[EverStrange Fanfiction] My mate the series – Halloween

Title: My mate Little boy the series – Halloween Sweet

Pairing: Benedict Cumberbatch x Martin Freeman and All

Author: Babibubell

 

Talk: สารภาพว่าเรื่องนี้แต่งไว้ตั้งแต่ The Hobbit ภาค 3 ยังไม่เข้าโรง จนกระทั่งบัดนี้… (มันลาโรงไปกี่ปีแล้วก็อย่าไปนับเลยค่ะ แหะๆ) ได้ฤกษ์เอามาแต่งต่อให้จบซักที หลังจากปล่อยค้างไว้ให้เปลืองเนื้อที่โทรศัพท์มานาน เหอๆ แถมช่วงนี้เราบ้าคู่ คุณหมอกับคุณเอเจนท์เป็นพิเศษ ก็เลยอยากจะเพิ่มตัวละครไปบ้าง ก็คงไม่ว่ากันนะคะ XD

 

 

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

 

 

มาร์ติน ฟรีแมนไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง

 

ชายหนุ่มร่างเล็กผู้มีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนกะพริบตาปริบๆ ให้กับภาพตรงหน้าราวกับจะปฏิเสธในสิ่งที่ตาเห็น ก่อนจะหันไปมองปฏิทินที่แขวนบอกวันเวลาอยู่ตรงผนังห้องสีครีม ถ้าเขาจำไม่ผิดนี่มันกลางฤดูใบไม้ร่วง ปลายสุดเดือนตุลาคมแล้วนี่นา แล้วทำไมเขาถึงได้เห็นอะไรๆ แบบนี้ได้

 

เมื่อห้านาทีก่อน ศาสตราจารย์วิชาวรรณกรรมกำลังใช้เวลาช่วงเย็นหลังกลับจากมหาวิทยาลัย ผ่อนคลายและปลดเปลื้องภาระหน้าที่ทั้งหลายทั้งปวงออก นอนแผ่สองสลึงอยู่บนโซฟาขนาดหนึ่งคนนั่งตัวโปรดที่ตั้งอยู่แถวๆ หน้าทีวี ไถลตัวจนศีรษะด้านหลังซบไปกับพนัก เหยียดเท้ายืดยาวยันไปยังโต๊ะไม้ตัวเล็ก ปล่อยมือลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกและหลับตาจมอยู่กับความสงบของช่วงเย็นวันจันทร์ปลายเดือนแบบนี้

 

วันนี้เขาไม่ต้องไปสอนพิเศษลูกศิษย์ตัวน้อยที่บ้าน เพราะริชาร์ดบอกว่าวันนี้วันฮัลโลวีน คุณพ่อทั้งสองตั้งใจจะพาลูกน้อยออกไปผจญโลกผีๆ กันแบบครอบครัว แน่นอนว่าเขาไม่มีเหตุผลใดให้ปฏิเสธ ได้หยุดสอนสบายๆ หนึ่งวันแบบนี้ ไม่รู้จะปฏิเสธให้ตัวเองเหนื่อยทำไม

 

อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้วันนี้เขาเหนื่อยมากกว่าปกติเพราะที่มหาวิทยาลัยเขามีงานประชุมวิชาการด้านภาษาและวรรณกรรมอังกฤษ ซึ่งเป็นงานใหญ่ที่รวบรวมศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลกเอาไว้มากมาย และเขาซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าบ้านจัดงานนี้ จึงต้องแต่งตัวเรียบร้อยมากเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผม โดยเฉพาะไอ้การใส่สูทผูกไทที่นานๆ ครั้งต้องทำมันทำให้มาร์ติน ฟรีแมนรู้สึกอึดอัดไม่น้อย

 

เพราะฉะนั้น…ความสงบในวันที่เสร็จสิ้นจากหน้าที่การงานแบบนี้นี่แหละคือสุดยอดปรารถนาของเขา

 

ทว่า ริมฝีปากที่ยกยิ้มให้กับความสุขตรงหน้านั้นก็เกิดขึ้นได้เพียงครู่เดียว เพราะเสียงเคาะประตูหน้าห้องพักดังขึ้นขัดจังหวะอารมณ์สบายๆ ของชายหนุ่มเจ้าของห้องเสียก่อน

 

ตอนแรกมาร์ตินก็กะว่าจะทู่ซี้นอนอยู่แบบนั้น เพราะคิดว่าน่าจะเป็นเด็กๆ ที่มาเล่นสนุกตามประสามากกว่า แต่พอเสียงรัวกำปั้นดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจลืมตาและคว้ากระเป๋าที่โยนทิ้งไว้ข้างโซฟาขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดใจเล็กน้อย มือเล็กล้วงไปควานหาลูกอมสองสามเม็ดที่ได้รับมาจากนักศึกษาในคลาส กะว่าจะนำไปแจกเด็กๆ ที่มาเคาะประตูห้องตนอยู่ จะได้จบเรื่องจบราวไป

 

แต่ที่ไหนได้…พอเปิดประตูออกมาเขาก็ถึงกับอึ้ง

 

คนแคระธอริน กษัตริย์เอลฟ์ธรันดูอิล แล้วก็เจ้าฮอบบิทบิลโบมายืนอยู่หน้าห้องเขาได้ไง!?

 

“Trick or treat!”

 

สามเสียงประสานกันออกมาดังลั่นแบบไม่เกรงอกเกรงใจคนข้างห้องเขาเลยสักนิด มาร์ติน ฟรีแมนยืนขยี้ตาตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเบ้ปากแล้วปิดประตูห้องดังปังทันทีโดยไม่สนใจรอยยิ้มกว้างของครอบครัวสุขสันต์หลังประตูห้องเลยสักนิด

 

“เฮ้ย! มาร์ติน! เปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ นายนี่นับวันยิ่งมารยาทแย่เหมือนไอ้เด็กบ้านั่นเข้าไปทุกที เป็นแฟนกันนี่มันออสโมซิสนิสัยผ่านกันได้ด้วยรึไง”

 

ได้ยินดังนั้นศาสตราจารย์ร่างเล็กที่ยืนตัวตรงอยู่หลังบานประตูก็กลอกตาบนพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ นิ้วมือทั้งสิบกำๆ แบๆ เหมือนกับกำลังอดทนอะไรอยู่สักอย่าง ใจจริงเขาอยากจะกระชากประตูให้เปิดออกแล้วตะโกนใส่หน้าไอ้พี่ชายข้างบ้าน ไม่ใช่สิ อดีตพี่ชายข้างบ้านกลับไปว่า เขายังไม่ได้ตกลงเป็นแฟนกับเบนสักหน่อย ถึงมันจะผ่านมาหลายปีแล้วก็เถอะ แต่ความสัมพันธ์ของเขาสองคนก็ยังคลุมเครืออยู่อย่างนั้น แต่ก็นั่นแหละ ขืนพูดออกไป เขาก็รู้ดีว่า อีกฝ่ายต้องมองกลับด้วยแววตาล้อเลียน แล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อยว่า ‘ฉันยังไม่ได้เอ่ยชื่อไอ้เด็กนั่นเลยนะ’ แน่นอน! ทีนี้ก็จะกลายเป็นว่า เขาขุดหลุมฝังตัวเอง เปิดช่องโหว่ให้ศัตรูปล่อยหมัดฮุคเข้าปลายคางได้ เพราะฉะนั้นถึงอยากจะเปิดประตูออกไปชูนิ้วกลางใส่หน้าริชาร์ดมากแค่ไหน ก็ทำได้แค่ยืนนิ่งๆ เจ็บใจอยู่แบบนี้ไงล่ะ

 

“มาร์ติน~ Trick or treat จะหลอกหรือจะเลี้ยงก็เปิดประตูหน่อย ทำแบบนี้ยูจีนลูกสาวฉันเขาเสียใจนะ ดูสิ จะร้องไห้แล้วเนี่ย”

 

“เอ๋? แดดดี๊ หนูยังไม่ได้ร้องไห้ อุ๊บส์! เอยอะ อื้อ!”

 

ฮอบบิทยูจีนที่เห็นคุณพ่อผมดำของเธอพูดอะไรแปลกๆ ออกมา โดยบอกว่าเธอร้องไห้ ทั้งๆ ที่เธอไม่ได้จะทำแบบนั้นเลยสักนิด พอเธอตั้งใจจะแก้ต่างสิ่งที่แดดดี๊พูดผิด กลับกลายเป็นว่าพูดยังไม่ทันจบประโยค มือใหญ่ๆ ของคุณพ่อกษัตริย์คนแคระก็ยื่นมาปิดปากเธอเสียก่อน

 

“ชู่ว…โอ๋ ยูจีน ไม่เอาไม่ร้องนะลูก เฮ้! ลี มัวแต่ยืนขำอยู่ได้ มาช่วยกันหน่อยสิ”

 

พอลูกสาวตัวน้อยเหมือนจะท่าเยอะ เริ่มดิ้นไปดิ้นมาจนคุณพ่อร่างใหญ่เอาไม่อยู่ เขาเลยหันไปพานใส่ชายหนุ่มผมทองข้างๆ ที่ยืนขำท้องคัดท้องแข็ง เบนหน้าหนีไปทางอื่นแทน

 

“ลี!”

 

เจ้าของชื่อได้ยินดังนั้นก็พยายามกลั้นขำสุดชีวิต ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์และลมหายใจตนเองให้กลับเป็นปกติ กษัตริย์เอลฟ์ผู้สูงส่งอย่างธรันดูอิลยืดตัวขึ้นอย่างสง่างาม ใบหน้าเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและเย่อหยิ่ง อยากจะให้เขาช่วยอย่างนั้นหรือ ธอรินบุตรแห่งธราอิน เขาช่วยแน่ แต่…

 

“เจ้าหยุดแกล้งสหายตัวน้อยได้แล้ว ธอริน”

 

ไม่พูดเปล่า เขาว่าพลางยื่นมือคว้าหมับเข้าที่มือของคนรักก่อนจะดึงให้ออกจากปากลูกสาวตัวน้อย ยูจีนที่พอเป็นอิสระก็สูดลมหายใจเข้าปอดยกใหญ่

 

“แดดดี๊ ไม่ใช่สิ… ธอริน ไยเจ้าใจร้ายกับเราเพียงนี้ กล่าวเท็จแล้วยังแกล้งฮอบบิทอย่างเราอีก ใช้ไม่ได้เลย”

 

เด็กน้อยเพียงคนเดียวรับส่งมุกเข้าขาได้ดีกับคุณพ่อผมทอง ส่วนคุณพ่อที่ถูกลูกสาวค้อนขวับวงใหญ่รีบผละออกจากชายหนุ่มอีกคน นั่งคุกเข่าลงเพื่อให้ความสูงเท่าตัวลูกสาว แล้วเอ่ยง้อทันที

 

“โธ่…ยูจีน”

 

เสียงของริชาร์ดดังง้องแง้งสลับกับเสียงลูกศิษย์ของเขา ทำให้มาร์ตินยืนหัวเราะคิกคักอยู่ภายในห้อง พอนึกภาพริชาร์ดที่กำลังใช้สารพัดวิธีง้อลูกสาวแล้วเขาก็ถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่ ปล่อยก๊ากออกมาฮายกใหญ่ ยกมือขึ้นเท้าหลังตู้ใส่ของสีขาวครีมแล้วก้มตัวหัวเราะเสียงดัง

 

ไม่นานนักมือเล็กก็เอื้อมไปเปิดประตูห้องออก ตั้งใจจะเอาลูกอมใส่ในกระป๋องสีส้มที่วาดเป็นหน้าแจ๊คโอแลนเทิร์นในมือของเด็กหญิงยูจีน

 

“Trick or treat คะ? คุณครูขา”

 

ทันทีที่ยูจีนเห็นประตูตรงหน้าเปิดออก เด็กน้อยก็ละความสนใจจากคุณพ่อผมดำที่อยู่ในชุดกษัตริย์คนแคระพร้อมด้วยหนวดเครารุงรังเต็มยศอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ชายหนุ่มยกมือค้างเติ่งอยู่กลางอากาศเพราะกำลังจะลูบหัวลูกสาวอยู่แบบนั้น เล่นเอาลี เพซกับเจ้าของบ้านอย่างมาร์ตินขำคิกคัก เสียฟอร์มอีกแล้วสินะคุณพ่อ

 

“Treat ค่ะยูจีน”

 

ว่าจบก็เอาลูกอมในห่อกระดาษสีสวยใส่ลงไปในกระป๋อง แล้วเอื้อมมือไปวางบนศีรษะเด็กหญิงแล้วขยี้ไปมาเบาๆ อย่างเอ็นดูในตำแหน่งที่เมื่อสักครู่ริชาร์ดคิดจะทำเป๊ะๆ ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นผ้าพันคอสีส้มแดงของยูจีน ปลายด้านหนึ่งคล้ายหางสัตว์เลื้อยคลาย ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งพันพาดไว้ตรงบ่า มันมีลักษณะคล้ายหัวมังกร อืม…คงจะเป็นสเมาก์สินะ

 

“ยูจีนชอบสเมาก์เหรอจ๊ะ?”

 

เด็กหญิงส่ายหน้า เธอเอียงคอทำท่านึกก่อนจะยิ้มกว้างแล้วเอ่ยคำตอบออกมา ซึ่งเป็นคำตอบที่ทำเอาคุณพ่อผมดำเกือบร้องไห้

 

“ไม่ได้ชอบเท่าไหร่ค่ะ แต่ถึงอย่างนั้น หนูก็ชอบมากกว่าธอรินอยู่ดี”

 

แล้วสามคนก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางสายตาอาฆาตแค้นแบบหงุดหงิดเสียเต็มประดาของริชาร์ด แต่ศาสตราจารย์ร่างเล็กก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจ ซ้ำยังยักคิ้วหลิ่วตาใส่อย่างเยาะเย้ย ถือเป็นการแก้แค้นที่ตอนแรกอีกฝ่ายพูดจาล้อเลียนเขาไปในตัว

 

ทะเลาะกันทางสายตาไม่นาน สามคนพ่อลูกก็เดินจากไป โดยที่หนูน้อยยูจีนยังหันหลังมากระโดดโบกมือบ๊ายบายให้เขา ก่อนที่จะหันไปจับมือคุณพ่อทั้งสองของเธอไว้แล้วตัวเธอก็ถูกยกลอยขึ้นมาเหนือพื้นราวกับเหาะได้อย่างน่าสนุก

 

มาร์ตินมองภาพนั้นแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้

 

เขาไม่ได้เป็นแฟนหนังเดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง หรือ เดอะ ฮอบบิท อะไรหรอกนะ แต่จะบอกว่าไม่เคยดูเลยก็คงกลายเป็นพูดโกหก เอาเป็นว่า พอได้มาเห็นสามคนพ่อลูกแต่งคอสเพลย์เป็นตัวละครจากหนังเรื่องนั้นมันก็ดูน่ารักดีเหมือนกันนะ

 

ชายหนุ่มร่างเล็กยืนยิ้มอยู่ได้ครู่หนึ่งก็หันหลังกลับเข้าห้องไป เสียงประตูห้องที่ค่อยๆ ปิดลงราวกับจะกั้นความวุ่นวายภายนอกให้ถอยห่างทำให้มาร์ตินอารมณ์ดีมากขึ้น เขาเดินไปทิ้งตัวนอนแผ่หลาอยู่บนโซฟาตัวเดิม เปลือกตาบางค่อยๆ ปิดลง เตรียมตัวจะถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมด

 

ก๊อกๆ!

 

ลมหายใจสะดุดกึกกับเสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ ใจหนึ่งก็อยากจะทำเป็นหูหนวกตาบอด แสร้งว่าไม่มีใครอยู่บ้าน แต่อีกใจก็อยากจะลุกออกไปเปิดดูว่าเป็นใครมาเคาะประตูขัดความสุขเขา หากเป็นครอบครัวประหลาดต่างสายพันธุ์เจ้าเดิมอีกล่ะก็…พ่อจะชูนิ้วกลางใส่จริงๆ ด้วย

 

ก๊อกๆๆ!

 

นั่น! มีการเพิ่มระดับจากสองครั้งเป็นสามครั้ง สุดท้ายมาร์ติน ฟรีแมนก็ได้พ่นลมหายใจสมอยาก แต่มันเป็นการระบายออกด้วยความเหนื่อยหน่าย เขาเดินลากเท้าจากโซนห้องรับแขกไปยังประตูบานเดิมอีกครั้ง ลองตบๆ กระเป๋ากางเกงสแล็กกับเสื้อเชิ้ตดูเพื่อหาว่ามีลูกอมหลงเหลืออยู่หรือไม่ ก่อนจะเย็นใจว่าอย่างน้อยก็ยังเหลือลูกอมผู้โชคร้ายนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงซ้ายเขาหนึ่งเม็ด

 

เมื่อมือเล็กผลักประตูให้เปิดกว้าง ภาพที่เห็นก็ทำให้เขาถึงกับเลิกคิ้วแปลกใจ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ต่างจากที่คิดไว้สักเท่าไหร่ เพราะตรงหน้าเขาตอนนี้มีเด็กอยู่ถึงสองคน แล้วก็มีเด็กยักษ์…ยักษ์ขนาดที่ทำให้เขาต้องเงยหน้าพูดด้วยอีกสองคนยืนประกบข้างเด็กน้อยอยู่ แล้วส่วนไหนน่ะเหรอที่ทำให้เขาแปลกใจ? ก็ชุดคอสตูมของเจ้าเด็กพวกนั้นยังไงล่ะ ถ้าครอบครัวเมื่อครู่เป็นตัวละครจากจักรวาลเดอะ ฮอบบิทล่ะก็…เจ้าพวกนี้ก็เป็นตัวละครจากจักรวาลมาร์เวลแน่ๆ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเวอร์ชันไหน เพราะมันเป็นธอร์กับโลกิตัวจิ๋วน่ะสิ!

 

“Trick or treat!”

 

มาสเต็ปเดิมเป๊ะ! และเขาก็อยากจะปิดประตูบ้านใส่หน้าเหมือนเดิมเช่นกัน แต่ติดตรงที่ว่าถ้าทำอย่างนั้นเด็กหญิงธอร์กับเด็กหญิงโลกิคงจะร้องไห้จ้าแน่นอน แถมดูเป็นการเสียมารยาทต่อผู้ช่วยสอนของเขาที่เป็นผู้ปกครองของเด็กน้อยอีกต่างหาก มาร์ติน ฟรีแมนเลยได้แต่ยิ้มหวานส่งให้อย่างฝืนๆ ก่อนจะลังเลครู่หนึ่งว่าจะตอบ Treat ออกไปดีหรือไม่ เพราะมีเด็กสองคน แต่ลูกอมเขาเหลือแค่เม็ดเดียว

 

“จะหลอกหรือจะเลี้ยงคะ ไอวิชยืนเมื่อยแล้วอ่า… เดี๋ยวต้องเดินไปเคาะอีกหลายบ้านด้วย ไอวิชอยากกลับบ้านแล้วค่ะอาทอม”

 

พูดจบก็หันไปเบะปากทำหน้าเหนื่อยใส่คุณอาในชุดเทพโลกิ คนโดนอ้อนยู่หน้าเล็กน้อย เมื่อก่อนหลานสาวเขาไม่งอแงเก่งแบบนี้ แต่เพราะโดนเจ้าหมียักษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาตามใจแบบสุดกู่ แถมมีลูกคู่อย่างอินเดียคอยเออออห่อหมกอีก เลยทำให้เด็กน้อยของเขาเสียผู้เสียคนแบบนี้ ฝากไว้ก่อนเถอะ กลับแอสการ์ดเมื่อไหร่ โลกิผู้นี้แหละจะจัดการธอร์ให้หมอบเลยคอยดู!

 

“ไม่เอาๆ อินเดียยังไม่อยากกลับค่ะ อินเดียยังอยากได้ลูกอมอีก พี่มาร์ตินมีลูกอมมั้ยคะ? เอาใส่กระป๋องมาเร็วๆ เลยค่ะ”

 

ไม่พูดเปล่า มีการยื่นกระป๋องสั่นดิ๊กๆ เป็นการเร่งเขาอีกต่างหาก เห็นแล้วก็อดขำปนเอ็นดูในความแก่นเซี้ยวของเด็กหญิงไม่ได้ นึกย้อนกลับไป จำได้ว่าตอนเด็กๆ ยูจีนก็แสบไม่เบาเหมือนกัน

 

“อินเดีย ทำแบบนี้ไม่น่ารักเลย”

 

เสียงทุ้มปรามออกมาไม่ดังนัก คนโดนดุทำปากจู๋ อมลมเข้าแก้มจนพองอย่างไม่พอใจ แต่ถึงอย่างไรความต้องการลูกอมก็ยังมีมากกว่า เธอยังคงยื่นแขนสั้นๆ ไปตรงหน้าศาสตราจารย์ร่างเล็กอย่างไม่ลดละ แม้จะโดนคนเป็นอาดุก็ตาม

 

มาร์ติน ฟรีแมนเห็นแบบนั้นก็ขำเบาๆ ล้วงลูกอมเม็ดสุดท้ายหย่อนลงในกระป๋อง ทว่าเสียงดัง ‘ป๊อง’ ที่ดังก้องไปทั่วทางเดินราวกับจะหยุดทุกการเคลื่อนไหว ธอร์จิ๋วยืนนิ่งก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงไปมองในกระป๋องสีส้มรูปทรงฟักทองปีศาจช้าๆ เมื่อเห็นว่าในนั้นมีลูกอมเพียงเม็ดเดียวเธอก็อ้าปากโวยวาย

 

“ทำไมพี่ใส่มาเม็ดเดียวเองล่ะคะ พวกอินเดียมากันตั้งสี่คนนะ หรือว่าพี่มาร์ตินนับเลขไม่ถูก เดี๋ยวอินเดียสอนให้ก็ได้นะคะ อินเดียหนึ่ง ไอวิชนับสองเร็วๆ สิ”

 

“ไอวิชสอง อาทอมนับสามเร็วค่ะ”

 

สิ้นเสียงแจ๋วๆ อย่างสดใสของเด็กน้อย ผู้ใหญ่สามคนที่ยืนอยู่ในวงสนทนานั้นก็ใบ้รับประทานกันไปหมด ต่างคนต่างทำหน้าปูเลี่ยนๆ โลกิกับธอร์ทำหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ส่วนเจ้าของบ้านที่โดนกล่าวหาว่านับเลขไม่ถูกก็ได้แต่เม้มปากเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เก็บอาการไว้

 

ใจจริงเขาอยากจะชูนิ้วกลางแล้วเตะเจ้าเด็กพวกนี้ไปให้พ้นๆ หน้าห้องเขาต่างหาก!

