอธิบายเหตุผลของตนออกไปทันที
“มือไม่ว่าง”
พูดเพียงแค่นั้นก็ตอบข้อสงสัยของศาสตราจารย์ร่างเล็กต่อด้วยการกระทำ เบเนดิกต์กระชับวงแขนให้แน่นขึ้นแล้วรั้งตัวมาร์ตินเข้ามาแนบชิดแผ่นอกตนมากกว่าเดิม ทำเอาชายหนุ่มที่เมื่อกี้อารมณ์หงุดหงิดเปลี่ยนเป็นอาการเขินโดยฉับพลันกับเหตุผลสุดแสนจะประหลาดของอีกฝ่าย โอ๊ย! ให้ตายเหอะ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าจะทำอะไรก็ขอให้คิดเหมือนผู้เหมือนคนอย่างคนอื่นเขาบ้าง ฮึ่ย!
สุดท้ายมาร์ติน ฟรีแมนก็เป็นฝ่ายยื่นแขนออกไปถือกล้องดังเดิม เมื่อชายหนุ่มสองคนเช็กสภาพเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวฉีกยิ้มกว้าง เสียงเล็กๆ เอ่ยนับหนึ่ง…สอง…สาม ทว่าจากปุ่มชัตเตอร์กล้องกลับกลายเป็นปุ่มสีเขียวๆ สำหรับรับสายเฟซไทม์ไปเสียอย่างนั้น และนิ้วโป้งของเขาก็หยุดไม่ทันเสียแล้ว
ปิ๊บ!
“เย่! ภาพมาแล้ว! อ้าว…คุณลุงฮิปโปอยู่กับพี่มาร์ตินจริงๆ ด้วย!”
เสียงใสๆ ของอินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธดังขึ้นพร้อมๆ กับภาพของเด็กหญิงผมทองในชุดธอร์น้อย เธอพูดจบก็ถือโทรศัพท์วิ่งไปมาจนภาพที่ปรากฏบนหน้าจอวูบไหวมองอะไรไม่ชัด ไม่นานมันก็หยุดนิ่ง และเป็นภาพของผู้ปกครองของเธอโผล่ขึ้นมาแทน
“ป๊ะป๋าขา คุณลุงฮิปโปอยู่กับพี่มาร์ตินจริงๆ ด้วยค่ะ! นี่ไงๆ กำลังยื่นหน้ามาหาอินเดียใหญ่เลยค่ะ อาทอมโกหก หลอกหนูว่าสองคนนั้นไม่ได้อยู่ด้วยกัน นิสัยไม่ดีเลย ป๊ะป๋าต้องจับอาทอมตีก้นเพียะๆ แบบที่ป๊ะป๋าทำกับอินเดียเลยนะ ไม่งั้นอินเดียไม่ยอมด้วย!”
เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นไม่หยุด เด็กหญิงพูดไปบ่นไปโดยไม่ได้สนใจมองเลยว่าป๊ะป๋าของเธอที่มองเห็นภาพในจอโทรศัพท์กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจแค่ไหน แน่นอนว่า ทางฝั่งของคุณลุงฮิปโปกับคุณพี่มาร์ตินเองก็ตกใจเช่นกัน ใครจะไปคิดเล่าว่าจังหวะคนมันจะซวยก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
“อินเดีย! วางสายเร็วลูก ไม่งั้น…”
‘ตายแน่!’ ประโยคนี้ร่างสูงใหญ่ในชุดคอสตูมเทพธอร์ไม่ได้ต่อให้จบประโยค แต่เป็นมาร์ตินต่างหากที่เอ่ยดังๆ ในใจออกมา เจ้าเทพกระจอกอยากตายท่าไหนบอกมา!
“ไม่วางไม่ได้เหรอคะ อินเดียอยากคุยกับคุณลุงฮิปโปนี่นา ลุงฮิปโปยังไม่ได้ให้ลูกอมอินเดียเลยน้า… แต่เอ๋? นั่นไม่ใช่คุณลุงฮิปโปนี่ นั่นมันดอกเตอร์ สเตรนจ์!”