 

“อะ…อินเดีย เม็ดเดียวก็พอแล้วค่ะ เป็นเด็กเป็นเล็กอมลูกอมเยอะๆ แล้วเดี๋ยวฟันผุนะ มันไม่ดี เนอะทอมเนอะ”

 

คริส เฮมส์เวิร์ธค่อยๆ ย่อตัวลงเตรียมจะหนีบเจ้าเด็กน้อยในผ้าคลุมแดงเข้าเอว ปากก็เอ่ยร้องหาพวก ส่วนดวงตาก็ขยิบยิบๆ ส่งสัญญาณให้ทอมเผ่นออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

 

“จริงด้วย อาคริสพูดถูกค่ะ เพราะงั้นเราเอาไปเม็ดเดียวพอ เดี๋ยวแบ่งกันกินเนอะ เราไปบ้านอื่นกันดีกว่า ไอวิชจะได้รีบกลับบ้านไง”

 

พูดพลางค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งเตรียมอุ้มเด็กหญิงโลกิหนีเหมือนกัน และประโยคต่อมาที่หลุดมาจากปากอินเดียก็ทำเอาทอม ฮิดเดิลสตันและคริส เฮมส์เวิร์ธอยากจะวาร์ปหายตัวไปจากตรงนั้น

 

“แล้วคุณลุงฮิปโปไปไหนละคะ? ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ หรือว่าที่ให้ลูกอมอินเดียเม็ดเดียว เพราะที่เหลือจะเก็บไว้ให้คุณลุงฮิปโป…อุ๊บ! อื้อ!”

 

พูดยังไม่ทันขาดคำ มือใหญ่ของคริสก็พุ่งเข้ามาปิดปากหลานสาวก่อนจะช้อนตัวเธอขึ้นแล้ววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต แน่นอนว่าด้านหลังก็ตามมาติดๆ ด้วยโลกิใหญ่กับโลกิน้อย ซึ่งเด็กหญิงไอวิชที่ถูกทอมอุ้มขึ้นบ่าก็ไม่วายหันหน้ามาโบกมือบ๊ายบายให้ศาสตราจารย์ร่างเล็กพร้อมกับตะโกนเสียงดังก้องทั่วทางเดินว่า

 

“บอกคุณลุงฮิปโปด้วยนะคะว่าอย่ากินลูกอมเยอะ เดี๋ยวฟันผุ ต้องไปหาหมอไม่รู้ด้วยน้า~”

 

เสียงใสค่อยๆ ดังห่างออกไปเรื่อยๆ ผกผันกับหน้าที่ค่อยๆ แดงขึ้นของชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่ยังยืนอยู่ สรุปนี่มันวันอะไรกันแน่!? เพียงแค่ไม่กี่นาทีกลับทำให้เขารู้สึกเขินได้มากขนาดนี้ทั้งๆ ที่เจ้าตัวที่ถูกพูดถึงไม่อยู่ตรงนี้ และเขาก็หวังว่าเทศกาลนี้จะไม่อยู่ในฮาร์ดไดรฟ์สมองของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์หรอกนะ ลำพังแค่รับมือกับริชาร์ดกับเด็กหญิงอินเดียก็วุ่นวายเกินพอแล้ว เอ้อๆ เพิ่มเด็กหญิงไอวิชไปด้วยอีกคน ฮึ่ม! เจ้าตัวแสบทั้งหลาย!

 

ยืนนิ่งได้ไม่นานก็หันหลังปิดประตูบ้านอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วผ่อนออกยาวๆ ก้าวขาเดินไปทิ้งตัวลงกึ่งนั่งกึ่งนอนที่โซฟาตัวเดิม เท้าเล็กยกขึ้นพาดไปกับโต๊ะตัวเตี้ยแถวๆ นั้น มือดึงเนกไทสีกรมท่าลายจุดขาวเพื่อคลายออก เขาปิดเปลือกตาลง และตั้งใจแน่วแน่ว่า ถ้าคราวนี้มีใครมาเคาะประตูเรียกให้เขาไปเปิดอีก เขาจะไม่…

 

ก๊อกๆ

 

…ไปเปิดเด็ดขาด…

 

“โว้ย! นี่มันอะไรกันนักกันหนาเนี่ย”

 

ชายหนุ่มสบถเสียงไม่ดังนักออกมา ก่อนจะก้มหน้าคอตกเหมือนยอมรับชะตากรรม ปากบ่นพึมพำคำว่า ‘ก็ได้ๆ’ ออกมาไม่หยุดพลางเดินตรงไปยังประตูบานเดิมอีกครั้ง ก็ช่วยไม่ได้ นี่มันวันฮัลโลวีนนี่นะ บ้านเขาจะมีแขกมาหามากหน่อยมันก็ไม่แปลก ถ้าเป็นวันวาเลนไทน์แล้วมีคนมาเคาะประตูบ้านรัวๆ แบบนี้สิถึงจะเรียกว่าแปลก

 

เอ…แต่การที่มีกลีบกุหลาบมาโปรยทั่วพื้นห้องนอนเขาก็นับว่าแปลกอยู่นะ

 

สายตามองไปยังแจกันที่ตั้งอยู่บนตู้ตัวเตี้ยตรงประตูทางเข้า พอคิดถึงเรื่องราวน่ารักๆ เมื่อครั้งก่อนหน้านั้น ริมฝีปากก็ระบายยิ้มบางๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ถึงแม้จะผ่านมาหลายปี แต่ความสัมพันธ์ของเขาสองคนก็ยังครึ่งๆ กลางๆ อยู่แบบนี้ ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี หรือเขาไม่พอใจอะไร ที่มันเป็นแบบนั้น ก็แค่มันเหมือนกับว่าสถานะอะไรก็ไม่สำคัญ ขอเพียงทั้งเขาและเบนต่างรับรู้ว่า เราสองคนยังอยู่ตรงนี้เพื่อกันและกันเท่านั้นก็พอแล้ว

 

ก๊อกๆ

 

เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ มันดึงสติของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนให้กลับเข้าร่าง มาร์ติน ฟรีแมนสะบัดหัวหนึ่งที ก่อนจะเอื้อมมือไปจับที่เปิดประตู ในใจพลันคิดว่าถ้าเป็นเด็กๆ มาขอลูกอม คราวนี้เขาคงจะไม่มีให้แล้ว คงต้องยอมให้เด็กๆ เหล่านั้นหลอกล่ะมั้ง

 

ทว่าพอประตูเปิดออก ครั้งนี้กลับเป็นครั้งที่ทำให้เขาอึ้งที่สุด อึ้งยิ่งกว่าสองครั้งที่ผ่านมา ภาพตรงหน้าที่เห็นนั้นทำให้สมองถึงกับคิดทบทวนว่า วันนี้มันวันอะไร เดือนอะไรกันแน่ เขาหันไปมองปฏิทินที่แขวนอยู่ตรงผนังห้อง และใช่ นี่มันเดือนตุลาคมแน่นอน ไม่ใช่เดือนกรกฎาคมที่ปกติจะจัดงานคอมมิกคอนอะไรทำนองนี้นี่!?

 

แล้วทำไมเขาถึงเห็นดอกเตอร์ สเตรนจ์ยืนอยู่ตรงหน้าเขาได้ล่ะ!?

 

“Trick or treat”

 

ไม่ใช่หุ่นด้วย พูดได้แบบนี้ ตัวจริงแน่ๆ เอ…หรือว่ามาโปรโมตหนังแถวนี้ล่ะเนี่ย?

 

“มาร์ติน Trick or treat”

 

ทว่าพอเสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาเรียบๆ อีกรอบ พร้อมกับเขาที่เพ่งพินิจมองอย่างตั้งอกตั้งใจ ก็ทำให้รู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่ดาราดังที่ไหน แต่เป็นไอ้ลูกศิษย์จอมป่วนที่เขาคิดถึงอยู่เมื่อสักครู่นี้ต่างหาก ขอสารภาพว่าเขาไม่ได้คิดว่าวันนี้จะเจอเบนด้วยซ้ำ แถมยังมาด้วยรูปลักษณ์ อืม…นับว่าแปลกตาที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาก็ว่าได้ ร่างสูงอยู่ใต้ผ้าคลุมสีแดงปกตั้ง เสื้อผ้าด้านในเป็นสีครามไล่เฉด พันเข็มขัดสีน้ำตาลไว้ตรงเอวเสียหลายเส้น คาดคะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะหกถึงเจ็ดเส้น แถมยังห้อยสร้อยคอประจำกายของตัวละครหมอแปลกอีกต่างหาก

 

ใครจะไปคิดว่าเบนก็บ้าคอมมิกกับเขาด้วย

 

“Trick or treat มาร์ติน?”

 

“หา? เอ่อ… Trick แล้วกัน เพราะฉันไม่มีลูก…อม…แล้ว เฮ้ย!”

 

 

 

 

 

ความสงบอย่างที่มาร์ติน ฟรีแมนต้องการกลับคืนสู่แฟลตหลังน้อยอีกครั้ง เขาได้กลับมานั่งที่โซฟาตัวโปรดอย่างที่ต้องการในตอนแรก ถึงแม้จะต้องนั่งกอดอกหลังตรง ไม่ได้ยืดขาปล่อยแขนตามสบายก็ตาม มิหนำซ้ำยังได้ออปชันเสริมเป็นฟิกเกอร์ดอกเตอร์ สเตรนจ์ขนาดหนึ่งต่อหนึ่งมาประดับอยู่ในห้องอีกชิ้นหนึ่งให้รำคาญใจอีกด้วย

 

เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ในคอสตูมตัวละครชื่อดังนั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้อง ใบหน้าคมไร้หนวดเคราไม่เหมือนต้นฉบับคอมมิกมองตรงมายังข้างหน้านิ่งๆ สองมือกอดอกแบบไว้ท่า ไอ้ท่าทางหยิ่งผยองคล้ายไม่สำนึกต่อการกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้มันยิ่งทำให้มาร์ติน ฟรีแมนหมั่นไส้นัก หมั่นไส้จนอยากจะถีบอีกฝ่ายให้ตกเก้าอี้

 

“ฮึ่ย!”

 

เร็วดั่งใจคิด เท้าเล็กๆ ยันเข้าที่เบาะโซฟานุ่มจนมันเขยื้อนไปด้านหลังเล็กน้อย ทว่าร่างของคนเด็กกว่ากลับนั่งตรงท่าเดิมไม่ไหวติง ดวงตาก็ไม่แสดงอาการวูบไหวใดๆ สีหน้ายังคงนิ่งดังเดิมอย่างไม่ยี่หระ นั่นยิ่งทำให้เขาอยากจะพุ่งตัวไปบีบคอให้หายแค้นนัก แต่ไม่เอาหรอก ขืนเข้าไปใกล้ อีกฝ่ายได้กระชากเขาเข้าไปงับคออีกแน่!

 

ก่อนหน้านี้ หลังจากที่เบนฉวยโอกาสตอนเขางงๆ กับรูปลักษณ์แปลกตา เอ่ยถามว่า ‘Trick or treat’ เขาก็ตอบออกไปเบลอๆ แบบที่ใจคิดไว้ตอนแรก พอคำว่า ‘Trick’ หลุดจากปากไปเท่านั้นแหละ คนตัวสูงตรงหน้าก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จนเขาถึงกับพูดออกไปไม่เป็นประโยค มันใกล้ขนาดที่ต้องเอนตัวหนีไปด้านหลัง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่วายไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละ ดวงตาคู่สวยจับจ้องราวกับจะกักขังลมหายใจของเขาไว้ไม่ให้หลุดรอดไปไหน และเพียงเสี้ยววินาทีภาพทุกอย่างก็หายออกไปจากคลองสายตา ทว่ามันเอนไปด้านข้างแทน ทั้งอุณหภูมิร่างกาย กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคย พร้อมๆ กับลมหายใจร้อนที่เป่ารดอยู่บริเวณลำคอ ไม่นานนักความหยุ่นนุ่มและอุ่นชื้นก็เกิดขึ้นก่อนจะตามมาด้วยอาการเจ็บจี๊ดตรงซอกคอ

 

เบนกัดเขา!

ใช่ ดอกเตอร์ สเตรนจ์กัดคอเขานี่แหละ!

 

“ฮึ่ย!”

 

จะด่าจะว่าก็ไม่ได้ เพราะดูท่าทางแล้วคนคนนี้คงมีตรรกะอะไรในหัวอยู่แน่ๆ ถึงได้ทำแบบนี้ บางครั้งมันก็เป็นตรรกะที่ไม่รู้ว่าจะโกรธหรือจะเขินดี เฮ้อ…

 

ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่คนเป็นศาสตราจารย์ก็ทนไม่ไหว เขาทำลายมันลงโดยการลดทิฐิแล้วเอ่ยปากถามอีกฝ่ายก่อน แม้จะกรุ่นโกรธหรือโมโหแค่ไหนก็ตาม แต่ให้มานั่งจ้องหน้ากันเงียบๆ แบบนี้บอกเลยว่า เขายอมแพ้ ก็เขาทนมองดวงตาสีฟ้าเหลือบทองของเบนได้นานที่ไหนกันเล่า

 

“ไปเอาชุดมาจากไหน?”

 

“หืม?”

 

“ถามว่าไปเอาชุดมาจากไหน? นี่มันฮัลโลวีนนะ”

 

เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์คลายอ้อมแขนที่กอดอกอยู่ออก ก้มหน้าลงมองเนื้อตัวตนเองว่ามีอะไรผิดปกติตรงไหน ทำไมศาสตราจารย์ตรงหน้าถึงได้ถามอะไรแปลกๆ อย่างนี้ออกมา

 

“ซื้อมา”

 

“จากไหน?”

 

ถามพลางเลิกคิ้วด้วยความสงสัย ดวงตาสีเทาหรี่มองลูกศิษย์คนโปรดอย่างจ้องจับผิด ถึงแม้ว่าตอนนี้เบนจะกลายเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่เชี่ยวชาญด้านเคมีไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังนับว่าหมอนี่เป็นลูกศิษย์อยู่ดี เพราะดูท่าชีวิตนี้คงมีอะไรให้สอนกันอีกเยอะทีเดียว

 

คนถูกถามทำท่าคิดครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบออกมา

 

“ร้านขายชุดแฟนซี”

 

“แล้วคิดยังไงแต่งชุดนี้”

 

“นี่คุณจะเล่นเกมยี่สิบคำถามหรือยังไง”

 

เบเนดิกต์ตวัดขาที่ไขว่ห้างออกก่อนจะเอนตัวมาด้านหน้าอย่างคุกคาม น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดูจะโกรธเคืองอะไรมากนัก เหมือนแค่สงสัยมากกว่าว่าทำไมต้องมานั่งตอบคำถามอะไรไร้สาระแบบนี้ และทำไมศาสตราจารย์ของเขาถึงได้ไล่บี้เหมือนเขาทำผิดอะไรสักอย่างอย่างนั้นแหละ แค่แต่งชุดนี้มันผิดตรงไหน?

 

“ตอบมาเหอะน่า ฉันอยากรู้”

 

เสียงของมาร์ติน ฟรีแมนโอนอ่อนลงเหมือนจะรับรู้อารมณ์กรุ่นๆ ของอีกฝ่าย พอได้ยินแบบนั้น เบเนดิกต์ก็ไม่ได้งอแงหงุดหงิดอะไร เขาไหวไหล่เบาๆ แล้วเอนแผ่นหลังลงพิงพนักโซฟาดังเดิม มือใหญ่ทั้งสองข้างยกขึ้นกระตุกปกผ้าคลุมให้ตั้งขึ้นอย่างเท่ๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงดังออกมา

 

“วันฮัลโลวีนทั้งที ผมก็อยากแต่งเป็นผีมาหลอกคุณไง”

 

“…”

 

มาร์ตินตะโกนคำว่า ‘เดี๋ยวๆๆ’ ในใจดังลั่น ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเบิกตาโตขึ้นด้วยความงุนงงก่อนจะหรี่ตาลง ขยับคิ้วไปมาด้วยความสงสัย เขาว่าฮาร์ดไดรฟ์ในสมองของเบเนดิกต์ต้องบรรจุข้อมูลอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ

 

“ผี?”

 

“ใช่ ผีไง ก็วันนี้วันฮัลโลวีน”

 

“แล้วนาย…แต่งเป็นผีอะไร?”

 

พอโดนคำถามนี้เข้าไป จากที่ต่อล้อต่อเถียงฉอดๆ เมื่อครู่ก็กลับกลายเป็นนิ่งเงียบไป เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์หลบสายตาไปทางอื่นเหมือนกับว่าคำตอบของคำถามนี้มันเป็นสิ่งที่น่าอายประมาณนั้น

 

“เบน…นายแต่งเป็นผีอะไร?”

 

“…”

 

โอเค ถามจี้แบบนี้คงไม่ได้ผล ถ้าไม่ทะเลาะกันให้ตายไปข้างหนึ่งหรือว่าทำท่าจะโกรธใส่ ทำยังไงหมอนี่ก็ไม่ยอมบอกความจริงออกมาแน่ เจอแบบนี้ต้องเอาน้ำเย็นเข้าลูบให้อีกฝ่ายตายใจ

 

“โอเค งั้นตอนนายไปที่ร้านนายบอกคนขายว่าจะซื้อชุดอะไร”

 

พอได้ยินคำถามเลี่ยงๆ แบบนี้ชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมแดงก็ยิ้มกริ่มอย่างโล่งใจ เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องตอบออกไปตรงๆ ว่า เขานึกไม่ออกว่าไอ้ผีตัวที่เขาอยากแต่งมาเซอร์ไพรส์มาร์ตินน่ะชื่ออะไร ไอ้ครั้นจะให้บอกคนขายว่ามาซื้อชุดที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเรียกว่าตัวอะไรก็ดูไร้มาดเสียฟอร์มเสียเหลือเกิน เพราะงั้นเขาก็เลยตอบเจ้าของร้านขายชุดแฟนซีออกไปว่า

 

“ซื้อชุดที่มีผ้าคลุม”

 

“…” มาร์ตินเงียบ

 

“…” เบเนดิกต์ก็เงียบ

 

ต่างคนต่างเงียบ ก่อนจะเป็นอีกครั้งที่ศาสตราจารย์ร่างเล็กทำลายความเงียบออกมาเสียก่อน แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะความอึดอัด แต่เป็นเพราะขำกลั้นขำไม่อยู่ต่างหาก

 

“ฮ่าๆๆ เบน นาย…นาย…ฮ่าๆๆ”

 

เขาเว้นคำว่า ‘บ๊อง’ เก็บไว้ต่อท้ายประโยคในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวลูกศิษย์คนโปรดจะเสียน้ำใจหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเขาขำมากจนพูดไม่ออกต่างหาก เลยได้แต่ก้มหน้า เอามือกดท้องตัวเองเพราะหัวเราะมากเกินไป ดวงตาสีฟ้าเทาหยีลงจนริ้วรอยบริเวณรอบๆ แย่งกันขึ้นหลายขีด สมองเขาประมวลผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พอรู้ความจริงแล้วมันก็ตลกดีที่เบนต้องการซื้อชุดท่านเคาต์แดรกคูลามาเพื่อใส่ในวันฮัลโลวีน แต่ทางเจ้าของร้านกลับเข้าใจว่า เบนอยากได้ชุดของตัวละครที่กำลังฮิตอยู่ในตอนนี้ ดอกเตอร์ สเตรนจ์!

 

ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ ความผิดของหนังนั่นแหละ ที่ทำให้ผ้าคลุมมันเด่นจนคนจดจำและชื่นชอบ ฮ่าๆ

 

“นี่ๆ หยุด หยุด! มาร์ติน คุณหัวเราะอะไร ผมทำผิดอะไร ก็ผีที่มีผ้าคลุมมันก็มีตัวเดียวไม่ใช่หรือไง”

 

“ฮ่าๆๆ อ้อ เพราะงี้…เมื่อกี้นาย…นายก็เลยกัดคอฉันเพื่อจะดูดเลือดสินะ ฮ่าๆๆ”

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มในชุดหมอแปลกพุ่งตัวเข้าใกล้เจ้าของบ้านเพื่อจะบังคับให้หยุดหัวเราะ มือใหญ่เอื้อมไปจับข้อมือมาร์ตินไว้แล้วกระชากเข้าหาตัว แน่นอนว่าคนแก่กว่าย่อมขัดขืน แต่ถึงกระนั้นแรงต้านทานมันก็มีน้อยนิดเหลือเกินในยามที่เขากำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แบบนี้

 

“โอ๊ย เบน! ฉันเจ็บ ฮ่าๆ ปล่อยๆ ฮ่าๆๆ ปล่อยก่อน โอเค หยุดหัวเราะแล้ว นี่ๆ เอาหน้าออกไปเลยนะเว้ย!”

 

พอเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมหยุดหัวเราะสักที เบนที่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยกระชากตัวร่างเล็กเข้ามาใกล้กว่าเดิม มือใหญ่ที่กำปลายผ้าคลุมทั้งสองข้างตวัดโอบรัดไปรอบเอวมาร์ติน ทำให้ตอนนี้ชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่ใต้ผ้าคลุมไหล่สีแดงผืนเดียวกัน ก่อนจะออกแรงแน่นขึ้นเพื่อให้ร่างของศาสตราจารย์คนสนิทแนบชิดยิ่งกว่าตอนแรก

 

“เบน โอเค ไม่เล่นๆ ยอมแล้ว ไม่ขำแล้ว อะแฮ่ม! ไม่ขำแล้วครับ ท่านเคาต์แดรกคูลา…ตรงไหนกันเนี่ย ฮ่าๆๆ”

 

“มาร์ติน! ถ้าไม่หยุดผมจะดูดเลือดคุณจริงๆ ด้วย”

 

“ไม่ขำแล้ว หยุดแล้วครับ เฮ้ย! ก็หยุดขำแล้วไงเล่า อื้อ! กัดทำไมเนี่ย เบน! อื้อ…”

 

ปึ้ก!

 

แล้วทุกอย่างก็สงบนิ่ง เมื่อมาร์ติน ฟรีแมนปล่อยหมัดเสยปลายคางร่างสูงจนเจ้าตัวหลุดออกจากการเกาะกุม เขารีบเดินไปยังห้องน้ำทันทีเพื่อส่องกระจกดูว่าที่คอมีรอยแดงเกิดขึ้นหรือไม่ ด้วยเพราะเมื่อครู่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูดคอเขาแรงเกินเลยคำว่าเล่นๆ ไปมากโข หากเกิดรอยแดงขึ้นมามีหวังได้ใส่เสื้อคอเต่าหรือพันผ้าพันคอตลอดเวลาจนผิดสังเกตแน่ๆ

 

“ถ้ามันเป็นรอยนะน่าดู!”

 

เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนตะโกนออกมาจากห้องน้ำ หูเขาแว่วเสียงคำโต้เถียงลอยลมกลับมาเบาๆ ว่า ‘ไม่เป็นหรอก’ ด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

 

และโชคดีที่การกระทำของเบเนดิกต์เมื่อสักครู่นี้ไม่ทิ้งรอยอะไรไว้

 

“นายเป็นบ้าอะไร”

 

เจ้าของห้องเดินบ่นกระปอดกระแปดออกมาจากห้องน้ำ ตรงมายังชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่กลางห้อง พอพิศมองดีๆ แล้ว นอกจากเครื่องแต่งกายจะแปลกตา ทรงผมก็แปลกไปด้วย ปกติหมอนี่จะปล่อยผมยุ่งๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ค่อยได้ไปเซตอะไรให้วุ่นวาย แต่วันนี้กลับเสยตั้งขึ้นไป ดูเรียบร้อยกว่าทุกวัน

 

“สรุปรู้รึยังว่าฉันหัวเราะอะไร”

 

“ไม่”

 

คนแก่กว่ายักไหล่เบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางจากเดิมที่ตั้งใจจะไปนั่งคุยกันหน้าโซฟา จุดหมายกลับเป็นแล็ปท็อปที่ตั้งอยู่ตรงเคาน์เตอร์ในห้องครัวแทน แน่นอนว่าเบเนดิกต์ที่เห็นแบบนั้นก็ก้าวขายาวๆ เดินตามติดมาอย่างไม่ต้องเอ่ยปากเรียกแต่อย่างใด

 

“ผีที่นายอยากจะแต่งน่ะเขาเรียกแดรกคูลา”

 

“อ้อ มันชื่อนี้เองหรอกรึ”

 

“และมันก็ใส่ชุดแบบนี้”

 

ภาพชายหนุ่มผมเสยเรียบแปล้ในชุดขาวดำพร้อมผ้าคลุมผืนใหญ่ปรากฏขึ้นในหน้าเว็บเสิร์ชเอนจิน เบเนดิกต์กวาดตามองภาพเหล่านั้นก่อนจะก้มมองชุดที่ตัวเองใส่อยู่ เท่านั้นแหละ สมองก็ประมวลผลได้ทันทีว่า…หน้าแตกแบบสุดๆ แน่นอนว่าไอ้สีหน้าพะอืดพะอม เคอะๆ เขินๆ ของเบนมันน่ารักจนมาร์ตินอยากจะถ่ายรูปเก็บไว้

 

“ละ…แล้ว ตัวที่ผมใส่อยู่มันชื่ออะไร? คุณจำผิดหรือเปล่า ชุดที่ผมใส่อาจจะเป็นแดรกคูลาเวอร์ชัน 2016 ก็ได้นะ”

 

ไอ้การเถียงข้างๆ คูๆ ของร่างสูงนี่มันก็น่าเอ็นดูนัก คนตัวเล็กยิ้มกริ่ม ก่อนจะเลื่อนหน้าจอแล็ปท็อปกลับ จิ้มๆ พิมพ์ๆ ด้วยนิ้วชี้ซ้ายขวาอยู่สิบกว่าครั้ง พอกดปุ่มเอนเทอร์เสร็จปุ๊บก็หันหน้าจอกลับไปยังลูกศิษย์ดังเดิม

 

“เขาชื่อ ดอกเตอร์ สเตรนจ์”

 

เป๊ะ! ชัดขนาดนี้ จะเถียงก็เถียงไม่ออก จะแถว่าเป็นแดรกคูลาเวอร์ชันโลกอนาคตก็คงไม่ใช่ ในเมื่อชุดที่เขาซื้อมาจากร้านแฟนซีมันตรงระเบียบตามแบบแผนยูนิฟอร์มหมอแปลกขนาดนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้ร้านทำชุดมันจะเก็บรายละเอียดได้ครบทุกกระเบียดนิ้ว ขนาดเลเยอร์สีครามของชุดยังเหมือน หรือลายตารางด้านในของผ้าคลุมสีแดงที่เขาคลุมอยู่ก็เหมือนอย่างกับสำเนากันออกมา

 

ริมฝีปากหยักซีดได้แต่อ้าๆ หุบๆ ราวกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็นึกได้ว่าไม่พูดดีกว่า คล้ายๆ กับคอมพิวเตอร์กำลังรวน ระบบภายในกำลังโดนไวรัสเล่นงานอะไรประมาณนั้น ซึ่งมันเป็นท่าทางที่ตลกมากในสายตาของมาร์ติน

 

“ว่าแต่ผม คุณก็เหมือนกันนั่นแหละ”

 

เมื่อรู้ว่าเถียงไม่ชนะ ก็หาความผิดในตัวอีกฝ่ายยกขึ้นมาต่อกรแทนแล้วกัน ไม่ชนะด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาชนะด้วยเวทมนตร์!

 

“หือ? ฉัน ฉันทำไม?”

 

ศาสตราจารย์ร่างเล็กก้มมองสภาพตัวเอง เขามีอะไรแปลกไปตรงไหน

 

“นี่อะไร…เนกไทสีกรมลายจุด…อย่างนั้นเหรอ?”

 

ไม่พูดเปล่า เจ้าของคำถามขยับเข้าประชิด มือใหญ่ดึงเนกไทของคนตัวเล็กรั้งให้เข้าหาตัวเอง มาร์ตินพยายามจะขืนแต่ก็ไม่สำเร็จ

 

“ใส่เนกไทไม่พอ ยังใส่สูทสีเทา แถมเสยผมแบบนี้อีก”

 

“ทำ…ทำแล้วจะทำไม”

 

ยิ่งใบหน้าคมเลื่อนเข้าใกล้ จังหวะลมหายใจก็ยิ่งผิดแผก ไม่ต้องไปนับจังหวะการเต้นของหัวใจนะ อันนั้นระทึกหนักหน่วงตั้งแต่โดนกัดคอตรงหน้าประตูห้องแล้ว

 

“ก็ไม่ทำไม แค่เหมือนไม่ใช่มาร์ตินคนเดิม เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่มาร์ตินของผม”

 

จู่ๆ ประโยคสุดท้ายก็กลายเป็นพูดด้วยน้ำเสียงหงอยๆ ก่อนที่สองแขนจะโอบรัดไปรอบเอวและวางมือลงบนแผ่นหลัง ใบหน้าหล่อซุกซบลงกับไหล่เล็กๆ ของอีกฝ่าย รัดวงแขนให้แน่นขึ้นเหมือนกับกลัวว่าคนคนนี้จะเปลี่ยนไปไม่ใช่มาร์ติน ฟรีแมนอีกแล้ว ความอบอุ่นจากวงแขนและผ้าคลุมที่ห่อหุ้มตัวเขาไว้ บวกกับประโยคที่แฝงไปด้วยความหมายน่าอายเหล่านั้น เล่นเอามาร์ตินหน้าแดงซ่านแบบห้ามไม่อยู่ เอาจริงๆ เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีตรงส่วนไหนที่น่าจะทำให้เด็กน้อยซึมกะทันหันแบบนี้… แต่เอาเถอะ อุตส่าห์ลงทุนไปซื้อชุดมาเซอร์ไพรส์เขาทั้งที ไม่กอดตอบก็ดูจะใจร้ายเกินไปหน่อยล่ะมั้ง

 

ทั้งๆ ที่ไม่รู้ความผิด แต่ศาสตราจารย์ร่างเล็กก็เตรียมปลอบประโลมลูกศิษย์อย่างไม่มีเงื่อนไข

 

“เฮ้ๆ ฉันก็ยังเป็นฉันคนเดิม ไม่ว่าฉันจะแต่งชุดไหน ฉันก็เป็นศาสตราจารย์ของนายอยู่ดีล่ะน่า”

 

“แต่ว่า…”

 

ใบหน้าคมถอนออกจากไหล่ลาด เงยขึ้นมาสบดวงตาสีฟ้าเทา แล้วพยักหน้าเบาๆ เหมือนจำใจยอมรับ เสร็จแล้วก็หลุบดวงตาลงต่ำเหมือนเดิม ไอ้อาการหมาหงอยจนออกนอกหน้าแบบนี้ ขืนเบนเอ่ยปากขออะไรออกมาสักอย่างนี่เขาต้องยอมแน่ๆ

 

อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย มาร์ตินยอมรับเลยว่า เบนในลุกส์นี้ก็ทำให้เขาใจแกว่งเหมือนกัน มันเหมือน…ไม่ใช่เบน แต่จะให้มาเอ่ยปากยอมรับกันง่ายๆ ก็กระไรอยู่ อายุอานามก็ปาไปเลขสามแล้วนะ จะให้มาง้องแง้งเหมือนตอนอินเดียกับไอวิชตีกันมันคงดูน่าถีบมากกว่าน่ารัก แต่ถ้าไม่เอ่ยปากง้อออกไป ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงซึมกะทืออยู่แบบนี้แน่ๆ

 

“งั้นเอางี้ ก็คิดซะว่า…วันนี้นายก็แต่งตัวเหมือนไม่ใช่นายเหมือนกัน ฉันก็แต่งตัวเหมือนไม่ใช่ฉัน เพราะงั้นก็เจ๊ากันไป ดีมั้ย?”

 

“แต่ว่า…”

 

“ไม่มีแต่ สรุปว่าวันนี้นายเป็นดอกเตอร์ สเตรนจ์ ส่วนฉันเป็น…อืม นายบอกว่าฉันเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐบาลใช่มั้ย? งั้นฉันเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยชิลด์แล้วกัน โอเค้? ทีนี้ก็เลิกงอแงได้แล้ว โตแล้ว ทำเป็นยูจีนไปได้”

 

พูดพลางยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นวางแนบลงไปกับแก้มของคนเด็กกว่า ก่อนจะนวดขึ้นลงไปมาอย่างมันเขี้ยว

 

“หยุด หยุดน่า…อย่าเอาผมไปเปรียบกับจอมป่วนหมายเลขหนึ่งนะ”

 

มือใหญ่ยกขึ้นทาบกับหลังมือเล็ก สอดนิ้วมือประสานเพื่อหยุดการกระทำของอีกฝ่าย เขาเอนใบหน้าตนซบลงกับฝ่ามืออุ่นนั่น ก่อนจะหันไปประทับริมฝีปากลงใจกลางฝ่ามือน้อยๆ ของศาสตราจารย์ ไม่ใช่สิ ต้องเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยชิลด์สินะ

 

ใบหน้าของร่างเล็กในชุดเชิ้ตสีอ่อนแดงเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันแน่น ดวงตาสีฟ้าเทาเสมองไปด้านอื่นแทนอย่างไม่กล้าสบสายตาคมกล้าที่มองจ้องมาด้วยสื่อความหมายอะไรบางอย่าง

 

“…นี่ ไหนๆ วันนี้นายก็แต่งตัวแปลกๆ แล้ว เรามาถ่ายรูปเก็บไว้กันดีกว่า”

 

ว่าแล้วก็เบี่ยงตัวหลบ ก้าวสั้นๆ แต่รวดเร็วไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ตรงโต๊ะหน้าทีวี แล้วเลยไปตรงประตูห้องเพื่อจะหยิบเสื้อสูทสีเทาอ่อนมาสวมคลุมทับ พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยโดยพยายามไม่หันหลังกลับไปมองอีกคน จังหวะที่จะหมุนตัวหันกลับพลันปรากฏว่าชนเข้ากับแผ่นอกแกร่งของอีกฝ่ายแล้ว ก็บอกแล้วว่าเบเนดิกต์เดินตามมาประชิดมาร์ติน ฟรีแมนได้แบบไม่ต้องเอ่ยปากเรียกสักคำเดียว

 

จัดท่าจัดทางถ่ายรูปกันอยู่นาน เพราะแต่ละท่าที่เบนต้องการมันดูสุ่มเสี่ยงต่อความปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้ พอเป็นท่าที่เขาอยากได้ เบนก็ไม่ยอมอีก สุดท้ายแล้วก็พบกันครึ่งทาง ได้ท่าที่ยอมความกันได้ทั้งสองฝ่าย นั่นคือเบนยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเขา แล้วเอาคางเกยตรงไหล่ แน่นอนว่าแก้มของเจ้าเด็กตัวสูงนั่นแนบแก้มเขาจนแทบจะสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน

 

มาร์ตินเปิดแอปฯ กล้องถ่ายรูป ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโหมดกล้องหน้า ทว่าพอเขายื่นมือออกไปเพื่อจะถ่าย ภาพที่ปรากฏในกล้องนั้นแทบจะเก็บหน้าเขากับเบนไม่หมด โอเค ผิดที่แขนเขามันสั้นเอง เพราะงั้นก็ต้องแก้ปัญหาให้ถูกจุด

 

“เบน นายเป็นคนถือกล้อง…”

 

“ไม่”

 

ตอบสวนกลับมาทั้งๆ ที่เขายังถามไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ มาร์ตินจิ๊ปากอย่างขัดใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงขุ่น

 

“นายแขนยาวกว่าก็เป็นคนถือกล้องสิ!”

 

“ไม่”

 

“เบน…อย่าทำให้ฉันหงุดหงิดน่า”

 

น้ำเสียงที่ขุ่นมัวกับอาการขืนตัวออกห่างทำให้คนเด็กกว่ารับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน จึงรีบเอ่ยอธิบายเหตุผลของตนออกไปทันที

 

“มือไม่ว่าง”

 

พูดเพียงแค่นั้นก็ตอบข้อสงสัยของศาสตราจารย์ร่างเล็กต่อด้วยการกระทำ เบเนดิกต์กระชับวงแขนให้แน่นขึ้นแล้วรั้งตัวมาร์ตินเข้ามาแนบชิดแผ่นอกตนมากกว่าเดิม ทำเอาชายหนุ่มที่เมื่อกี้อารมณ์หงุดหงิดเปลี่ยนเป็นอาการเขินโดยฉับพลันกับเหตุผลสุดแสนจะประหลาดของอีกฝ่าย โอ๊ย! ให้ตายเหอะ บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าจะทำอะไรก็ขอให้คิดเหมือนผู้เหมือนคนอย่างคนอื่นเขาบ้าง ฮึ่ย!

 

สุดท้ายมาร์ติน ฟรีแมนก็เป็นฝ่ายยื่นแขนออกไปถือกล้องดังเดิม เมื่อชายหนุ่มสองคนเช็กสภาพเสื้อผ้าหน้าผมเรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวฉีกยิ้มกว้าง เสียงเล็กๆ เอ่ยนับหนึ่ง…สอง…สาม ทว่าจากปุ่มชัตเตอร์กล้องกลับกลายเป็นปุ่มสีเขียวๆ สำหรับรับสายเฟซไทม์ไปเสียอย่างนั้น และนิ้วโป้งของเขาก็หยุดไม่ทันเสียแล้ว

 

ปิ๊บ!

 

“เย่! ภาพมาแล้ว! อ้าว…คุณลุงฮิปโปอยู่กับพี่มาร์ตินจริงๆ ด้วย!”

 

เสียงใสๆ ของอินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธดังขึ้นพร้อมๆ กับภาพของเด็กหญิงผมทองในชุดธอร์น้อย เธอพูดจบก็ถือโทรศัพท์วิ่งไปมาจนภาพที่ปรากฏบนหน้าจอวูบไหวมองอะไรไม่ชัด ไม่นานมันก็หยุดนิ่ง และเป็นภาพของผู้ปกครองของเธอโผล่ขึ้นมาแทน

 

“ป๊ะป๋าขา คุณลุงฮิปโปอยู่กับพี่มาร์ตินจริงๆ ด้วยค่ะ! นี่ไงๆ กำลังยื่นหน้ามาหาอินเดียใหญ่เลยค่ะ อาทอมโกหก หลอกหนูว่าสองคนนั้นไม่ได้อยู่ด้วยกัน นิสัยไม่ดีเลย ป๊ะป๋าต้องจับอาทอมตีก้นเพียะๆ แบบที่ป๊ะป๋าทำกับอินเดียเลยนะ ไม่งั้นอินเดียไม่ยอมด้วย!”

 

เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นไม่หยุด เด็กหญิงพูดไปบ่นไปโดยไม่ได้สนใจมองเลยว่าป๊ะป๋าของเธอที่มองเห็นภาพในจอโทรศัพท์กำลังเบิกตากว้างด้วยความตกใจแค่ไหน แน่นอนว่า ทางฝั่งของคุณลุงฮิปโปกับคุณพี่มาร์ตินเองก็ตกใจเช่นกัน ใครจะไปคิดเล่าว่าจังหวะคนมันจะซวยก็ช่วยไม่ได้จริงๆ

 

“อินเดีย! วางสายเร็วลูก ไม่งั้น…”

 

‘ตายแน่!’ ประโยคนี้ร่างสูงใหญ่ในชุดคอสตูมเทพธอร์ไม่ได้ต่อให้จบประโยค แต่เป็นมาร์ตินต่างหากที่เอ่ยดังๆ ในใจออกมา เจ้าเทพกระจอกอยากตายท่าไหนบอกมา!

 

“ไม่วางไม่ได้เหรอคะ อินเดียอยากคุยกับคุณลุงฮิปโปนี่นา ลุงฮิปโปยังไม่ได้ให้ลูกอมอินเดียเลยน้า… แต่เอ๋? นั่นไม่ใช่คุณลุงฮิปโปนี่ นั่นมันดอกเตอร์ สเตรนจ์!”

 

คริส เฮมส์เวิร์ธยกมือขึ้นกุมขมับ ลืมบอกไป นอกจากอินเดียจะบ้าธอร์แล้ว เธอก็ยังบ้าหนังมาร์เวลทุกๆ เรื่องอีกด้วย…

 

“ป๊ะป๋าๆ ไปบ้านพี่มาร์ตินกันค่ะ พี่มาร์ตินต้องจัดงานปาร์ตี้ฮีโร่แน่เลย เพราะมีทั้งดอกเตอร์ สเตรนจ์ แถมพี่มาร์ตินยังแต่งเป็นเอเจนท์รอสส์ด้วย! ถ้าบ้านเราไปเพิ่มก็จะได้มีธอร์กับโลกิยังไงล่ะคะ ป๊ะป๋าไปเร็ว…”

 

ปิ๊บ!

 

ไม่ทันจบประโยค มาร์ติน ฟรีแมนก็ได้สติกดปุ่มวางสายแล้ว เขายกมือข้างที่ว่างขึ้นนวดขมับเบาๆ ให้ตายเถอะ วันนี้แทนที่เขาจะได้พักผ่อนสบายๆ กลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกเหนื่อยกว่าทุกๆ วันยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปแล้ว อยากจะกลับไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงมากกว่า หลับๆ ไปจะได้ไม่ต้องมารับรู้ว่าเกิดเหตุการณ์บ้าบออะไรขึ้นบ้าง

 

“ดอกเตอร์ สเตรนจ์จริงๆ ด้วยแฮะ”

 

ทว่าเสียงต่ำๆ ที่งึมงำออกมาเบาๆ เรียกวิญญาณเขาที่กำลังจะเดินไปที่เตียงให้กลับเข้าร่าง ก่อนจะพบว่าตัวเองยังอยู่ในอ้อมกอดของร่างสูง ไอ้หมอนี่ก็ฉวยโอกาสกับเขาได้ตลอดทั้งปี

 

“ก็ดอกเตอร์ สเตรนจ์น่ะสิ ขนาดเด็กห้าขวบดูยังรู้เลยว่าไม่ใช่แดรกคูลาน่ะ”

 

มาร์ตินพยายามเดินลากเท้าตรงไปยังโซฟา อย่างน้อยเดินไปไม่ถึงเตียง ขอถึงโซฟาก็ยังดี ทว่ายิ่งเดินก็ยิ่งลำบาก ในเมื่อมีใครบางคนกอดเขาอยู่แล้วเดินแท่ดๆ ตามมาด้วยกัน ลำพังแค่ชุดสูทผูกเนกไทก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว นี่ยังมีอ้อมกอดของเบนมารัดให้เขาอึดอัดมากขึ้นกว่าเดิมอีก

 

“แล้วคุณก็เป็นเอเจนท์รอสส์?”

 

“เอเจนท์รอสส์หน้าตาเป็นยังไงฉันยังไม่รู้เลย”

 

“ก็ถ้าจอมป่วนหมายเลขสองบอกว่าคุณเป็นเอเจนท์รอสส์ งั้นคุณก็คงเป็นเอเจนท์รอสส์”

 

คนฟังขมวดคิ้วมุ่นกับประโยคซ้ำซ้อนกึ่งยัดเยียดของอีกฝ่าย พอหันไปตั้งใจจะมองหน้าคนที่เกาะติดมานั่งข้างๆ เขาก็พบว่าใบหน้าอีกฝ่ายค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้อีกแล้ว แขนยาววางคร่อมร่างเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมยังเอนลำตัวส่วนบนเข้าหา ยื่นหน้ามาแถวๆ ซอกคอเขาอีกด้วย

 

“พะ…พูดอะไรของนาย ไม่เห็นจะเข้าใจ แล้วนี่จะทำอะไรอีกเนี่ย!”

 

ฝ่ามือเล็กพยายามดันหน้าหล่อๆ ของเบนให้ออกห่าง ช่วงแขนสั้นยืดออกไปจนสุด แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ในเมื่อร่างสูงกว่ายังพยายามเบี่ยงหน้าออกแล้วรุกไล่เขามากขึ้นเรื่อยๆ

 

“ดูดเลือดไง ผมเป็นแดรกคูลาก็ต้องดูดเลือดสิ”

 

“บ้าเรอะ! นายเป็นดอกเตอร์ สเตรนจ์โว้ย!”