คริส เฮมส์เวิร์ธยกมือขึ้นกุมขมับ ลืมบอกไป นอกจากอินเดียจะบ้าธอร์แล้ว เธอก็ยังบ้าหนังมาร์เวลทุกๆ เรื่องอีกด้วย…
“ป๊ะป๋าๆ ไปบ้านพี่มาร์ตินกันค่ะ พี่มาร์ตินต้องจัดงานปาร์ตี้ฮีโร่แน่เลย เพราะมีทั้งดอกเตอร์ สเตรนจ์ แถมพี่มาร์ตินยังแต่งเป็นเอเจนท์รอสส์ด้วย! ถ้าบ้านเราไปเพิ่มก็จะได้มีธอร์กับโลกิยังไงล่ะคะ ป๊ะป๋าไปเร็ว…”
ปิ๊บ!
ไม่ทันจบประโยค มาร์ติน ฟรีแมนก็ได้สติกดปุ่มวางสายแล้ว เขายกมือข้างที่ว่างขึ้นนวดขมับเบาๆ ให้ตายเถอะ วันนี้แทนที่เขาจะได้พักผ่อนสบายๆ กลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกว่าทุกๆ วันยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปแล้ว อยากจะกลับไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงมากกว่า หลับๆ ไปจะได้ไม่ต้องมารับรู้ว่าเกิดเหตุการณ์บ้าบออะไรขึ้นบ้าง
“ดอกเตอร์ สเตรนจ์จริงๆ ด้วยแฮะ”
ทว่าเสียงต่ำๆ ที่งึมงำออกมาเบาๆ เรียกวิญญาณเขาที่กำลังจะเดินไปที่เตียงให้กลับเข้าร่าง ก่อนจะพบว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดของร่างสูง ไอ้หมอนี่ก็ฉวยโอกาสกับเขาได้ตลอดทั้งปี
“ก็ดอกเตอร์ สเตรนจ์น่ะสิ ขนาดเด็กห้าขวบดูยังรู้เลยว่าไม่ใช่แดรกคูลาน่ะ”
มาร์ตินพยายามเดินลากเท้าตรงไปยังโซฟา อย่างน้อยเดินไปไม่ถึงเตียง ขอถึงโซฟาก็ยังดี ทว่ายิ่งเดินก็ยิ่งลำบาก ในเมื่อมีใครบางคนกอดเขาอยู่แล้วเดินแท่ดๆ ตามมาด้วยกัน ลำพังแค่ชุดสูทผูกเนกไทก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังมีอ้อมกอดของเบนมารัดให้เขาอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิมอีก
“แล้วคุณก็เป็นเอเจนท์รอสส์?”
“เอเจนท์รอสส์หน้าตาเป็นยังไงฉันยังไม่รู้เลย”
“ก็ถ้าจอมป่วนหมายเลขสองบอกว่าคุณเป็นเอเจนท์รอสส์ งั้นคุณก็คงเป็นเอเจนท์รอสส์”
คนฟังขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคซ้ำซ้อนกึ่งยัดเยียดของอีกฝ่าย พอหันไปตั้งใจจะมองหน้าคนที่เกาะติดมานั่งข้างๆ เขาก็พบว่าใบหน้าอีกฝ่ายค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้อีกแล้ว แขนยาววางคร่อมร่างเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมยังเอนลำตัวส่วนบนเข้าหา ยื่นหน้ามาแถวๆ ซอกคอเขาอีกด้วย
“พะ…พูดอะไรของนาย ไม่เห็นจะเข้าใจ แล้วนี่จะทำอะไรอีกเนี่ย!”
ฝ่ามือเล็กพยายามดันหน้าหล่อๆ ของเบนให้ออกห่าง ช่วงแขนสั้นยืดออกไปจนสุด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ในเมื่อร่างสูงกว่ายังพยายามเบี่ยงหน้าออกแล้วรุกไล่เขามากขึ้นเรื่อยๆ
“ดูดเลือดไง ผมเป็นแดรกคูลาก็ต้องดูดเลือดสิ”
“บ้าเรอะ! นายเป็นดอกเตอร์ สเตรนจ์โว้ย!”