 

เหมือนคำอธิบายจะได้ผล เพราะเบเนดิกต์หยุดกึกกะทันหันพลางทำท่าครุ่นคิด มาร์ตินลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกด้วยคิดว่าตนคงปลอดภัยจากการโดนคุกคามแล้ว แต่ที่ไหนได้ เบนเงียบไปแค่ครู่เดียวก็ไหวไหล่เบาๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แล้วเอ่ยเหตุผลตนเองออกมา

 

“ผมเป็นดอกเตอร์ สเตรนจ์ก็ได้ ถ้าคุณเจ้าหน้าที่รอสส์อยากให้ผมเป็น…”

 

พอสิ้นประโยค ศาสตราจารย์ร่างเล็กก็หน้าแดงก่ำ ได้ยินแบบนี้แล้วก็เลือกไม่ถูกว่าที่หน้าแดงนี่เพราะโกรธหรือเพราะเขิน แต่แล้วในวินาทีต่อมามาร์ติน ฟรีแมนก็รู้คำตอบว่าหน้าเขาแดงเพราะเหตุผลใด

 

“คุณอยากให้ผมเป็นอะไร ผมเป็นได้ทุกอย่างสำหรับคุณ…มาร์ติน”

 

ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายแวววาว ถึงกระนั้นก็ยังแฝงไปด้วยความหนักแน่นและจริงจังของคนพูด และเป็นมาร์ตินเองที่ไม่รู้จะวางสายตาหวั่นไหวของตนไว้ตรงไหน เขามองจ้องไปยังดวงตาสีฟ้าทองคู่นั้นได้ชั่วขณะก็ต้องเปลี่ยนเป็นหลุบสายตาลงต่ำ ฟันคมขบลงยังริมฝีปากล่างอวบอิ่มของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ลิ้นเล็กเลียริมฝีปากแห้งผาก ทุกการกระทำที่เกิดขึ้นเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่า มันทำให้ความหนักแน่นของร่างสูงเริ่มจะคลอนไหวจนไม่อาจระงับอารมณ์ได้

 

“เพี้ยนรึไง? นี่วันฮัลโลวีน ไม่ใช่วันวาเลนไทน์ ไม่ต้องมาพูดอะไรหวานเลี่ยนแบบนี้ก็ได้”

 

เอ่ยพลางกระถดตัวออกห่าง ฝ่ามือเล็กยันอกอีกฝ่ายออก

 

“ก็…ไหนๆ วันนี้ผมก็ไม่ใช่ผม คุณก็ไม่ใช่คุณ งั้นวันฮัลโลวีน จะกลายเป็นวันวาเลนไทน์ของดอกเตอร์ สเตรนจ์กับเอเจนท์รอสส์ก็ไม่แปลกหรอก…จริงมั้ย?”

 

พูดจบ มือใหญ่ก็ดึงมือเล็กออกจากแผ่นอกตัวเอง ประทับริมฝีปากหยักซีดลงไปกลางหลังมือนั่น มันเกือบจะโรแมนติกอยู่แล้วเชียว ถ้าเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ไม่พูดประโยคถัดมา

 

“สรุปแล้ว…ให้ผมดูดเลือดที่คอคุณได้หรือยัง?”

 

โอเค ผ้าคลุ้มมม! ช่วยกระชากไอ้บ้านี่ออกไปจากตัวเขาเดี๋ยวนี้เลย!

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again: มันเป็นฟิคที่ใช้เวลาแต่งนานมว๊าก! นอกจากจะดองค้างไว้นานแล้ว พอได้ฤกษ์หยิบมาแต่ง ก็แอบใช้เวลางานแต่งอีก ถ้าเจอเว้นวรรคผิดๆ ถูกๆ ตัวสะกดตกหล่นก็ขออภัยด้วยค่ะ T^T ตอนแรกตั้งใจว่าจะให้มาร์ตินตกใจเพราะเห็นครอบครัวยูจีน (เพราะตอนนั้นมันยังไม่ฉาย The Hobbit 3 นี่เนาะ) แต่ปรากฏว่าล่วงเลยมาหลายปี ก็เลยต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ กอปรกับเห็นว่าช่วงนี้คุณหมอแปลกกำลังมาแรง และเราก็ชอบคู่นี้มากๆ ด้วย (เป็นคู่แต่ชาติปางก่อน จะพบกันทุกชาติไป ฮ่า) เราก็เลยต้องเอามาปรับๆ เป็นคู่นี้แทนค่ะ

 

และแน่นอนว่า…มีชื่อซีรีส์ My mate ขึ้นมาแล้ว ก็หวังไว้เหมือนกันว่า ในอนาคตตัวเองจะเข็นฟิคคู่นี้ออกมาได้บ้าง สักเรื่องก็ยังดีเนาะ (ท่องไว้ๆ ทำได้ๆ)

 

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามไม่ทิ้งกันไปไหนค่ะ จะแสดงตัวหรือไม่แสดงตัวเราก็รู้สึกขอบคุณมากๆ อยู่ดี :)

 

ป.ล. ยำมาให้ครบทุกคู่เลยค่ะ อยากอ่านคู่ไหนเป็นพิเศษรีเควสต์ไว้ได้นะคะ ที่ทวต. @babibubell จะพยายามปั่นให้โดยไวค่ะ (ก็ประมาณสองปี ฮ่า) XD

[NeUchida Fanfiction] My best friend the series – Left

Title: My best friend the series – Left

Pairing: Manuel Neuer x Atsuto Uchida

Author: Babibubell

Talk: ฟิคสั้นค่ะ…ทั้งสั้นทั้งสิ้นคิดค่ะ XD

ทิ้งความจริงทุกอย่างไปและยินดีต้อนรับสู่มโนแลนด์แดนของบูเบลค่ะ ><

 

 

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

 

 

คุณเคยหงุดหงิดอะไรสักอย่างแต่ทำอะไรไม่ได้บ้างมั้ยครับ?
หงุดหงิดทั้งๆ ที่รู้สาเหตุ รู้วิธีแก้ แต่ก็ทำได้เพียงนั่งบื้ออยู่ที่เดิมแบบนี้ มันยิ่งทำให้ความหงุดหงิดทวีขึ้นเป็นพันเป็นล้านเท่า
ใช่แล้วครับ…
มานูเอล นอยเออร์คนนี้กำลังหงุดหงิด!

 

แสงแดดยามเย็นอาบไล้สนามหญ้าสีเขียว สายลมอ่อนๆ พัดโชยมาพร้อมกับอากาศที่ไม่ร้อนและไม่เย็นเกินไปของปลายฤดูร้อนที่ย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ทั้งๆ ที่อะไรๆ รอบกายก็ดีไปหมด แต่ถึงกระนั้นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนกลับดูหงุดหงิดเหมือนกำลังไม่พอใจอะไรอยู่สักอย่าง มือขวาบีบแก้วกาแฟจนมันแทบจะบุบบู้บี้ มือซ้ายกำหมัดแน่นราวกับอยากจะต่อยใครสักคนเพื่อระบายอารมณ์กรุ่นๆ ดวงตาจับจ้องไปยังสนามที่มีร่างของบรรดาชายหนุ่มหลายสิบคนวิ่งไล่ตามลูกบอลกันไปมาในช่วงท้ายของการซ้อมของวัน ถึงแม้จะใช้คำว่า ‘บรรดาชายหนุ่ม’ แต่เอาเข้าจริงๆ สายตาของเขากลับจดจ้องอยู่ที่คนคนเดียวมากกว่า

 

ร่างเล็กๆ ในชุดวอร์มสีน้ำเงิน เส้นผมสีเข้มที่พลิ้วไสวยามวิ่งเหยาะๆ ช้าๆ ดวงตาเรียวรีที่หยีลงเวลารอยยิ้มหวานๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาว รอยยิ้ม…ที่เจ้าตัวส่งให้กับไอ้เด็กหน้าอ่อนที่วิ่งไล่ตามมากอดคอคนของเขา

 

แกรบ!
โอเค ใจเย็นๆ อีกไม่กี่นาทีหมอนั่นก็เลิกซ้อมแล้ว

 

ผู้รักษาประตูทีมชาติเยอรมันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามระงับโทสะ กดอารมณ์คุกรุ่นให้ดับลงไม่ให้พลุ่งพล่านอย่างที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ยิ่งมองไปยังคนคนนั้น ไอ้ที่พยายามทำอยู่ก็ดูเหมือนจะไร้ความหมาย ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ และถึงแม้ว่าอยากจะลงไปร่วมซ้อมด้วยในสนามเดียวกันมากแค่ไหน ที่ทำได้ก็แค่เพียงนั่งมองจากที่ไกลๆ อยู่แบบนี้

 

เป็นเขาเองที่ตัดสินใจเดินจากมา…และทิ้งเพื่อนสนิทที่สุดเอาไว้เบื้องหลัง

 

ขณะที่กำลังจมจ่อมอยู่กับความคิด มานูเอล นอยเออร์ก็ไม่ได้สังเกตเลยว่า ร่างของคนที่เฝ้ามองกำลังวิ่งเหยาะๆ เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกชื่อตนเองนั่นแหละ สายตาถึงได้กลับมาโฟกัสที่คนคนเดิมอีกครั้ง

 

ทันทีที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเอ่ยเรียกชื่อตนนั้น ความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อครู่ก็พลันมลายหายไปอย่างอัตโนมัติ ทว่าพอดวงตามองเห็นภาพตรงหน้าเท่านั้นแหละ ไอ้ความหงุดหงิดที่วิ่งหนีหายไปเมื่อกี้มันกลับยูเทิร์นย้อนมาสิงสู่ในหัวใจของเขาอีกครั้ง ก็จะไม่ให้หงุดหงิดได้ยังไงล่ะ ในเมื่อร่างเล็กๆ ที่ยืนส่งยิ้มหวานให้เขาอยู่ตอนนี้ มันมีเนื้องอกโผล่ออกมาตรงบ่าด้วยน่ะสิ แล้วไอ้เนื้องอกที่ว่านั่นก็หน้าตาเหมือนรุ่นน้องนักเตะในทีมเดียวกับอัตสึโตะ อุจิดะเป๊ะๆ ไอ้เนื้องอกหน้าตายียวนกวนประสาทจนอยากจะเอาบอลปาอัดหน้าให้ยับกันไปข้างหนึ่ง! ติดแต่ว่าตอนนี้ไม่มีบอล มีแต่แก้วกาแฟยับยู่ยี่ในมือ ถ้าปามันออกไปอุจจี้จะหาว่าเขาป่าเถื่อนไหม? โอเค ไม่ปาก็ได้ แต่ไอ้รอยยิ้มกับสายตานี่มัน… ฮึ้ย!

 

เจ้าจูเลียน แดรกซ์เลอร์!

 

ถึงแม้ว่ามานูเอล นอยเออร์จะออกจากทีมไปได้หลายเดือนแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับนักฟุตบอลสัญชาติญี่ปุ่นคนนี้ ทั้งคู่ยังคงโทรศัพท์คุยกัน ส่งข้อความหากันบ้าง นานๆ ครั้งก็นัดไปกินข้าวเย็นกันอย่างเช่นวันนี้ และระยะหลังๆ มา ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกว่า เรื่องเล่าที่ออกมาจากปากอุจิดะจะมีแต่เรื่องของจูเลียน แดรกซ์เลอร์เสียเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า ตำแหน่งความสนิทสนมที่เมื่อก่อนเป็นของเขานั้น ตอนนี้มันตกไปเป็นของเจ้าหนูนี่แล้วสินะ

 

ทั้งๆ ที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้มันยังเป็นของเขาแท้ๆ!

 

“นอยเออร์ซัง ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

 

อุจิดะยังคงสงสัยในสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่าย ไม่ได้เจอกันมานาน แต่นอยเออร์กลับทำท่าเหมือนไม่ดีใจที่ได้เจอกันแบบนี้ ความเสียใจที่มีอยู่ลึกๆ มันถูกตีตื้นขึ้นมาเล็กน้อย คล้ายกับตะกอนที่ก้นบ่อถูกทำให้ฟุ้งกระจาย และใช่…ปกติแล้ว เพียงไม่นาน ตะกอนเหล่านั้นก็จะกลับไปนอนก้นดังเดิม อารมณ์ที่เคยขุ่นหมองก็กลับมากระจ่างใสอีกครั้ง แต่กลับครั้งนี้มันไม่ใช่…

 

“นายไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”

 

เสียงทุ้มไม่เอ่ยตอบคำถามใดๆ นอกจากไล่ให้อุจิดะไปให้พ้นหน้าเขาตอนนี้ แน่นอนว่านอยเออร์ต้องไม่คิดเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ว่าร่างเล็กที่ยืนอยู่ในสนามหญ้าตอนนี้คิดแบบเดียวกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่สูงกว่าบนอัฒจันทร์หรือเปล่า

 

มีเพียงเสียงลมพัดใบไม้ไหวเป็นคำตอบ ก่อนที่คนอายุน้อยที่สุดในวงสนทนาจะตัดสินใจโอบบ่าแล้วพารุ่นพี่ในชุดวอร์มสีน้ำเงินเดินจากไปโดยไม่มีใครเหลียวหลังกลับไปมอง ‘อดีต’ ผู้รักษาประตูของทีมเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

ปึ้ง!

 

เสียงประตูตู้ล็อกเกอร์ถูกปิดอย่างแรงบ่งบอกได้ดีถึงความโมโหของเจ้าของตู้ ก่อนที่มันจะดังอีกครั้งด้วยมือคู่เดิมของจูเลียน แดรกซ์เลอร์ที่กระแทกฝ่ามือไปอีกที แล้วตามด้วยฝ่าเท้าเตะเข้าที่ประตูตู้ด้านล่าง เสียงที่ดังขึ้นสามครั้งทำให้สิ่งมีชีวิตอีกหนึ่งที่นั่งก้มหน้านิ่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวกลางห้องอยู่นานอดเงยหน้าขึ้นมามองรุ่นน้องคนสนิทด้วยความสงสัยไม่ได้

 

“เป็นอะไรไปหืม?”

 

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูเหนื่อยอ่อนแต่ถึงกระนั้นก็ยังปะปนมาด้วยความห่วงใย พอได้เห็นได้รับรู้สีหน้าท่าทางแบบนั้นของอีกฝ่าย คนเด็กกว่าก็ยิ่งหงุดหงิด อันที่จริงเขาค่อนข้างไม่พอใจที่รุ่นพี่นอกทีมมาทำให้รุ่นพี่ในทีมของเขาไม่สบายใจได้ขนาดนี้ เพียงแค่คนคนนั้นแสดงสีหน้าไม่พอใจบวกกับประโยคที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจแบบนั้น ก็ทำเอารุ่นพี่อุจิดะถึงกับซึมกะทือ เห็นแบบนี้แล้วพานรู้สึกแย่ตามไปด้วย

 

“พี่นั่นแหละ เป็นอะไร?”

 

คำตอบที่ได้มากลับเป็นคำถามเสียอย่างนั้น และอัตสึโตะ อุจิดะไม่ใช่คนโง่ โอเค ยอมรับก็ได้ว่าเขาซื่อบ้างในบางเรื่อง แต่กับคำถามนี้ไม่ใช่ พอโดนย้อนกลับมาแบบนี้ก็ได้แต่ถามตัวเองในใจว่าเป็นอะไรเช่นกัน เพราะแม้แต่เขายังไม่รู้คำตอบเลยด้วยซ้ำ

 

“ก็…ไม่รู้สิ ผิดหวัง…ล่ะมั้ง”

 

ตอบตรงๆ พลางยักไหล่อย่างกับไม่ใส่ใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วในใจมันเหมือนถูกบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก เพราะตั้งความหวังไว้สูง เวลาตกก็เลยเจ็บมากสินะ

 

ดวงตาสีเข้มหลุบต่ำลงพื้นเหมือนไม่อยากรับรู้อะไร มือเล็กประสานกันแน่นที่หน้าตัก จิกเล็บเข้าไปในเนื้อราวกับอยากให้ตรงนี้มันเจ็บให้มาก แล้วตรงหัวใจจะได้เจ็บน้อยลงกว่านี้ เห็นแบบนั้นแล้วแดรกซ์เลอร์ก็ทนไม่ไหว เด็กหนุ่มผละออกจากตู้ล็อกเกอร์ เดินตรงมาจับต้นแขนคนแก่กว่าที่นั่งหงอยราวกับเป็นคนป่วย ออกแรงกระชากเข้าหาตัวเพียงนิดเดียว อุจิดะที่ไม่ทันตั้งตัวก็เซถลาจนปะทะเข้ากับอกอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

 

เด็กหนุ่มเลิกคิ้วนิดหน่อยกับสถานการณ์ที่ตนไม่ได้ตั้งใจก่อ แต่มันก็ดูเข้าท่าเข้าทางดี เขาอยากให้รุ่นพี่คนเก่งคนนี้กลับมาร่าเริงเหมือนดั่งเดิม แม้จะไม่มีผู้รักษาประตูคนนั้นอยู่ในทีมแล้วก็ตาม แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ทีมก็ต้องดำเนินต่อไป เพราะฉะนั้น เขาไม่อยากให้…

 

“พี่ สีหน้าพี่ตอนที่วิ่งไล่ตามลูกบอลน่ะ มันโคตรทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ เลย รู้รึเปล่า?”

 

“หา? เอ่อ…”

 

“และผมก็อยากจะเห็นแบบนั้นตลอดไป เพราะฉะนั้น…พี่ทิ้งมันไปไม่ได้เหรอ? ไอ้ความรู้สึกทุกอย่างของพี่กับคนคนนั้น ในเมื่อเขาเลือกที่จะทิ้งพี่แล้วเดินจากไป พี่ก็ควรเลือกที่จะทิ้งอดีตไปเหมือนกัน”

 

“แต่ว่า…ฉัน…”

 

“ปล่อยมันไปเถอะ…ขอร้อง”

 

“ฉัน…”

 

อัตสึโตะ อุจิดะไม่รู้จะตอบอะไร ในเมื่อความรู้สึกตัวเองมันยังไม่แน่ชัดเลยสักนิด ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่ ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้น มันมากขึ้นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กัน บางครั้งความรู้สึกดีๆ มันก็ไม่ล้นเกินไปจนทำให้คิดเกินเลยไปกว่าคำว่าเพื่อน ทว่าก็มีหลายครั้งที่ความห่วงใยของนอยเออร์มันทำให้หัวใจเขาพองโตอย่างประหลาด

 

“นะ…”

 

ปึ้ง!

 

เสียงประตูตู้ล็อกเกอร์ถูกกระแทกดังสนั่นห้องพักของสโมสรชาลเก้04 เล่นเอาชายหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่กลางห้องถึงกับสะดุ้งโหยงกับเสียงดังราวพสุธากัมปนาท ต้นเสียงไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นชายหนุ่มร่างสูงคนเดิมคนเดียวกับที่นั่งหงุดหงิดอยู่ตรงอัฒจันทร์เมื่อสักครู่นี้ หลังจากที่สองคนนั้นเดินหายลับไป มานูเอล นอยเออร์ก็ใช้เวลาอันน้อยนิดคิดทบทวนความรู้สึกในใจตัวเองอีกครั้ง แม้มันจะไม่ได้คำตอบอะไรชัดเจน แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เขารู้คือ เขาไม่ชอบที่เห็นเจ้าหน้าอ่อนนั่นมาเกาะแกะเพื่อนของเขา และเมื่อคิดได้ดังนั้น สองขามันก็รีบพามายังห้องพักนี้โดยอัตโนมัติ

 

“ขอโทษนะ! นี่มันพื้นที่ส่วนตัว คนนอกห้ามเข้านะครับ”

 

ดวงตาสีฟ้าเทาเหลือบมองไปยังคนพูดด้วยสายตาสุดแสนจะหมั่นไส้ ก่อนเขาจะส่งเสียงหึในลำคอเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะให้สองคนนั้นได้ยินด้วย มานูเอล นอยเออร์ไม่ตอบอะไร นอกจากเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มสองคนในชุดวอร์มสีน้ำเงิน แล้วหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ ทอดสายตาลงมองคนเด็กกว่าที่ทำหน้าไม่พอใจอยู่

 

“โทษที พอดีลืมของ”

 

“หา! ของ? ของอะไร ตู้ล็อกเกอร์พี่เขาเคลียร์ของเสร็จไปตั้งนาน จนให้คนอื่นใช้ไปแล้ว”

 

แดรกซ์เลอร์เถียงกลับหน้าดำหน้าแดง ผิดกับอีกฝ่ายที่ยืนยิ้มมุมปากนิ่งๆ อย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะส่งเสียงหึในลำคอออกมาอีกครั้ง มือใหญ่ยกขึ้นแล้วเอื้อมไปข้างหน้า วางพาดลงกับบ่าเล็กๆ ของอัตสึโตะ อุจิดะอย่างรวดเร็ว ออกแรงกระชากนิดเดียว นักฟุตบอลชาวญี่ปุ่นก็ย้ายฝั่งยืนอย่างง่ายดาย

 

“นี่ไง ของฉัน”

 

พูดจบก็โอบไหล่เดินจากไป ไร้ซึ่งเสียงทักท้วงใดๆ จากคนในชุดวอร์มที่เดินคู่ไปกับคนนอกทีม มีเพียงสายตาที่อ่านได้ว่า ‘ขอโทษ’ เท่านั้นที่ส่งกลับมาให้เขา ถึงแม้จะหงุดหงิดเล็กน้อยที่โดนหยามหน้า แต่แดรกซ์เลอร์ที่มองภาพแผ่นหลังที่เดินเคียงกันออกไป พร้อมกับเสี้ยวหน้าด้านข้างของสองคนที่หันมาหากัน เห็นแบบนั้น เขากลับมีรอยยิ้มเล็กๆ ระบายอยู่บนใบหน้า

 

“เอาน่ะ แค่พี่ยิ้มได้ผมก็ดีใจแล้ว”

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

แถมๆ

 

หลังจากที่เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ทำให้แผนการไปกินข้าวเย็นนอกบ้านต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย และเปลี่ยนแผนใหม่มาเป็นกินข้าวเย็นในบ้านแทน ทว่าตั้งแต่ออกจากสโมสร ตลอดจนระยะทางกลับมายังบ้านพักของอุจิดะ เจ้าตัวก็เอาแต่ปิดปากสนิทไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ เล่นเอาคนตัวใหญ่ไม่รู้จะต่อบทสนทนายังไง เพราะถามอะไรไปก็เหมือนคุยอยู่คนเดียวเสียมากกว่า สองสามประโยคแรกยังพอประคับประคองสถานการณ์ไปได้ แต่พอคำตอบหายต๋อมราวกับก้อนหินจมน้ำเป็นครั้งที่สี่ มานูเอล นอยเออร์ก็ตัดสินใจปิดปากบ้าง ด้วยไม่อยากไปกวนอารมณ์ของคนข้างๆ ให้ขุ่นมากไปกว่านี้

 

และพอถึงบ้าน คนตัวเล็กก็เดินดุ่มๆ ตรงไปยังห้องอาบน้ำโดยไม่สนใจอะไรเลยสักนิด ใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมง อุจิดะก็ปรากฏตัวอีกครั้งในสภาพเสื้อยืดสีขาวตัวย้วยกับกางเกงวอร์มขายาวสีดำ ในมือถือผ้าขนหนูผืนเล็กติดมาด้วย ก่อนจะเดินตรงดิ่งมายังเขาที่นั่งอยู่บนโซฟาที่กำลังดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย

 

“อื้อ!”

 

ส่งเสียงพลางยื่นผ้าขนหนูผืนที่ว่ามาตรงหน้าร่างสูงใหญ่ นอยเออร์เงยหน้ามองอีกฝ่าย เลิกคิ้วด้วยประหลาดใจนิดหน่อย แต่พอผ้าขนหนูผืนเดิมถูกยื่นซ้ำเข้ามาใกล้มากกว่าเก่าเขาก็พอเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบผ้านุ่ม ส่วนคนตัวเล็กก็ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นตรงกลางหว่างขาเขา เอาฝ่าเท้าทั้งสองข้างประกบกันแล้วยกขาที่ตั้งเป็นมุมสามเหลี่ยมทั้งสองข้างขึ้นลงอย่างเล่นสนุก

 

แต่ถึงกระนั้นก็ยังเงียบ…

 

เงียบจนในที่สุดร่างใหญ่ทนอึดอัดไม่ไหว เป็นอีกครั้งที่เขาตั้งใจจะทำลายความเงียบนี้

 

“อุจจี้…”

 

“ใครเป็นของของนายไม่ทราบ?”

 

“หา?”

 

“ฉันถามว่า…ใครเป็นของนายไม่ทราบ?”

 

ไม่รู้ว่าคนพูดรู้ตัวรึเปล่าว่าเสียงที่เปล่งออกมามันฟังดูกระเง้ากระงอดราวกับอยากให้คนฟังง้องอนมากแค่ไหน แต่ดูท่าแล้วคงจะไม่รู้ตัวล่ะมั้ง และเขาเองก็ไม่รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายพูดด้วยสีหน้าแบบไหน ก็เล่นนั่งหันหลังให้กันแบบนี้นี่นา หรือว่า…ที่เอาผ้าขนหนูมาให้เขาเช็ดผมเพราะตั้งใจจะให้สถานการณ์มันเป็นแบบนี้

 

ร้ายไม่เบาเหมือนกันแฮะ

 

“เอ้า! ถามไม่ได้ยินหรือไง?”

 

ภาษาเยอรมันที่เมื่อก่อนยังพูดได้แบบกระท่อนกระแท่น แต่มาบัดนี้กลับสามารถต่อปากต่อคำเขาได้เป็นประโยคยาวๆ อย่างมั่นใจ ได้ยินแล้วก็นึกหมั่นไส้ระคนเอ็นดูอยู่ไม่น้อย จนนอยเออร์ออกแรงขยี้ผมมากกว่าเดิมด้วยเพราะอยากจะแกล้งอีกฝ่ายกลับไปบ้าง

 

“ก็นายไง”

 

“อะไร?”

 

“นายไง…เป็นของฉัน”

 

“แล้วฉันไปเป็นของนายตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

น้ำเสียงยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจในคำพูด แต่เอาเถอะ เขารู้ว่าอีกฝ่ายเขินมากแค่ไหน ถึงแม้เสียงจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา แต่ไอ้หูแดงๆ ที่โผล่พ้นกลุ่มผมสีดำออกมามันฟ้องเขาหมดแล้วว่า…ตอนนี้หน้าคนพูดคงจะแดงไม่แพ้หูแน่ๆ เพราะฉะนั้น เห็นแก่ความตั้งใจ เขาจะไม่แซวเรื่องที่อุจจี้เขินก็ได้

 

“อืม…ดูเหมือนนายจะลืมไปแล้วสินะ ว่าบนโซฟาตัวนี้เคยเกิดอะไรขึ้น? บ้านหลังนี้เคยเกิดอะไรขึ้น? และ…ห้องนอนของนายเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง…”

 

“นอยเออร์ซัง!”

 

ได้ผล คนตัวเล็กทะลึ่งพรวดลุกขึ้นหันมาเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่บนโซฟาทันที ก่อนจะล้มปุลงไปหาคนผมทองที่นั่งยิ้มซื่อๆ อยู่บนโซฟาตัวยาวนั่น ไม่ใช่ว่าจะแข้งขาอ่อนตามแบบฉบับละครทั่วไปอะไรหรอกนะ แต่เป็นเพราะมือใหญ่ของนอยเออร์ต่างหากที่ดึงแขนให้เขาล้มลงมาหากันน่ะ!

 

มือเล็กของอัตสึโตะ อุจิดะยันแผ่นอกกว้างไว้ข้างหนึ่ง ส่วนหัวเข่าก็ยันไว้กลางหว่างขาคู่เดิมของคนที่นั่งอยู่บนโซฟา ท่าทางตอนนี้มันกึ่งๆ ขึ้นคร่อม กึ่งๆ ถูกกอดยังไงไม่รู้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่ากับไอ้คำพูดกำกวมก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายหรอกนะ!

 

“นั่นมันก็แค่คอสเพลย์!”

 

เจ้าของบ้านเถียงกลับด้วยใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งพอนึกถึงเรื่องวันนั้นขึ้นมาหน้าก็ยิ่งเห่อร้อนมากกว่าเดิม และใช่ เขาไม่เคยลืมหรอกว่าบนโซฟาตัวนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง… บ้านหลังนี้ของเขาเกิดอะไรขึ้นบ้าง และ…ห้องนอนคืนนั้นตลอดจนเช้าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง…

 

ก็ใครมันจะไปลืมเรื่องน่าอายแบบนั้นลงได้ละเว้ย!

 

แต่ดูเหมือนว่า มานูเอล นอยเออร์จะไม่คิดว่านั่นเป็นเรื่องน่าอาย ร่างใหญ่กำลังสนุกสนานอยู่กับการได้เห็นสีหน้าหวาดๆ ที่แสดงออกมาพร้อมๆ กับใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ตอนนี้เขารู้เพียงว่าเขากำลังสนุก จึงส่งเสียงในลำคอออกไปเบาๆ คล้ายหัวเราะขบขัน ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้อัตสึโตะ อุจิดะกลายสภาพเป็นกุ้งต้มสุก

 

“ถึงมันจะเป็นแค่คอสเพลย์…แต่มันก็ไม่สามารถเปลี่ยนเรื่องที่ว่า นาย (คอสเพลย์) เป็น (ลูกฟุตบอล) ของฉันไปได้หรอกนะ จำไว้ หึๆๆ”

 

เมื่อได้ยินคำตอบแบบกำปั้นทุบดิน อุจิดะก็รู้ตัวว่า ชาตินี้คงเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ แถมมันเป็นเรื่องที่เขาเริ่มต้นเองเสียด้วย โอ๊ย…คราวหน้าคราวหลังจะทำอะไร เขาสาบานเลยว่า เขาจะคิดให้เยอะกว่านี้ จะไม่ยอมตกลงไปในหลุมที่ตัวเองขุดอีกแล้ว!

 

 

 

 

 

The end

 

 

 

 

 

Talk again: ว่ากันตามจริง พล็อตเรื่องนี้คิดไว้นานมากๆ แล้ว ตอนนั้นคิดแค่เพียงว่าอยากได้ธีม “ลืมของ” แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่า จะให้เป็นเรื่องราวของคู่ไหน และจะให้ใครพูด แต่สุดท้ายคิดไปคิดมา ไอ้อาการกวนฝ่าเท้าแล้วเดินมาบอกว่า “ลืมของ” เนี่ย จะให้เป็นพี่เบนก็ดูจะ…พอกล้อมแกล้มไปได้บ้าง แต่ถ้าเป็นพี่คริสเฮมส์ก็ดูจะไม่ค่อยเข้าทีเท่าไหร่ เปิดลิ้นชักดูว่าตัวเองแต่งคู่ไหนอีกบ้าง ก็ไม่เห็นใครนอกจากมะนอยคนนี้ (ก๊าก!) คิดไปคิดมามันก็อาจจะเหมาะดีก็ได้ ก็เลยถูๆ ไถๆ แต่งออกมา ประกอบกับเจ๊กวามารีเควสไว้ในทวต.พอดี เลยอ้ะ! เอาพล็อตนี้แหละ เข็นออกมาให้จบดีกว่า เอิ๊กๆ

 

รักเจ๊กวา <3
รักคนอ่านค่ะ <3

 

 

 

[RichLee Fanfiction] Eugene the series – E12 Home Sweet Home

Title : Eugene the series – E12 Home Sweet Home

Pairing : Richard Armitage x Lee Pace and Little Eugene ft. Chris Pine and Martin Freeman

Author : Babibubell

Talk : หายไปน้าน…นาน (แหะๆ) จริงๆ มีพล็อตมากมายที่แล่นวนเวียนอยู่ในหัว แต่ช่วงปีสองปีที่ผ่านมาไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันค่ะ ไม่มีแรงบันดาลใจที่จะถ่ายทอดพล็อตในหัวออกมาเป็นตัวอักษรเลย (ร้องไห้) เคยแต่งแล้วลบแต่งแล้วลบอยู่หลายรอบมากๆ สุดท้ายก็เลยห่างกันซักพักกับการเขียนฟิกไป เอาเป็นว่าจู่ๆ ช่วงนี้พอจะว่างแล้ว (เหรอ?) ก็เลยปัดๆ ถูๆ สกิลการเขียนที่มีอยู่น้อยนิดแล้วลองใหม่อีกครั้ง สุดท้ายก็ได้เป็นฟิกตอนนี้มาค่ะ

 

เรื่องของครอบครัวหนูยูจีน คล้ายๆ จะเป็นเหตุการณ์ต่อจาก ตอน Eugene First Class ถึงไม่อ่านต่อเนื่องกันก็น่าจะอ่านรู้เรื่องค่ะ แต่ถ้าอ่านต่อกันก็จะดีใจมาก XD

 

เหนื่อยจากเรื่องงานแล้วมาคลายเครียดด้วยฟิกป่วงๆ ไร้สาระกันดีกว่าเนาะ :D

 

 

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

 

 

เหนื่อย…

 

ถ้าตอนนี้เขากำลังจะตาย สิ่งสุดท้ายที่เขาอยากจะตะโกนออกมาดังๆ คือคำว่า ‘เหนื่อย’ นี่แหละ

 

เกือบหกปีที่เป็นเจ้าของผับควบตำแหน่งบาร์เทนเดอร์ไปด้วย ไม่เคยมีวันไหนจะเหนื่อยเท่าวันนี้มาก่อน ไม่ว่าจะลูกค้าเมามาย หาเรื่องทะเลาะวิวาท เล็งสาวคนเดียวกัน หรืออกหักปรับทุกข์กินเหล้าเมาเรื้อน เขาก็รับมือได้สบายๆ ถึงแม้ตอนเป็นหนุ่มโสดจะต้องจัดการร้านคนเดียว แต่เขาก็มีเจ้าคริส ลูกน้องมือดีคอยช่วยเหลือ พอตอนลงหลักปักฐานมีครอบครัว ก็ได้คู่ชีวิตมาคอยดูแลทั้งเรื่องในบ้านนอกบ้านไม่ได้ขาด และถึงแม้ตอนนี้เราจะมีลูกสาวตัวน้อยเข้ามาจนทำให้คนรักของเขาต้องรับหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่ และทิ้งเขาให้เปล่าเปลี่ยวอยู่หลังเคาน์เตอร์ในผับก็ตาม แต่มันก็ไม่มีวันไหนที่เหนื่อยกายเหนื่อยใจเท่าวันนี้เลย

 

เรื่องมันเริ่มต้นที่…บ่ายวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง วันที่เป็นคิวของเขาที่จะได้อยู่บ้านดูแลลูกสาววัยขวบปีกว่า ส่วนคุณพ่อผมทองก็รับหน้าที่ไปดูแลร้านจัดการบัญชีกับเจ้าคริสมันไป ตามข้อตกลงกันตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่มียูจีนแล้วว่า จันทร์ พุธ เสาร์ เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องคอยไปดูแลร้าน วันอังคารกับพฤหัสบดีนั้นเป็นหน้าที่ของลี เพซ ส่วนวันอาทิตย์เราเว้นไว้เป็นวันครอบครัว เราสามคนพ่อลูกจะเห็นหน้ากันตั้งแต่ลืมตาในตอนเช้าจนกระทั่งหลับตาในตอนค่ำ ส่วนวันศุกร์วันที่ลูกค้าค่อนข้างเยอะนั้น แน่นอนว่าพ่อบาร์เทนเดอร์ตาฟ้านั่นคงดูแลร้านคนเดียวไม่ไหว เราสองคนจึงไปช่วยด้วย ทิ้งลูกสาวยูจีนไว้กับมาร์ตินบ้าง ไม่ก็ใช้บริการมิรา-เบบี้ซิตเตอร์บ้าง แล้วแต่สะดวก

 

แต่ไม่รู้วันนี้มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไร จู่ๆ เจ้าตัวเล็กที่ปกติเห็นหน้าเขาทีไรต้องถลากางแขนกว้างเดินเตาะแตะเข้ามาหา เรียกด๊าด๊าแล้วกอดอย่างรักใคร่ กลับทำหน้าเหม็นบูดสะบัดตูดใส่เขาแล้วกอดคุณพ่อผมทองไม่ยอมปล่อย พอเขาเข้าไปใกล้เธอก็เบะปากเตรียมร้องไห้ พลางหันหน้าหนีเขาไปอีกทาง งานนี้มีแต่งงกับงง ไม่ว่าจะหลอกล่อยังไง วิ่งวนซ้ายวนขวา ล้อมหน้าล้อมหลัง เจ้าหนูยูจีนก็เอาแต่สะบัดหน้าหนี ยกมือป้อมๆ เกาะขากางเกงคุณพ่ออีกคนแน่น แล้วยกขาทำท่าปีนป่ายเหมือนจะให้ลี เพซอุ้มเสียให้ได้ นี่เขาทำผิดอะไร ลูกสาวถึงเกลียดขี้หน้าเขาขนาดนี้

 

ส่วนอีกฝ่ายก็ดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ได้แต่ขำคิกคักแล้วอุ้มแม่หนูยูจีนขึ้นแนบอก โคลงตัวไปมากล่อมเด็กน้อยให้หยุดร้องไห้ พอเขาทำท่าจะขออุ้มบ้าง ลีกลับขมวดคิ้วทำหน้าดุใส่ เบี่ยงตัวหนีตามลูกสาวไปอีกคน สุดท้ายเขาก็ได้แต่เดินคอตกออกจากบ้านตรงไปทำงานที่ผับ แล้วก็ไปยืนหน้าเหี่ยวอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์รูปตัวแอล ให้ลูกน้องแซวเล่นว่าโดนแฟนเมิน แถมลูกสาวก็ไม่รักตั้งแต่บ่ายยันหัวค่ำ เฮอะ! ขอให้มันกลับขึ้นห้องไปแล้วโดนทั้งลูกหมาตัวเล็กตัวใหญ่เมิน!

 

เหตุการณ์ในร้านก็ดูเหมือนสงบดี จนกระทั่งช่วงสี่ทุ่มนิดๆ ไอ้ที่คิดว่าสงบก็ไม่สงบอีกต่อไป เมื่อไอ้อดีตน้องชายข้างบ้าน ปัจจุบันเป็นพี่เลี้ยงลูกเขายามจำเป็นอย่างมาร์ติน ฟรีแมนตรงมานั่งยังเคาน์เตอร์บาร์ พอหย่อนก้นลงเก้าอี้สตูลตัวสูงได้ปุ๊บก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร สั่งวิสกี้ออนเดอะร็อกมากระดกอั้กๆ เข้าปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสั่งต่ออีกแก้วแล้วมากระดกต่อ แล้วแหม…บาร์เทนเดอร์ร้านเขามันก็ว่านอนสอนง่าย เชื่อฟังดีจริงๆ ลูกค้าสั่งอะไรมันก็ทำตาม เสิร์ฟให้อย่างรวดเร็วไม่มีติดขัด มันน่าขึ้นเงินเดือนให้เสียเหลือเกิน

 

และมันก็จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกนะ ถ้าไอ้เปี๊ยกที่คริสเสิร์ฟเหล้าให้อยู่ตอนนี้ไม่ใช่ศาสตราจารย์มาร์ตินที่เป็นคนคออ่อนแบบสุดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาที่เจ้าของผับอย่างริชาร์ด อาร์มิเทจแก้ไม่ได้ ต่อให้เมามากแค่ไหน เขาก็แค่จับน้องชายตัวยุ่งนี่เข้าสะเอวแล้วโยนใส่แท็กซี่ส่งมันกลับไปแฟลตก็เท่านั้น แต่ที่มันเป็นเรื่องน่ะก็คือ ตอนที่เจ้านั่นเริ่มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กำลังจะกระดกวิสกี้เป็นรอบที่ห้า จู่ๆ ก็มีผู้ชายที่ไหนไม่รู้มาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของมาร์ตินเพื่อหยุดไม่ให้หมอนั่นดื่มต่อ แน่นอนว่าเขาที่ดำรงตำแหน่งเจ้าของบาร์และอดีตพี่ชายข้างบ้านกำลังจะทำหน้าที่เข้าไปเจรจาห้ามทัพเพราะคิดว่าคนของเขากำลังจะโดนหาเรื่องกลับต้องชะงักทันที เมื่อเจ้าตัวยุ่งนั่นหันขวับไปมองหนุ่มร่างสูงตาขวาง ก่อนจะสะบัดข้อมือจนหลุดออกจากมืออีกฝ่าย แล้วเอาแก้วเหล้าที่อยู่ในมือนั่นแหละ สาดน้ำเมาใส่หน้าชายแปลกหน้าทันที

 

ตบท้ายด้วยการถลึงตาโกรธๆ ชูนิ้วกลางใส่ ก่อนหันมาบอกกับคริสที่ยืนอ้าปากหวออึ้งไปแล้วว่า ขอวิสกี้ออนเดอะร็อกอีกแก้ว

 

ให้ตายเหอะ! ตอนแรกว่าจะเข้าข้างเจ้าศาสตราจารย์ขี้เมานี่ซะหน่อย คงต้องเปลี่ยนใจไปหนุนหลังฝ่ายตรงข้ามซะล่ะมั้ง คนบ้าอะไร เมาแล้วดุอย่างกับหมา

 

“เฮ่ๆ”

 

เขาส่งเสียงร้องออกมาทันทีที่เห็นเจ้าบ้าคริสยื่นวิสกี้ออนเดอะร็อกตามคำสั่งของมาร์ติน ก่อนจะเอาฝ่ามือยันลงกับเคาน์เตอร์บาร์แล้วกระโดดข้ามออกมาขวางระหว่างมาร์ตินกับชายแปลกหน้าเอาไว้ ไม่รู้เพราะติดนิสัยบาร์เทนเดอร์หรือเปล่า เขาจึงลอบสังเกตฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วแล้วเก็บรายละเอียด

 

อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อโค้ตตัวยาวสีเข้ม ยกปีกปกขึ้นปิดถึงโหนกแก้ม ตัวไม่ผอมบางแต่ก็ไม่หนาบึ้ก ดูไม่เหมือนคนชอบอ่านหนังสือ แต่ก็ดูไม่คล้ายคนชอบเล่นกีฬา ผมสีน้ำตาลเข้มหยักๆ หน้าตาจัดได้ว่า…แปลก แต่ที่โดดเด่นจริงๆ คือดวงตาคู่นั้น มันมีสีสวยอย่างประหลาด สวยคนละแบบกับตาสีฟ้าสุกใสของคริส ไพน์ สวยคนละแบบกับตาสีเทาอบอุ่นของลี เพซ มันเป็นสีฟ้าเหลือบทอง พอต้องแสงก็เปลี่ยนสีไปมาเหมือนมีสีเขียวผสมสีเทาด้วย ทำให้มองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ รู้เพียงแต่ว่า…มันดูดุ เอ้อ! ดุจริงโว้ย ทำไมต้องมองเขาตาเขียวปั้ดขนาดนั้นเล่า ไม่ต้องเข้าใจผิด ไอ้เตี้ยนี่ไม่ใช่แฟนหนุ่มของเขาหรอกนะ

 

“หลบ”

 

น้ำเสียงทุ้มต่ำที่เปล่งออกมา ริชาร์ดบอกได้คำเดียวว่า เย็นชาแถมน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้

 

“คุณครับ มีปัญหาอะไรกับหมอนี่งั้นเหรอ ผมเป็นเจ้าของที่นี่ เดี๋ยวผมช่วยจัดการให้”

 

“ไม่ต้องไปพูดกับหมอนั่นเลยริช! ส่วนนายน่ะ กลับไปได้แล้ว ชิ้วๆ!

 

คนที่เมาแอ๋อยู่ด้านหลังริชาร์ดพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเมาอ้อแอ้แบบสุดๆ พูดจบก็โบกไม้โบกมือราวกับไล่แมลงน่ารำคาญยังไงยังงั้น ก่อนจะส่ายหน้าอย่างไม่สนใจอีกต่างหาก แน่ละว่า คน (ที่ยืนตรง) กลางอย่างเขาได้แต่งง สรุปว่าสองคนนี้รู้จักกัน…ใช่มั้ย?