เหมือนคำอธิบายจะได้ผล เพราะเบเนดิกต์หยุดกึกกะทันหันพลางทำท่าครุ่นคิด มาร์ตินลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกด้วยคิดว่าตนคงปลอดภัยจากการโดนคุกคามแล้ว แต่ที่ไหนได้ เบนเงียบไปแค่ครู่เดียวก็ไหวไหล่เบาๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยเหตุผลตนเองออกมา
“ผมเป็นดอกเตอร์ สเตรนจ์ก็ได้ ถ้าคุณเจ้าหน้าที่รอสส์อยากให้ผมเป็น…”
พอสิ้นประโยค ศาสตราจารย์ร่างเล็กก็หน้าแดงก่ำ ได้ยินแบบนี้แล้วก็เลือกไม่ถูกว่าที่หน้าแดงนี่เพราะโกรธหรือเพราะเขิน แต่แล้วในวินาทีต่อมามาร์ติน ฟรีแมนก็รู้คำตอบว่าหน้าเขาแดงเพราะเหตุผลใด
“คุณอยากให้ผมเป็นอะไร ผมเป็นได้ทุกอย่างสำหรับคุณ…มาร์ติน”
ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายแวววาว ถึงกระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความหนักแน่นและจริงจังของคนพูด และเป็นมาร์ตินเองที่ไม่รู้จะวางสายตาหวั่นไหวของตนไว้ตรงไหน เขามองจ้องไปยังดวงตาสีฟ้าทองคู่นั้นได้ชั่วขณะก็ต้องเปลี่ยนเป็นหลุบสายตาลงต่ำ ฟันคมขบลงยังริมฝีปากล่างอวบอิ่มของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ลิ้นเล็กเลียริมฝีปากแห้งผาก ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่า มันทำให้ความหนักแน่นของร่างสูงเริ่มจะคลอนไหวจนไม่อาจระงับอารมณ์ได้
“เพี้ยนรึไง? นี่วันฮัลโลวีน ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ ไม่ต้องมาพูดอะไรหวานเลี่ยนแบบนี้ก็ได้”
เอ่ยพลางกระถดตัวออกห่าง ฝ่ามือเล็กยันอกอีกฝ่ายออก
“ก็…ไหนๆ วันนี้ผมก็ไม่ใช่ผม คุณก็ไม่ใช่คุณ งั้นวันฮัลโลวีน จะกลายเป็นวันวาเลนไทน์ของดอกเตอร์ สเตรนจ์กับเอเจนท์รอสส์ก็ไม่แปลกหรอก…จริงมั้ย?”
พูดจบ มือใหญ่ก็ดึงมือเล็กออกจากแผ่นอกตัวเอง ประทับริมฝีปากหยักซีดลงไปกลางหลังมือนั่น มันเกือบจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว ถ้าเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ไม่พูดประโยคถัดมา
“สรุปแล้ว…ให้ผมดูดเลือดที่คอคุณได้หรือยัง?”
โอเค ผ้าคลุ้มมม! ช่วยกระชากไอ้บ้านี่ออกไปจากตัวเขาเดี๋ยวนี้เลย!
The End
Talk again: มันเป็นฟิคที่ใช้เวลาแต่งนานมว๊าก! นอกจากจะดองค้างไว้นานแล้ว พอได้ฤกษ์หยิบมาแต่ง ก็แอบใช้เวลางานแต่งอีก ถ้าเจอเว้นวรรคผิดๆ ถูกๆ ตัวสะกดตกหล่นก็ขออภัยด้วยค่ะ T^T ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้มาร์ตินตกใจเพราะเห็นครอบครัวยูจีน (เพราะตอนนั้นมันยังไม่ฉาย The Hobbit 3 นี่เนาะ) แต่ปรากฏว่าล่วงเลยมาหลายปี ก็เลยต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ กอปรกับเห็นว่าช่วงนี้คุณหมอแปลกกำลังมาแรง และเราก็ชอบคู่นี้มากๆ ด้วย (เป็นคู่แต่ชาติปางก่อน จะพบกันทุกชาติไป ฮ่า) เราก็เลยต้องเอามาปรับๆ เป็นคู่นี้แทนค่ะ
และแน่นอนว่า…มีชื่อซีรีส์ My mate ขึ้นมาแล้ว ก็หวังไว้เหมือนกันว่า ในอนาคตตัวเองจะเข็นฟิคคู่นี้ออกมาได้บ้าง สักเรื่องก็ยังดีเนาะ (ท่องไว้ๆ ทำได้ๆ)
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามไม่ทิ้งกันไปไหนค่ะ จะแสดงตัวหรือไม่แสดงตัวเราก็รู้สึกขอบคุณมากๆ อยู่ดี :)
ป.ล. ยำมาให้ครบทุกคู่เลยค่ะ อยากอ่านคู่ไหนเป็นพิเศษรีเควสต์ไว้ได้นะคะ ที่ทวต. @babibubell จะพยายามปั่นให้โดยไวค่ะ (ก็ประมาณสองปี ฮ่า) XD