 

“มาร์ติน คุณเมามากแล้ว มีอะไรไปคุยกันที่ห้อง”

 

อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ พูดพลางทำท่าจะเดินผ่านหน้าเจ้าของผับอย่างริชาร์ดเข้าไปประชิดตัวคนเมา แน่นอนว่าพี่ชายที่แสนดีอย่างเขาเลยต้องเอาตัวออกไปห้ามไม่ให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทอะไรกันได้ ทันทีที่เขาก้าวเท้าออกไปขวาง ยังไม่ทันตั้งตัวอะไร ชายแปลกหน้าก็ยื่นมือใหญ่ๆ ออกมาแล้วกันเขาออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็วจนเซไปเล็กน้อย

 

“ผมไม่ชอบใช้กำลัง ผมชอบใช้สมองมากกว่า อีกอย่างผมไม่ได้มีธุระอะไรกับคุณ ธุระของผมคือคนคนนี้ ส่วนธุระของคุณก็อยู่หลังเคาน์เตอร์นั่น ไม่ใช่ออกมายืนหน้าเคาน์เตอร์แล้วคุยกับลูกค้าแบบนี้ ถ้าฉลาดพอก็คงเข้าใจที่ผมพูด แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ แต่ช่างเถอะ ถ้าอย่างนั้นขอตัวพามาร์ตินกลับก่อนแล้วกัน”

 

พูดรัวออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับดวงตาที่ฉายแววความไม่ใส่ใจราวกับไม่เห็นใครๆ อยู่ในสายตานอกจากศาสตราจารย์ร่างเล็กเท่านั้น ถ้าคำพูดของชายแปลกหน้าคนนี้เป็นดั่งการปล่อยหมัด ทั้งริชาร์ดและคริสคงโดนต่อยจนมึนงงไปแล้ว ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่ไม่มีคำหยาบคายใดๆ หลุดออกมาสักคำ แต่ทำไมมันเหมือนโดนด่ายังไงก็ไม่อาจทราบได้

 

และในขณะที่กำลังอึ้งกันอยู่นั้น ชายแปลกหน้าก็ก้าวไปคว้าแขนมาร์ติน ฟรีแมนที่นั่งกระดกเหล้าอยู่อย่างไม่สนใจสถานการณ์รอบข้างแม้แต่น้อย แล้วกึ่งลากกึ่งพยุงศาสตราจารย์ตัวเล็กออกไปจากร้านโดยที่คนเมามีอาการขัดขืนอยู่เป็นระยะๆ แถมมือไม้ยังปัดป่ายฟาดโดนหัวคนตัวสูงกว่าที่พยุงอยู่ด้านข้างไปหลายต่อหลายครั้ง แต่ฝ่ายนั้นก็ดูไม่มีท่าทีหงุดหงิดอะไร ไม่นานสองร่างก็หายลับไปจากผับของริชาร์ด ทิ้งให้เจ้าของผับกับลูกน้องคนสนิทมองตามหลังกันไปอย่างงงๆ ว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น แล้วนี่มาร์ตินจะโดนหิ้วไปทำมิดีมิร้ายหรือเปล่า

 

หลังจากนั้นจนถึงตอนนี้ เขาก็กระวนกระวายทั้งคืนจนไม่เป็นอันทำงาน เสิร์ฟเหล้าผิดๆ ถูกๆ  ตลอด แน่นอนว่าเล่นเอาบาร์เทนเดอร์ตาสวยหงุดหงิดขั้นสุด หมอนั่นถึงกับไล่เขาไปนั่งไร้ประโยชน์อยู่หลังร้านดีกว่ามาเพิ่มงานให้ต้องทำมากขึ้น ซึ่งเขาเองก็เห็นด้วยกับลูกน้อง เพราะเวลาคริสโกรธมันไม่น่าดูเหมือนตอนอารมณ์ดีกวนประสาทใครต่อใครเลยสักนิด

 

พอเข้ามาหลังร้านได้ เขาก็กดโทรศัพท์หามาร์ตินเป็นสิบๆ รอบ แต่ก็ไม่มีคนรับ ตอนนี้เขาสวมวิญญาณคุณพ่อที่มีลูกสาวริอ่านออกไปเที่ยวกับแฟนหนุ่มแล้วพอโทรหาก็ไม่ยอมรับโทรศัพท์ หงุดหงิดกระวนกระวายใจแบบแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลยนั่งสงบจิตสงบใจอยู่ครู่หนึ่ง ล้างหน้าล้างตาให้หายบ้าเสร็จแล้วก็ตบหน้าตัวเองสองสามทีเสียงดังเพื่อเรียกสติ ก่อนจะเดินออกไปยังส่วนหลังเคาน์เตอร์ดังเดิม ก็เหมือนที่หมอนั่นพูด ธุระของเขามันอยู่หลังเคาน์เตอร์รูปตัวแอลตัวนี้แหละ

 

คริส ไพน์พอเห็นคนเป็นเจ้านายกลับออกมาทำงานก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ พอถามว่าคุณมาร์ตินเป็นยังไงบ้าง เจ้าของผับก็ทำท่ายักไหล่เป็นคำตอบก่อนจะระบายยิ้มการค้าเดินไปชงเหล้าให้กับลูกค้าสาวขาประจำคนหนึ่ง

 

ครั้งนี้เขาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดี ไม่มีขาดตกบกพร่องอะไร ที่ดูจะเหนื่อยหน่อยก็แค่กล้ามเนื้อใบหน้าที่มันต้องฝืนยิ้มและร่าเริงตลอดเวลาทั้งที่ในใจไม่ใช่แบบนั้น จนกระทั่งได้เวลาใกล้ปิดร้าน คริสเปลี่ยนตำแหน่งตัวเองจากบาร์เทนเดอร์ไปเป็นพนักงานทำความสะอาดทันที หมอนั่นกำลังเช็ดโต๊ะอยู่ ส่วนเขาก็ยังคงกดโทรศัพท์ไม่เลิก

 

ในที่สุดพระเจ้าก็เข้าข้าง โทรศัพท์มาร์ตินมีคนรับสายแล้ว!

 

“ฮัลโหล มาร์ติน!”

 

“…”

 

เงียบ…ไม่มีใครตอบอะไรกลับมา

 

“เฮ้! มาร์ติน ฮัลโหล ได้ยินมั้ย?”

 

“……มาร์ตินเพิ่งหลับไปได้สักครู่ แล้วก็ไม่ต้องโทรมาแล้วนะครับ มันรบกวน เขาเหนื่อย พรุ่งนี้มีสอนแต่เช้าด้วย”

 

นั่น! วางหูใส่แบบไปไม่ลามาไม่ไหว้เสียด้วย ทั้งๆ ที่ได้ยินคำตอบแบบนี้แต่ทำไมมันไม่สบายใจเลยสักนิด ตกลงไอ้หมอนั่นมันเป็นใครกันแน่ ดึกป่านนี้ยังอยู่ห้องมาร์ติน ยังรับโทรศัพท์ของเจ้าเปี๊ยกนั่นอยู่ อืม…ยิ่งคิดก็ยิ่งมีแต่เรื่องเลวร้าย

 

“ใช่เด็กคนที่คุณมาร์ตินเคยหิ้ว ไม่สิ เคยถูกหิ้วไปเมื่อปีที่แล้วรึเปล่าครับ?”

 

หือ…ได้ยินแบบนั้นเขาก็หันขวับไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็วพร้อมคิ้วกระตุกถี่ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่พ่อหนุ่มตาฟ้าจัดการร้านของเขาเสร็จทุกอย่างพอดี พอเขากำลังจะอ้าปากถามว่าเอ็งรู้ได้ยังไง เสียงเคาะกระจกก๊อกๆ ก็ดังขึ้น เมื่อหันไปมองทางหน้าร้านก็เห็นผู้ชายผมดำร่างสูงใหญ่ยืนโบกไม้โบกมือส่งมาให้ กำลังจะโบกตอบด้วยสัญชาตญาณก็พลันนึกได้ว่า ไอ้ลูกหมาหน้าดุนั่นไม่ได้โบกให้เรานี่หว่า

 

“คุณริช ผมกลับแล้วนะครับ ก่อนออกจากร้านผมฝากเอาถุงขยะไปทิ้งให้ด้วย แล้วก็ล็อกร้านดีๆ อย่าลืมไปดึงมู่ลี่ตรงหน้าต่างหน้าร้านลงด้วยนะครับ”

 

โอ้โห สั่งอย่างกับเป็นเจ้าของร้าน ไม่รู้จะดีใจที่ลูกน้องละเอียดรอบคอบ หรือจะโมโหที่มันสั่งเอาๆ อย่างกับเขาเป็นลูกน้องมันอย่างนั้นแหละ

 

“เออๆ ไม่ลืมๆ เอามู่ลี่ไปทิ้งแล้วก็เอาถุงขยะไปไว้ตรงหน้าต่างหน้าร้านนะ”

 

“…”

 

เงียบ…ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา นอกจากสายตาเหนื่อยหนาระอาใจของคริส ไพน์ หมอนั่นส่ายหัวเบาๆ กับมุกแป้กๆ ของบอสตัวเองแล้วเดินออกทางประตูหลังร้านไป ก่อนปิดประตูไม่วายตะโกนกลับมาเสียงดัง

 

“ก็เพราะเป็นแบบนี้ หนูยูจีนถึงไม่รักไงครับ!”

 

หน็อย! ปากหรือนั่น กัดเจ็บเหมือนลูกหมาที่มันเลี้ยงไม่มีผิด

 

สุดท้ายก็เหลือเพียงเสียงเพลงยุค 70 ที่ยังอยู่เป็นเพื่อนเขา ริชาร์ดยังนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมพลางครุ่นคิดถึงคำพูดของเจ้าลูกน้องตัวแสบเมื่อกี้ มาร์ตินกับเด็กคนนั้น…ยังจะบังเอิญมาเจอกันอีกเรอะ! นี่มันผ่านมาเกือบสองปีแล้วนะเฮ้ย จะพรหมลิขิต ปาฏิหาริย์รักเกินไปรึเปล่า

 

“เฮอะ! เพ้อเจ้อ!”

 

ใครเชื่อก็บ้าแล้ว…

 

 

 

 

 

แต่สุดท้ายเวลาก็ผ่านมาจนเกือบฟ้าสาง เขาถึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนั่งเหม่ออยู่แบบนี้นานแล้วก็ตอนที่สายจากคนรักโทรเข้ามา อีกฝ่ายแปลกใจปนตกใจปนเป็นห่วงที่ป่านนี้เขายังไม่กลับบ้าน จนเขาต้องขอโทษขอโพยยกใหญ่ ดีว่าลี เพซเป็นคนมีเหตุผล แค่เขาบอกออกไปว่าอยู่คิดสูตรค็อกเทลตัวใหม่เพลินไปหน่อย อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรกลับมา แค่กำชับให้เขารีบกลับมานอนพักผ่อนได้แล้ว

 

ตั้งแต่ออกจากร้านจนกระทั่งเดินกลับบ้าน ริชาร์ดไม่สามารถหยุดความคิดเพ้อเจ้อที่วนเวียนอยู่ในหัวได้เลย เขาก็ไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องคิดมากเรื่องคนอื่นขนาดนี้ มาร์ตินไม่ใช่เด็กอายุขวบสองขวบแบบลูกสาวเขาที่ไม่ประสีประสาอะไร หมอนั่นโตแล้ว ดูแลตัวเองได้แล้ว แต่เขากลับเป็นห่วงอยู่ลึกๆ และสังหรณ์ใจไม่ดีแบบแปลกๆ เผลอครุ่นคิดจนเกือบเดินลงถนนตอนไฟเขียวไปให้รถเฉี่ยวเล่นด้วยซ้ำ กว่าจะตั้งสติได้ก็กลายเป็นว่าขาของเขามาหยุดอยู่หน้าแฟลตของมาร์ตินเสียอย่างนั้น

 

ในขณะที่กำลังอึกๆ อักๆ ว่าจะเข้าไปในตัวอาคารเพื่อไปดูมาร์ตินดีหรือไม่ ตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงโวยวายของอีกฝ่ายดังมาจากด้านใน ด้วยสัญชาตญาณอะไรก็ไม่รู้ เขารีบพาร่างใหญ่ๆ ของตัวเองไปหลบอยู่หลังต้นไม้แถวนั้นทันที พลางเหลือบตามองไปยังต้นเสียง แล้วก็ต้องทำตาโต เมื่อตรงนั้นปรากฏภาพของใครบางคนที่คุ้นตา เจ้าเตี้ยมาร์ตินในชุดเสื้อคลุมนอนสีน้ำเงินเข้มลายตรงสีอ่อนเดินนำออกมา ตามมาด้วยชายแปลกหน้าในเสื้อโค้ตตัวยาวคนเมื่อคืนนี้ ทั้งสองคนหยุดยืนคุยอะไรสักอย่างที่ริมถนน เจ้าบ้านั่นทำหน้ายุ่งเหมือนหงุดหงิดอะไรอยู่ แถมหน้าตาก็ดูยังไม่สร่างเมาดีด้วยซ้ำ ส่วนอีกฝ่ายก็ยกมือขึ้นขยี้ผมมาร์ตินเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าลงไปหอมแก้มเจ้าเตี้ยนั่นอย่างรวดเร็วแบบไม่มีมองซ้ายมองขวา ไม่อายสายตาประชาชีด้วย เป็นมาร์ตินเสียอีกที่นอกจากหน้าแดงแป๊ดแล้วก็หันรีหันขวางมองดูว่ามีคนอื่นอยู่รอบๆ หรือไม่ แล้วภาพหลังจากนั้น สองคนนั้นทำอะไรกันต่อ สมองของริชาร์ด อาร์มิเทจก็หยุดทำงานไปเสียแล้ว ขนาดพาตัวเองกลับมาถึงบ้านได้ยังไง เขายังไม่รู้เลย…

 

เหนื่อย…เขาบอกแล้วว่าเขาเหนื่อย

 

 

 

 

 

เสียงประตูห้องนอนถูกเปิดออกเบาๆ แสงไฟจากทางเดินระเบียงด้านนอกส่องผ่านช่องแคบของประตูเข้ามาในห้องเป็นเส้นตรงไปยังเตียงนอนเขาพอให้มองเห็นอะไรๆ ในห้องได้ชัดเจนขึ้น เขามองเข้าไปก็พบว่าลูกสาวตัวน้อยนอนหลับปุ๋ยอยู่บนเตียงใหญ่ ริชาร์ดก้าวเข้าไปในห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบา เมื่อประชิดถึงเตียงก็เห็นเด็กหญิงยูจีนเต็มตา ใบหน้ากลม แก้มยุ้ย เปลือกตาปิดสนิทหลับตาพริ้มอย่างเปี่ยมสุข มีแต่คิ้วจางๆ นั่นแหละที่ชอบขมวดเข้าหากันเวลานอนหลับ เขาไม่รู้ว่าลูกบ้านอื่นเป็นอย่างนี้หรือเปล่า แต่ลูกสาวเขาตอนนอนนี่คิ้วแทบจะผูกกันเป็นโบแล้ว

 

พอได้เห็นหน้านางฟ้าตัวน้อยๆ ประจำบ้านแล้วก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงไปจุ๊บหน้าผากเจ้าตัวเล็ก ตอนที่ริมฝีปากของเขาสัมผัสกับผิวเนียนนุ่มของลูกสาว เจ้าตัวก็ทำหน้ายุ่งขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิมพลางหันหน้าหนีริมฝีปากคนเป็นพ่ออย่างหงุดหงิด นี่ขนาดหลับลูกสาวก็ยังรังเกียจเขาเลยเหรอเนี่ย แดดดี๊น้อยใจจัง

 

“ทำอะไรน่ะริช”

 

เสียงคุ้นเคยเอ่ยถามจากด้านหลังเบาๆ พอร่างใหญ่กำลังจะหันหน้าไปตอบเท่านั้นล่ะ อ้อมกอดอ่อนโยนจากคนรักก็โอบเขาไว้แล้ว แผ่นหลังใหญ่แนบชิดกับแผ่นอกอุ่น วงแขนที่สอดมาจากด้านหลังวางประสานมือกันไว้ตรงแถวสะดือของชายหนุ่มผมดำ คางเล็กๆ ของลี เพซวางเกยไว้บนบ่ากว้าง ริชาร์ดเอียงหน้ามาด้านซ้ายเพื่อรับสัมผัสจากคนรักทันที ซึ่งแน่นอนว่าชายหนุ่มผมทองก็ไม่ขัดขืน สัมผัสเย็นเฉียบจากริมฝีปากร่างใหญ่แตะต้องลงมายังคนที่วันนี้อยู่แต่ในบ้าน ลียิ้มเล็กน้อยก่อนจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามอารมณ์

 

ริชาร์ดหันกายมาเผชิญหน้า สองมือใหญ่โอบกอดดึงรั้งอีกฝ่ายให้แนบชิดยิ่งกว่าเดิม พวกเขาไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่ามอบอ้อมกอดและจุมพิตให้กันและกันเท่านั้น ในตอนที่เสียงแห่งความคิดถึงดังก้องทั่วห้องหลังใหญ่ที่เงียบสงบนั่นเอง เสียงแหลมเล็กก็แผดจ้าขึ้นมาดังลั่น พร้อมกับสัมผัสของอะไรบางอย่างที่กระทบอยู่ตรงแผ่นหลังของคุณพ่อผมดำ

 

พอหันไปดูก็พบว่า เป็นลูกสาวตัวน้อยที่ตื่นมาตอนไหนก็ไม่รู้และเห็นอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ กำลังใช้กำปั้นกลมๆ เล็กๆ ทุบหลังกว้างของริชาร์ดอย่างเอาเป็นเอาตาย พลางส่งเสียงร้องแบบที่ฟังไม่ออกว่าเป็นคำอะไร แต่รู้ว่าแม่หนูกำลังไม่พอใจอยู่แน่ๆ

 

คุณพ่อสองคนกระเด้งตัวออกจากกันทันที และตอนนั้นเองยูจีนก็หันไปทางลี เพซเพื่อให้ป่าปี๊ของเธออุ้ม ส่วนริชาร์ดก็อึ้งๆ งงๆ ทำตาโตใส่ลูกสาวด้วยความน้อยอกน้อยใจทันที

 

“โธ่ ยูจีน ทำไมทำกับแดดดี๊อย่างนี้ล่ะคะ?”

 

เธอไม่ตอบอะไรนอกจากยื่นมือออกไปด้านหน้า โน้มตัวไปตีแดดดี๊ของเธอ พอเห็นแบบนั้นแล้วลี เพซก็พอจะเดาอะไรๆ ออก เขาขำเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากออกไป

 

“ริช ลูกคิดว่านายกำลังรังแกฉันแน่ๆ เลย”

 

“หา!”

 

เรือนผมทองกระชับอ้อมกอดลูกสาวแน่น ใบหน้ากลมของเด็กน้อยแนบอยู่กับแผ่นอกเขา ปากอิ่มบุ้ยบ้ายคล้ายคนไม่พอใจ คิ้วจางๆ ยังคงขมวดมุ่นไม่แพ้ตอนหลับ เห็นแบบนั้นมันก็ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูพร้อมกับน่าน้อยใจไปพร้อมๆ กัน

 

โธ่ ยูจีน แดดดี๊ไม่ได้รังแกอะไรป่าปี๊ของหนูซะหน่อย เห็นทีแบบนี้จะต้องทำห้องให้แม่หนูนี่ไปนอนคนเดียวแล้วล่ะมั้ง เฮ้อ…

 

 

 

 

 

เก้าโมงกว่าแล้ว แต่ริชาร์ดเพิ่งจะได้ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟารับแขกตัวยาวที่ตั้งอยู่ชั้นล่าง หลังจากที่เรื่องวุ่นๆ ของลูกสาวจบลง ลี เพซก็เข้าครัวทำอาหารเช้าให้เขากับยูจีนทันที แน่นอนว่า ตอนนั้นลูกสาวก็จำใจอยู่กับเขาแบบห่างๆ เธอนั่งเล่นของเล่นอะไรไป ส่วนเขาก็นั่งสัปหงกอยู่ตรงโซฟานั่นแหละ พอมื้อเช้าถูกจัดการเรียบร้อย เขาถึงได้มานอนผึ่งพุงอยู่ตรงนี้ มันเหนื่อยจนแม้แต่ขายังไร้แรงจะก้าวขึ้นไปนอนบนห้องตัวเองที่ตั้งอยู่บนชั้นสอง อีกอย่าง เขาได้รับคำสั่งจากคนรักให้ดูแลลูกสาวด้วย ทว่า…สมองก็เบลอเกินกว่าจะฝืนลืมตาอยู่ได้

 

เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังขึ้นผสานเสียงกรนดังเป็นระยะ เรียกความอยากรู้อยากเห็นของหนูน้อยยูจีนได้เป็นอย่างดี ก่อนหน้านี้พอทานอาหารเช้าเสร็จ เธอนั่งเล่นตุ๊กตาอยู่หน้าทีวีจอใหญ่ พอได้ยินเสียงกรนคร่อกๆ อย่างกับเรือกำลังจะออกจากท่าเท่านั้นแหละ ตุ๊กตาตัวนั้นก็หมดความหมายทันที เธอหันไปทางต้นเสียงพร้อมกับเห็นคุณพ่อผมดำนอนหลับอยู่ตรงโซฟา เท้าเล็กๆ ที่เพิ่งหัดเดินหัดยืนยกก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างเก้ๆ กังๆ ถึงแม้จะเดินหน้าถอยหลังอยู่นานกว่าจะถึงที่หมาย แต่สุดท้ายแม้ใช้เวลานานหน่อย แต่เธอก็มาถึง

 

คุณพ่อเธอนอนหลับปุ๋ยด้วยความเหนื่อยล้าอยู่บนโซฟา ยูจีนยืนมองภาพนั้นด้วยความสนอกสนใจ สายตาของเธอจ้องไปยังท้องของริชาร์ดที่นูนขึ้นแล้วก็ยุบลงเป็นจังหวะ เธอเขย่งปลายเท้าสูงเมื่อท้องของคุณพ่อเป่งขึ้น และเธอหดตัวห่อไหล่เมื่อท้องของคุณพ่อยุบลง

 

คร่อก~ ฟี้~ คร่อก~ ฟี้~

 

สูงขึ้น หดลง สูงขึ้น หดลง

 

ทำแบบนี้อยู่หลายครั้งแล้วก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาคนเดียวอย่างสนุกสนาน

 

เสียงหัวเราะที่ดังนั้นทำเอาลี เพซที่ยืนล้างจานอยู่ในห้องครัวถึงกับต้องเดินออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อกี้เขาบอกให้ริชาร์ดช่วยดูแลลูกสาวให้หน่อย ถึงแม้ยูจีนจะไม่ชอบใจก็ตาม แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าสองพ่อลูกจะญาติดีต่อกันเร็วขนาดหัวเราะเสียงดังแบบนี้หรอกนะ แต่แล้วภาพที่เห็นก็ทำเอาชายหนุ่มผมทองถึงกับระบายยิ้มน้อยๆ ออกมา เมื่อลูกสาวของเขาทำตัวเล็กตัวโตตามท้องของคุณพ่อที่มันยุบๆ ป่องๆ พอเธอเห็นเขาก็รีบหันมาหัวเราะปากกว้างชอบใจยกใหญ่ เห็นแล้วก็นึกอิจฉาความไร้เดียงสาของเด็กตัวน้อยๆ ที่เพียงแค่ลมหายใจเข้าออกก็มีความสุขแล้ว

 

ตอนแรกตั้งใจว่าจะโกรธคนรักเสียหน่อยที่หลับปุ๋ย ไม่ยอมดูแลลูกสาวแบบนี้ แต่พอเห็นว่าคนเป็นพ่อก็ทำหน้าที่ได้ดี แม้กระทั่งตอนนอนหลับก็ยังทำให้ยูจีนมีความสุขได้ เห็นแบบนี้เขาก็โอเคแล้วล่ะนะ

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

แถมๆ

 

“ลี ฉันจะไปร้านแล้วนะ”

 

เสียงทุ้มตะโกนออกมาดังลั่น เพราะเขารู้ว่าคนรักกำลังเตรียมอาหารว่างช่วงบ่ายให้กับลูกสาวอยู่ ร่างใหญ่สวมรองเท้าเสร็จแล้วและเตรียมตัวออกจากบ้าน เขายืนชะเง้อมองข้ามโซนห้องรับแขกเลยไปยังห้องครัวด้านหลังเพื่อมองหาคนรัก ทว่าก็ไร้วี่แววหรือเสียงตอบรับใดๆ ยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็มีบางสิ่งบางอย่างเคลื่อนไหว ไม่ใช่คนรักเขา แต่เป็นลูกสาวตัวน้อยที่วิ่งเตาะแตะๆ กางแขนเพื่อทรงตัวออกมาจากห้องครัว เห็นแล้วก็ได้แต่ตกอกตกใจกลัวแม่หนูจะหกล้ม เลยคิดจะถลาเข้าไปรับ แต่ยังไม่ทันไร ลูกสาวก็สับเท้าเร็วจี๋วิ่งตรงมากอดขาของเขาดังหมับเข้าซะก่อน

 

“ด๊าด๊า”

 

“หือ ยูจีนว่าไงนะคะ”

 

“ด๊าด๊า ยุ่ม!”

 

ได้ยินแบบนั้นแล้วคุณพ่อผมดำก็น้ำตารื้นออกมาด้วยความดีใจทันที ไอ้ที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดชีวิต เขารับประกันได้เลยว่า ต่อให้วันนี้หรือวันไหนๆ ไม่ว่าจะเหนื่อยจากอะไร ไม่ว่าจะโดนโลกภายนอกทำร้ายสักเท่าไหร่ ขอแค่ได้กลับบ้านมาแล้วเจอลูกสาวที่น่ารักแบบนี้ เจอคนรักที่น่ารักแบบนี้ เขาก็มีกำลังใจเตรียมพร้อมรับมือกับทุกปัญหาแล้ว

 

ป.ล. อย่างว่าล่ะนะคุณพ่อ เด็กๆ เค้าลืมง่าย!

 

 

 

 

 

The End (จริงๆ ละ)

 

 

 

 

 

Talk again : จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้จั่วหัวผิดนะ ถึงแม้ RichLee จะออกมาน้อยนิด แบบว่าโดนลุงกับใครก็ไม่รู้ (สาบานว่าไม่รู้จริงจริ๊งงง) แย่งซีนไปหมด แต่เรื่องหลักมันก็อยู่ที่ RichLee ล่ะเนาะ (แถๆ) จริงๆ ช่วงนี้เหนื่อยมากเลยค่ะ ก็เลยกลายเป็นฟิกเหนื่อยๆ แบบนี้ พล็อตฟิกตอนแรกที่ออกมาคือ คุณริชนอนอยู่บนโซฟาเพราะความเหนื่อย แล้วหนูยูจีนก็เดินเตาะแตะๆ มาหา แล้วมาซุกตัวหลับอยู่ข้างๆ กันเท่านั้นเอง แต่สุดท้ายฉากนี้ก็ไม่มี แถมออกทะเลไปไหนก็ไม่รู้ ฮ่าๆๆ

 

จักรวาลบูเบลช่างกว้างใหญ่ ในที่สุดก็ลากลูกหมาตัวยักษ์ของพี่คริส (ไพน์) โผล่มาหน่อยนึงจนได้ >< ใจจริง อยากแต่งอีกหลายคู่เลยค่ะ อาคริสกับอาเซบ หรือจะเป็นเด็กชายทอมกับอาไรอันก็อยากแต่งค่ะ แต่หาที่ลงไม่ได้ แถมไม่มีพล็อตด้วย ก็เก็บเข้าไหดองไว้ก่อนแล้วกันเนาะ แหะๆ

 

อ่านแล้วคิดเห็นยังไง กระซิบบอกกันได้ตรงคอมเมนต์นะคะ หรือไม่ก็ที่ทวต.เลยค่ะ @babibubell ขอบคุณค่ะ :)

[JohnLock Fanfiction] BBC Sherlock the series – Take a break

Title: BBC Sherlock Little boy the series – Take a break aka. Freelance ห้ามป่วย..ห้ามพัก..ห้ามรักหมอ

Pairing: Sherlock Holmes x John Watson or Benedict Cumberbatch x Martin Freeman

Author: Babibubell

Talk: เอาจริงๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งเสร็จแล้วแต่ไม่ค่อยอยากลงเท่าไหร่ เพราะรู้สึกว่าตัวเองแต่งได้แย่มาก T^T ประมาณว่า ให้ตายยังไงก็ไม่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของเชอร์ล็อกได้เลย (ฮื้อ) มันก็เลยออกมาแปร่งๆ หลุดคาแรกเตอร์หน่อยๆ ก็ฝากไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะก๊ะ T v T ชอบไม่ชอบยังไงก็อย่าลืมไปอุดหนุนหนังไทยเรื่อง Freelance ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราด้วยนะคะ (เกี่ยวไร้วว ฮ่า) คิดดูว่าแต่งเสร็จนานขนาดไหน แต่งเสร็จก่อนหนังจะเข้าโรงซะอีก ฮื้อ…

 

 

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

 

 

“สามสิบแปดองศา เป็นไข้อย่างสมบูรณ์แบบ”

 

หลังจากพูดประโยคนี้จบ มิสซิสฮัดสันก็บ่นอะไรไม่รู้ยืดยาวมาอีกร้อยแปดพันประโยค พร้อมกับสะบัดปรอทที่ใช้วัดไข้ไปมา แล้วเดินหายไปยังโซนห้องครัวในห้องพักของชายหนุ่ม ปล่อยให้เจ้าของห้องนอนพ่นลมหายใจร้อนๆ อยู่บนโซฟาตัวยาวสีน้ำตาลตุ่นอย่างหมดสภาพ ใบหน้าคมคายที่ปกติดูหยิ่งยโสอยู่เสมอ บัดนี้กลับแดงก่ำด้วยพิษไข้ ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองดูอิดโรยเหมือนจะเปิดเปลือกตาไม่ขึ้นยังไงยังงั้น แขนขาไม่มีเรี่ยวแรงจะกระดิกกระเดี้ยไปไหน ตอนนี้ต่อให้มิสซิสฮัดสันบีบจมูกเขาแล้วบังคับให้กินยาพิษเข้าไป เขาก็คงไม่มีแรงขัดขืนใดๆ

 

“ฉันว่าไปหาหมอดีกว่านะ”

 

เธอเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกับถุงน้ำแข็งแล้วแปะลงบนหน้าผากเขา มิสเตอร์โฮล์มส์ที่นอนนิ่งไม่ไหวติงมานานขมวดคิ้วน้อยๆ ทันทีที่ความเย็นแผ่ซ่านบนใบหน้าที่ร้อนผ่าว อยากจะยกมือมาหยิบถุงน้ำแข็งออกแต่ก็ไม่มีแรง ถึงอย่างนั้นปากกลับยังปฏิบัติการได้ดีอยู่

 

“ถ้าผมมีแรงเดินไปหาหมอล่ะก็…ผมจะมานอนแบ็บอยู่แบบนี้มั้ย? คิดสิ คิด”

 

ผงกหัวขึ้นมาบ่นเหน็บอีกฝ่ายได้หน่อยหนึ่งก็ทิ้งศีรษะลงตึงกับที่วางแขนโซฟาอย่างเดิมเพราะตอนนี้เขารู้สึกว่าหัวมันหนักอึ้งราวกับมีอะไรมาถ่วงไว้ โอเค นั่นมันก็แค่การพูดจาเปรียบเปรยเพราะความจริงแล้วหัวเขาไม่ได้มีอะไรมาถ่วง แต่มันเป็นเพราะเขาไม่สบายต่างหาก

 

มิสซิสฮัดสันที่ได้ยินคำประชดแบบนั้นก็หันหลังขวับ โบกมือเหนือศีรษะไปมาเป็นนัยว่า ‘เรื่องของเธอจ้า’ แล้วก็เดินออกจากห้องพักชายหนุ่มลงบันไดไปยังห้องพักตนเองที่อยู่ชั้นล่างอย่างไม่สนใจไยดี

 

ความเงียบสงบกลับมาอีกครั้ง ไร้ซึ่งเสียงจู้จี้ของมิสซิสฮัดสัน เชอร์ล็อก โฮล์มส์กระตุกยิ้มเล็กๆ อย่างสมใจ เขาหลับตาลงฟังเสียงแห่งความเงียบงัน มันเงียบมากจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเองดังเป็นจังหวะเบาๆ เงียบจนได้ยินเสียงวิ้งๆ ที่ก้องอยู่ในหัว เงียบเกินไปจนรู้สึกเหมือนร่างกายเขากำลังค่อยๆ หายเข้าไปในความมืดที่รายล้อมรอบตัวยามเมื่อดวงตาปิดสนิท

 

อย่างที่บอกว่าร่างกายอ่อนแอ แต่น่าแปลกที่สมองกลับทำงานได้ดี ที่จริงจะพูดว่า ‘ได้ดี’ ก็คงไม่ถูกนัก เพราะเหมือนมันจะคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องเสียมากกว่า เพราะจู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนเองช่างโดดเดี่ยวเหลือเกิน คล้ายกับมนุษย์คนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ไร้เพื่อนฝูงที่คอยพูดคุยให้คำปรึกษา ไร้พี่น้องที่คอยดูแลยามเดือดร้อน ไร้…คนรักที่คอยเอาใจใส่ยามเจ็บป่วย ด้วยเพราะเขาไม่เคยสุงสิงหรือติดต่อกับเพื่อนคนใดเลย พี่ชายที่มีเขาก็ไม่อยากจะสนิทด้วยสักเท่าไหร่ เรื่องคนรักไม่ต้องพูดถึง แถมยิ่งมายึดอาชีพนักสืบที่ปรึกษาเป็นงานฟรีแลนซ์แบบนี้ จากที่ไม่มีใครคบอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้คนไม่อยากเข้าใกล้เพราะกลัวจะโดนเขาจับผิด ขุดคุ้ย และรู้ทันไปเสียหมดเข้าไปใหญ่ ในเมื่อไม่มีเป้าหมายอื่นใดอีก ชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาจึงมีแต่งาน ทำแต่งาน เพื่อให้ตัวเองไม่รู้สึกว่างจนเบื่อถึงขั้นต้องจินตนาการว่ากำลังต่อสู้กับฆาตกรต่อเนื่อง หรือต้องยิงปืนใส่กำแพงเล่นให้มิสซิสฮัดสันปวดหัวอีก

 

แต่ยามอ่อนแอเช่นนี้ บางทีก็อยากจะมีใครสักคนที่กุมมือเขาไว้ยามหลับ ให้มั่นใจว่าจะไม่ทิ้งเขาไว้ท่ามกลางความมืดมิด อยากได้รับความรู้สึกว่า พอลืมตาตื่นขึ้นมาจะเจอคนคนนั้นอยู่ข้างกาย ไม่จากไปไหน

 

ทำไมคนอย่างเชอร์ล็อก โฮล์มส์ถึงได้คิดอะไรเพี้ยนๆ อย่างนี้ได้นะ

 

เป็นเพราะพิษไข้แน่ๆ ไม่งั้นเขาไม่มีวันอยากมีความรู้สึกน่าขนลุกแบบนั้นหรอก

 

ใช่…เพราะพิษไข้นั่นแหละ…

 

 

 

 

 

เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้กลิ่นหอมๆ ของชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ ดวงตายังไม่ทันจะลืมขึ้น แต่จมูกกลับรับกลิ่นได้ไวกว่า หูก็ได้ยินเสียงเคร้งของถ้วยกระเบื้องกระทบจานรองได้รวดเร็วยิ่งนัก นี่มิสซิสฮัดสันแอบมานั่งดื่มชาในห้องเขาหรือ อย่างนี้ต้องบ่นเสียหน่อยแล้ว

 

เร็วเท่าความคิด เปลือกตาที่คิดว่าหนักอึ้งกลับลืมได้ไวมากอย่างน่าแปลกใจ พอเปลือกตาบางเปิดขึ้นเท่านั้นแหละ ภาพตรงหน้ากลับไม่ใช่วิวห้องที่คุ้นเคย มันถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาคนนั้นมีผมสีน้ำตาลอ่อนดูน่าสัมผัส ดวงตาสีฟ้าเทาดูเป็นมิตรกำลังจ้องมองมายังเขาตาปริบๆ ก่อนริมฝีปากสวยจะระบายยิ้มแล้วเปล่งคำพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

 

“ดีจัง คุณตื่นแล้ว…”

 

น้ำเสียงแผ่วเบาแต่ให้ความอบอุ่นอย่างประหลาดนั่นกลับทำให้เชอร์ล็อก โฮล์มส์งงเป็นไก่ตาแตก เจ้าผู้ชายหน้าตาน่ารัก แต่ถุงใต้ตาย้อยนิดๆ นี่เป็นใคร เขาพยายามจะใช้สมองวิเคราะห์ดูแล้ว แต่ดูเหมือนว่าดวงตากับรอยหยักในสมองจะไม่ค่อยสามัคคีกันสักเท่าไหร่ ใบหน้าของคนคนนี้มีผิวสีแทนคล้ำแดดนิดๆ แต่ตรงข้อมือกลับไม่เป็นแบบนั้น น้ำเสียงที่ใช้พูดให้ความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนได้ยินตอนเด็กๆ อยู่บ่อยๆ ผู้ชายคนนี้มานั่งอยู่ในห้องเขาพร้อมชาฝีมือมิสซิสฮัดสันได้แสดงว่าทั้งสองคนต้องรู้จักกันพอสมควร เครื่องแต่งกายธรรมดาๆ ไม่ได้บ่งบอกอาชีพอะไร แต่ดูแล้วไม่ใช่คนมีฐานะอะไรนัก ทั้งๆ ที่มีข้อมูลแต่สุดท้ายกลับอ่านคนคนนี้ไม่ออกอยู่ดีว่าเป็นใคร มาจากไหน เข้ามานั่งในห้องเขาได้ยังไง จนสุดท้ายอีกฝ่ายก็เป็นคนเอ่ยเฉลยขึ้นมาก่อน

 

“กำลังสงสัยเลยว่า ถ้าคุณยังจับมือหมอแน่นไม่ยอมปล่อยแบบนี้ อีกสักสองสามชั่วโมงหมอจะทำยังไง”

 

“หมอ?”

 

ไม่ใช่สิ! มือต่างหากล่ะ นี่เขาจับมือผู้ชายคนนี้อยู่งั้นเรอะ?

 

คิดได้ดังนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นมานั่ง แต่ดูเหมือนว่าร่างกายจะยังไม่แข็งแรงดี พอลุกเร็วๆ แบบนี้เลยมึนหัวจนล้มลงไปนอนกองอีกรอบ แต่คราวนี้สัมผัสที่ศีรษะกลับเปลี่ยนไป ไม่ใช่ที่เท้าแขนแข็งๆ ของโซฟาแต่เป็นหมอนสีขาวใบนุ่มที่มีกลิ่นแชมพูอ่อนๆ ของเขาเองติดอยู่

 

นี่มัน…หมอนใบโปรดเขานี่?

 

“โทษทีนะที่ถือวิสาสะเข้าไปในห้องนอนแล้วหยิบหมอนมารองหัวให้ แค่คิดว่า…ถ้าเป็นหมอเองก็คงไม่อยากจะนอนหนุนที่เท้าแขนแข็งๆ แบบนี้สักเท่าไหร่”

 

พูดพลางส่งยิ้มอ่อนละมุน ก่อนจะเบนสายตาลงต่ำ

 

“เอ่อ ถ้าไม่รบกวนเกินไป ช่วยปล่อยมือหมอก่อนได้มั้ย?”

 

พอได้ยินแบบนั้นเชอร์ล็อก โฮล์มส์ก็ยกมือตัวเองขึ้นมาทันที ข้างหนึ่งน่ะมันว่างเปล่า แต่อีกข้างนี่สิเต็มๆ เขากุมมือคุณหมอไว้ซะแน่นเลย

 

“เฮ้ย!”

 

ว่าแล้วก็ผละออกอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่อุณหภูมิอันอบอุ่นนั้นจางหายไป หัวใจมันก็เบาๆ โหวงๆ เหมือนจะหายตามไปด้วย เขาก้มมองมือตนเองข้างนั้นแล้วแอบเหลือบมองมือเล็กๆ ของคุณหมอที่กำๆ แบๆ ขยับนิ้วเพื่อคลายความเมื่อยล้าอยู่นั้นด้วยความเสียดาย

 

อยากได้ความอบอุ่นจากมือนั้นอีกครั้ง

 

“ห้องนอนคุณเรียบๆ ดีนะ มีชาร์ตตารางธาตุด้วย สมัยตอนที่หมอเรียนก็มีแบบนี้อยู่อันนึงติดไว้ตรงหัวนอน เหมือนกัน เอ่อ…” พอเห็นอีกฝ่ายจ้องมองมาที่ตนนิ่งๆ คุณหมอร่างเล็กก็เลยรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “เอาเป็นว่า หมอว่าคุณน่าจะอาการดีขึ้นแล้ว ถ้ายังไงทานยาให้ครบตามที่ระบุไว้ก็คงจะหายภายในสองสามวันนี้นะครับ พักผ่อนเยอะๆ อย่าออกไปเที่ยวเล่นสืบคดีที่ไหนล่ะพ่อนักสืบ หมอขอตัวก่อน”

 

รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้ชายหนุ่มเจ้าของห้องอีกครั้ง จะทำยังไงเพื่อให้ได้ครอบครองความอบอุ่นนั้นอีก จะทำยังไงเพื่อให้ได้กุมมือเล็กๆ นั้นอีก จะทำยังไง…

 

หมับ!

 

เขาบอกแล้วว่าสมองเขายังทำงานได้ดีกับเรื่องไม่เป็นเรื่องนัก

 

เชอร์ล็อก โฮล์มส์ฝืนกายลุกขึ้นมานั่ง มือเรียวที่ตอนแรกดูไร้เรี่ยวแรงกลับยื่นตรงไปข้างหน้า เอื้อมไปรั้งเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำตาลอ่อนของคุณหมอร่างเล็กเอาไว้จนอีกฝ่ายชะงักแล้วหันกลับมามอง เจ้าของห้องร่างสูงก้มหน้าก้มตางุดๆ ไม่เงยขึ้นมาสบกับอีกฝ่าย ริมฝีปากที่บวมแดงเพราะพิษไข้พูดเบาๆ อย่างกล้าๆ กลัวๆ

 

“เอ่อ…แล้วถ้าผมไม่หาย คุณหมอจะกลับมาดูอาการอีกมั้ย?”

 

พูดไปแล้วก็อยากจะตบปากตัวเอง นี่เขาอายุเจ็ดขวบหรือไงถึงได้พูดอ้อนคุณหมออย่างนี้ เพราะพิษไข้แน่ๆ ที่ทำให้เขาเพ้อเจ้อ!

 

คุณหมอร่างเล็กระบายยิ้มละมุน ก่อนจะย่อตัวลงนั่งชันเข่าให้ความสูงระหว่างใบหน้าของทั้งสองคนอยู่ระดับเดียวกัน

 

“ต้องมาสิ” แล้วมือเล็กๆ ก็เอื้อมมากุมมือของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ไว้อีกครั้ง บีบเบาๆ จนเจ้าตัวเงยหน้าสบดวงตาสีฟ้าเทา “แต่ถ้าหายหวัดแล้วไม่ต้องมาเจอหมออีก หมอจะดีใจกว่านี้นะ”

 

คำตอบนั้นทำเอาใบหน้าคมคายที่ดูอิดโรยเพราะพิษไข้อยู่แล้วดูหงอยลงไปอีก เป็นครั้งแรกที่เขาอยากเจอคุณหมอ ทั้งๆ ที่ปกติเวลาไม่สบายอะไรเขาไม่เคยคิดจะไปหาหมอด้วยซ้ำ

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างที่ยืนขึ้นเต็มความสูงหลังพูดจบอย่างช้าๆ คุณหมอร่างเล็กส่งยิ้มบางๆ ให้พลางยกมือขึ้นมาขยี้ผมหยักยุ่งของคนที่นั่งนิ่งอยู่บนโซฟาตัวยาวด้วยความเอ็นดู ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

 

คราวนี้เชอร์ล็อก โฮล์มส์ไม่ได้เอื้อมมือไปรั้งร่างนั้นไว้ เขาเพียงแต่มองแผ่นหลังนั้นเดินออกจากห้องไป ก่อนจะยกมือข้างที่ยังหลงเหลืออุณหภูมิอุ่นร้อนนั้นขึ้นมามองด้วยความเสียดาย

 

แว่วเสียงบทสนทนาของคุณหมอคนนั้นกับมิสซิสฮัดสัน เป็นเสียงคำปฏิเสธไม่ยอมรับค่าตรวจรักษาและค่าเสียเวลา ด้วยเพราะกลับมาลอนดอนทีไร มิสซิสฮัดสันก็มีน้ำใจแบ่งขนมให้กับคุณหมอคนนั้นมาตลอด แถมเขายังได้ยินอีกว่า คราวนี้อีกฝ่ายอยู่ได้นานหลายอาทิตย์กว่าจะกลับอัฟกานิสถาน พอรู้ความดังนั้น เด็กชายเชอร์ล็อกก็ถีบผ้าห่มผืนหนาลงไปกองกับพื้น ก่อนจะถอดเสื้อคลุม เสื้อสเวตเตอร์แขนยาวกับเสื้อยืดตัวข้างในออกจนท่อนบนเปลือยเปล่า แล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาทั้งแบบนั้น

 

หลังจากนั้นก็แค่รอ…

 

รอให้ตัวเขาเป็นหวัดอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเขาจะเดินไปบอกกับมิสซิสฮัดสันด้วยตนเองว่าเขาเป็นหวัด และต้องการคุณหมอแบบด่วนที่สุด

 

ถ้าเธอถามเขาว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมาถึงพูดแบบนั้น…เขาจะตอบว่าเป็นเพราะพิษไข้ที่ทำให้เขาเพ้อแบบนี้

 

ใช่…เพราะพิษไข้นั่นแหละ

 

 

 

 

 

สามสี่วันต่อมา มิสเตอร์โฮล์มส์ยังคงนอนป่วยอยู่บนโซฟาสีน้ำตาลตุ่นตัวเดิม

 

มิสซิสฮัดสันยืนมองเขาแล้วส่ายหัวไปมาด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ เอาจริงๆ หลังจากที่วันก่อนคุณหมอที่เธอรู้จักแวะมาเยี่ยม เธอเลยขอร้องให้อีกฝ่ายช่วยดูอาการของชายหนุ่มให้หน่อย พอคุณหมอกลับไป อาการของเชอร์ล็อกก็ทำท่าว่าจะดีขึ้นแล้ว ทั้งอุณหภูมิของร่างกายที่ลดลง อาหารก็เริ่มกินได้นิดหน่อย เรี่ยวแรงกลับมามีมากขึ้น ไม่ต้องพูดถึงปากที่จิกกัดเธอได้ตลอดเวลา จนเธอค่อนข้างไว้ใจไม่ค่อยได้ขึ้นมาดูแลเขาแบบตอนแรก อีกอย่างเจ้าตัวก็ยืนยันด้วยว่าตนเองดีขึ้นมากแล้ว เธอก็เลยไม่ได้สนใจมากนัก

 

แต่พอวันนี้กลับทรุดหนักลงจนเธออดจะเป็นห่วงไม่ได้ว่าจะเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า

 

เสียงเรียกชื่อเจ้าของตึกดังจากชั้นล่าง มิสซิสฮัดสันได้ยินแบบนั้นก็หมุนตัวลงไปต้อนรับแขกทันที ปล่อยให้เชอร์ล็อก โฮล์มส์นอนกระตุกยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากเมื่อแผนที่ตนวางไว้สำเร็จเรียบร้อย ใช่แล้ว เขาทำตัวเองให้เป็นหวัดอีกครั้ง โดยการไม่กินยาตามหมอสั่ง แถมยังใส่เสื้อผ้าบางๆ สู้กับอากาศหนาว จะมีเพียงอย่างเดียวที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็คือไม่ได้ออกไปสืบคดีที่ไหน พอเช้าวันนี้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวจนรับรู้ได้เลยว่าแผนตนเองลุล่วงแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้มิสซิสฮัดสันตามคุณหมอจอห์น วัตสันมาดูอาการเขาก็เท่านั้น

 

นอนรออยู่เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินขึ้นบันไดมา จากที่ดังอยู่ไกลๆ ก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มผมหยักยุ่งค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมองภาพตรงหน้า มันเป็นภาพใบหน้าของคุณหมอผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนกำลังก้มหน้าลงมามองเขาด้วยเรียวคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่ค่อยสู้ดีนัก เห็นแบบนั้นแล้วเชอร์ล็อกก็อดกังวลใจไม่ได้ หากเป็นเขาในยามปกติคงไม่มีทางรู้สึกไม่มั่นใจแบบนี้

 

“คุณไม่ทำตามที่หมอสั่งเลยสักนิด”

 

เสียงที่เคยอ่อนโยนกลับแข็งกร้าวและติดจะหงุดหงิดเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าเทาคู่นั้นมองมายังเขาด้วยสายตาผิดหวัง นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่าตนเองไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุดในโลกอีกต่อไป

 

“เอ่อ…”

 

“ถ้าเป็นแบบนี้หมอก็ไม่รู้จะรักษาคุณไปทำไม เพราะคุณไม่คิดจะหายป่วยตั้งแต่แรกแล้ว ขนาดคุณยังไม่อยากดูแลตัวเอง แล้วใครจะอยากมาดูแลคุณล่ะครับ?”

 

“ไม่…”

 

“เอาเป็นว่าหมอกลับดีกว่า ลาล่ะครับ”

 

พูดจบก็หมุนตัวเตรียมก้าวเท้าเดินออกไปทันที เห็นแบบนั้นแล้วสิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของเชอร์ล็อก โฮล์มส์ยามป่วยไข้ก็คือต้องหยุดคนคนนี้เอาไว้ และมันก็เร็วเท่าความคิด มือเรียวยาวของชายหนุ่มเอื้อมไปข้างหน้าหวังจะรั้งข้อมือขาวของอีกฝ่ายเอาไว้พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อออกไปด้วยเสียงอันดังอย่างต้องการให้คุณหมอหันกลับมาสนใจตนเองอีกครั้ง

 

“จอห์น!”

 

เจ้าตัวผวาลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาอย่างรวดเร็วจนหัวตนเองโขกเข้ากับศีรษะกลมๆ ของคุณหมอตัวเล็ก ดูจากความแรงที่ของแข็งทั้งสองกระทบกันเล่นเอาอินเดีย โรส เฮมส์เวิร์ธที่ตัวเล็กกว่าถึงกับหงายหลังลงไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นทันที แน่นอนว่าคนตัวสูงที่นั่งอยู่บนโซฟาก็มึนไม่แพ้กัน

 

“คนไข้ฟื้นแล้ว!”

 

เสียงเล็กๆ ของนางพยาบาลไอวิชตะโกนดังลั่น จากตอนแรกที่เธอขดตัวกลมบ๊อกขีดๆ เขียนๆ อะไรสักอย่างที่เธอเรียกมันว่า ‘เอกกะฉานทางการแพด’ พอเธอเห็นว่าคุณลุงฮิปโปที่จู่ๆ ก็เป็นลมสลบล้มตึงไปฟื้นขึ้นมา เธอก็รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับปีนขึ้นไปบนโซฟาแล้วเอาหลังมือแตะหน้าผาก ‘คนไข้’ ของเธอทันที พอคุณหมออินเดียเห็นแบบนั้นก็ไม่รอช้า จากที่นอนหงายท้องยกมือขึ้นถูหน้าผากป้อยๆ อยู่ เธอก็รีบพลิกตัวขึ้นยืนแล้วปีนโซฟามาประกบ ‘คนไข้’ ข้างที่ว่างทันที

 

ส่วนคนไข้ที่เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังพูดถึงอยู่นั้นก็ได้แต่นั่งอึนๆ ด้วยสายตาเหม่อลอยราวกับเพิ่งถอดจิตไปท่องกาลเวลามายังไงยังงั้น

 

นี่เขาไม่ได้อยู่ในเรื่อง Doctor Who ใช่ไหม?

 

ไม่หรอก เขาน่าจะอยู่ในเรื่อง Sherlock มากกว่า

 

“ไข้ยังไม่ลดเลยค่ะคุณหมออินเดีย”

 

“จริงด้วยค่ะ งั้นเราต้องฉีดยาเพิ่มแล้วเนอะ นางพยาบาลไอวิช ไข้จะได้ลด”

 

พอคุณหมออินเดียสั่งแบบนั้น นางพยาบาลไอวิชก็ตาวาวทันที เธอยิ้มแป้นจนตาหยี ยกมือขวาสั้นๆ ขึ้นตะเบ๊ะเป็นการรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา ก่อนจะค่อยๆ ถอยหลังถัดตัวลงจากโซฟา พอเท้าแตะพื้นได้เท่านั้นแหละ เธอก็สับเท้าเล็กๆ วิ่งจู๊ดไปหน้าทีวีเครื่องใหญ่ ก้มหยิบเอาดินสอที่เธอใช้เขียนเอกสารเมื่อสักครู่นี้วิ่งกลับมายื่นให้กับเด็กหญิงผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ด้านขวามือคนไข้ทันที

 

ส่วนคนไข้นั้นกำลังมึนงงได้ที่ ชายหนุ่มผมหยักยุ่งขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองหรี่ลงมองยังสภาพรอบกายตนเอง ใช่ เขายังนั่งอยู่บนโซฟาเหมือนเดิม จะต่างกันก็แค่สีของโซฟาเท่านั้น และตรงหน้าเขาก็ไม่ใช่วิวห้องรับแขกแบบที่ควรจะเป็น ผนังห้องไม่ได้ปูวอลล์เปเปอร์สีน้ำตาลเข้มที่มีลวดลายสีอ่อน แถมที่ผนังก็ไม่มีรูจากการโดนปืนยิงอีกต่างหาก ไม่มีกลิ่นชาอ่อนๆ ของมิสซิสฮัดสัน มีแต่กลิ่นหอมนมหวานๆ ที่มักติดตามตัวเด็กตลบอบอวลไปทั่ว

 

ไม่มีคุณหมอที่ชื่อจอห์น วัตสันอีกแล้ว ตรงหน้าเขาตอนนี้มีเพียง…

 

“คุณหมอจะฉีดยาแล้วนะคะ เจ็บนิดเดียวเหมือนมดกัดเนาะ เด็กดีต้องไม่ร้องไห้น้า…”

 

เสียงเล็กแหลมพูดปลอบหลอกล่ออย่างอ่อนโยนแบบที่เวลาเจ้าตัวไปหาคุณหมอแล้วมักจะได้ยินแบบนี้เสมอๆ พอพูดจบ ปลายดินสอก็จิ้มจึกเข้าไปยังต้นแขนด้านขวาของชายหนุ่มร่างสูงทันที จากที่กำลังนั่งสะลึมสะลือ เสียดายความอบอุ่นจากมือคู่นั้นอยู่ อารมณ์ทั้งหลายและภาพฝันก็สลายไป เมื่อความเจ็บที่ต้นแขนแล่นจี๊ดขึ้นสมอง ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองก็เบิกกว้างก่อนจะแหกปากดังลั่นห้องพัก

 

“อ๊าก!”

 

ชายหนุ่มสะบัดแขนเร่าๆ เรียกเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากจากคุณหมอและนางพยาบาลตัวน้อยได้เป็นอย่างดี แต่พอสิ้นเสียงทุ้มต่ำที่ตะโกนร้องออกมาเท่านั้นแหละ เสียงหวานติดจะหงุดหงิดก็ดังออกมาจากปากชายหนุ่มเจ้าของห้องที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ทันที

 

“คริส! ทำไมไม่ดูเด็กๆ เลย ปล่อยให้ไปเล่นกับเบนได้ไง เดี๋ยวก็ติดหวัดหรอก”

 

ทอม ฮิดเดิลสตันเอามือป้องโทรศัพท์มือถือเอาไว้ พลางชะโงกหน้าออกมาจากห้องนอนมองภาพโกลาหลด้านนอกที่ตอนนี้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำลังวิ่งไล่จับเด็กหญิงตัวน้อยทั้งสองคนที่วิ่งหนีไปมารอบๆ โซฟาที่เพื่อนสนิทของตนสลบเหมือดไปอีกรอบ

 

ให้ตายสิ! เรื่องแค่นี้ยังดูแลไม่ได้ แล้วจะให้เขาฝากชีวิตไว้กับหมอนั่นได้ยังไง เฮ้อ!

 

“งั้นแค่นี้ก่อนนะครับศาสตราจารย์ ราตรีสวัสดิ์ครับ”

 

ดวงตาสีมรกตละสายตาจากภาพความวุ่นวายตรงหน้า มองจ้องไปยังเพื่อนสนิทของตนที่นอนแผ่พังพาบอยู่บนโซฟาอีกครั้ง เห็นแล้วก็ไม่รู้จะหัวเราะเยาะสมน้ำหน้าหรือทำท่าสำนึกผิดปลอบใจมันดี เอาเป็นว่าสงสารเล็กๆ ก็แล้วกัน เพราะสาเหตุที่ทำให้เพื่อนซี้หัวยุ่งต้องมาเป็นไข้นอนซมอยู่แบบนี้ก็มาจากเขานี่แหละ

 

โอเค ถึงเขาจะเป็นฝ่ายผิดที่ทำให้หมอนี่ต้องผิดใจกับศาสตราจารย์ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าเจ้าเพื่อนบ๊องของเขาจะง้อด้วยวิธีประหลาดๆ ขนาดยอมไปยืนท้าลมหนาวแบบนั้นน่ะ…

 

เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาเคลียร์ปัญหาขี้ปะติ๋วกับเจ้าหมีร่างยักษ์นั่นเสร็จ เจ้าบ้าเบนกับเด็กๆ ก็โผล่พรวดออกมาจากในห้องตอนกำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน มายืนค้ำหัวเขาที่นอนหนุนแขนคริสอยู่บนพื้น แล้วหัวเราะหึๆ ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ปนสะใจเสียเต็มประดา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปากด่าแล้วก็ไถ่ถามว่า จู่ๆ หมอนี่โผล่มาที่ห้องเขาทำไมตอนดึกป่านนี้ แล้วที่บอกว่าจะเคลียร์นี่คือเคลียร์เรื่องอะไร อยู่ดีๆ สีหน้าของเบนก็เปลี่ยนไป ก่อนเรียวขายาวจะทรุดลงและพาร่างทั้งร่างล้มลงกับพื้นทันที

 

โชคดีที่คริสยังพอเหลือสติอยู่บ้าง ลุกขึ้นมารับอีกฝ่ายไว้ได้ทัน ไม่งั้นเจ้าเพื่อนตัวดีคงได้ล้มหัวฟาดพื้นกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปแน่ ทีนี้ก็ไม่ต้องร้งต้องรู้มันแล้วว่าตกลงมันมาเคลียร์เรื่องอะไร

 

หลังจากที่เบเนดิกต์ล้มไป คริสบอกกับเขาว่าตัวเบนร้อนมากน่าจะเป็นไข้ พอเขาลองเอื้อมมือไปแตะหน้าผากดูก็พบว่ามันร้อนมากจริงๆ เขาให้คริสอุ้มเบนไปนอนบนโซฟาก่อนที่ตนเองจะเดินเข้าไปในห้องครัว หาถุงน้ำแข็งลดไข้มาแปะหน้าผากของเพื่อนรักเอาไว้ ด้วยความที่ไม่รู้จะโทรศัพท์ไปบอกใคร เพราะหมอนี่อยู่แฟลตคนเดียว เพื่อนสนิทที่ไหนก็ไม่มี ถึงเขาจะจำได้ว่าเบนมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งแต่ก็ไม่รู้เบอร์โทรศัพท์ของเธออยู่ดี เพราะงั้นอย่ามาตายในห้องเขานะเฟ้ย!

 

และความซวยทั้งหมดก็เลยมาตกอยู่ที่คนสนิทเพียงคนเดียวของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ที่เขารู้จัก

 

ศาสตราจารย์มาร์ติน ฟรีแมน

 

พอเขาโทรไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้ศาสตราจารย์ฟัง ฝ่ายนั้นก็ดูจะอึ้งๆ ไป แล้วยิ่งตอนที่เขาบอกถึงข้อสันนิษฐานของตนเองไปว่า สงสัยหมอนั่นคงไปบ้ายืนตากลมเพื่อทดลองวิทยาศาสตร์อะไรมาแน่ๆ ปลายสายก็เงียบสนิทแทบจะไม่ได้ยินเสียงลมหายใจเลยด้วยซ้ำ แค่นั้นทอม ฮิดเดิลสตันก็รู้แล้วว่า เรื่องนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับศาสตราจารย์ด้วยแน่ๆ

 

ใจจริงก็ไม่อยากถามหรอกนะ เพราะเขาไม่ใช่พวกชอบสอดรู้สอดเห็นแบบเบนสักเท่าไหร่ แต่พอดีตอนนี้ของกลางมันนอนแอ้งแม้งอยู่บนโซฟากลางห้องพักเขาน่ะสิ เพราะฉะนั้นเขาก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ด้วยจริงไหม? อีกอย่างหนึ่ง ลางสังหรณ์มันบอกว่านอกจากจะเกี่ยวกับศาสตราจารย์ร่างเล็กนี่แล้ว น่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เบนจะมาเคลียร์กับเขาวันนี้ด้วยแน่ๆ แล้วพอประโยคถัดมาดังออกมาจากปลายสายเท่านั้นแหละ

 

‘เอ่อ เบนไม่ได้ไปทดลองวิทยาศาสตร์อะไรหรอก เขาไป เอ่อ ยืนรอฉันน่ะ’

 

นั่นไง! โป๊ะเชะ! ศาสตราจารย์ไม่ต้องพูดต่อเขาก็พอจะเดาเรื่องราวได้ ก็อยู่กับไอ้เพื่อนบ้านักสืบมาตั้งนาน ไอ้เรื่องตั้งข้อสังเกตสังกาแล้วรวบรวมหลักฐานอะไรแบบนี้น่ะเขาก็พอซึมซับมาได้อยู่บ้าง สรุปว่าคนที่เบนส่งข้อความไปยกเลิกนัดเพื่อไปดูหนังกับเขาก็คือศาสตราจารย์นี่เอง แล้วพอเขาทิ้งมันไว้คนเดียวเพราะคุณครูของไอวิชโทรมาตามเขาให้ไปพบเสียก่อน เบนก็คงเลิกดูหนัง แล้วช่วงต่อจากนั้นคงมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างที่หมอนั่นอยากจะไปง้อศาสตราจารย์สินะ แต่ก็ไม่รู้ใช้วิธีง้อแบบไหน เพราะหมอนั่นมันเหมือนมนุษย์มนาเสียที่ไหนล่ะ ผลเลยกลายมาเป็นแบบนี้

 

เฮ้อ…นี่สินะที่เขาบอกว่า…

 

“อัจฉริยะกับคนบ้าต่างกันแค่เส้นบางๆ กั้น”

 

“นั่นแหละ คำนั้นเลย เฮ้ย!”

 

จู่ๆ เสียงที่ต่อประโยคที่เขาคิดไว้ในใจจนจบกลับไม่ใช่เสียงของตนเอง แต่เป็นเสียงทุ้มงึมงำของรูมเมทร่างใหญ่ ทอมที่ได้ยินดังนั้นก็หันขวับไปมองทันทีที่คิดได้ แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่เพราะดูยังไงมันก็เหมือนพ่อหมีกล่อมลูกหมีให้นอนยังไงยังงั้น

 

คริส เฮมส์เวิร์ธยืนอยู่ข้างๆ โซฟาหน้าทีวีเครื่องใหญ่ ในอ้อมแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มนั้นถูกจับจองพื้นที่ด้วยเด็กน้อยทั้งสองคน เด็กหญิงอินเดียยึดแขนซ้าย เด็กหญิงไอวิชยึดแขนขวา สุดท้ายแล้วคุณหมออินเดียกับนางพยาบาลไอวิชก็สลบเหมือดไปไม่แพ้คนไข้เหมือนกัน แขนสั้นๆ ทั้งสองข้างของเด็กๆ ต่างห้อยต่องแต่งอยู่บนแผ่นหลังกว้างของคริส เอนหัวซบเข้าซอกคอร่างสูงใหญ่แบบที่เรียกว่าคอพับคออ่อน ริมฝีปากเผยอนิดๆ จากการที่แก้มยุ้ยๆ แนบลงกับไหล่กว้างจนดูเหมือนว่าน้ำลายจะไหลย้อยออกมาหน่อยๆ ดูน่ารักน่าชังจนเขาอยากจะมีลูกเป็นของตัวเองสักโหลนึง

 

ก็อย่างว่าล่ะนะ นี่มันเลยเวลาที่เด็กดีควรจะเข้านอนไปตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ติดว่าเกิดเรื่องวุ่นวายอะไรนั่นขึ้นมาก่อน เขาก็คงเอาหลานสองคนเข้านอนไปตั้งแต่ตอนหัวค่ำแล้วล่ะ

 

“ขำอะไรน่ะทอม”

 

พ่อหมีตัวใหญ่ยืนทำหน้าสงสัยพร้อมโคลงตัวไปมาเบาๆ ราวกับจะกล่อมเด็กน้อยให้หลงอยู่ในวังวนนิทราไม่ตื่นมาขัดจังหวะอะไรพวกเขาได้อีกหากคืนนี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น นอกจากจะโคลงตัวแล้วคริสยังเดินหมุนไปหมุนมาไม่อยู่กับที่อีกด้วย คนตัวใหญ่ที่ปกติจับแต่ลูกรักบี้ พอมาอุ้มเด็กตัวน้อยๆ แบบนี้ดูแล้วน่ารักชะมัด!

 

แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยตอบอะไร เสียงครางต่ำๆ ก็ดังมาจากเบื้องล่าง เรียกสายตาทั้งสองคู่ให้หลุบต่ำลงมองทันที ชายหนุ่มร่างสูงที่นอนอยู่บนโซฟาขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เปลือกตาบางกระตุกอยู่สองสามครั้งราวกับเจ้าตัวกำลังฝันร้าย พร้อมๆ กับมือที่ยื่นตรงมาข้างหน้าคล้ายกับจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง

 

“จอห์น…”

 

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่สองคนหันมามองหน้ากันพลางขมวดคิ้วมุ่นไม่แพ้คนที่นอนอยู่บนโซฟาด้วยความประหลาดใจ

 

จอห์น? จอห์นไหน?

 

 

 

 

 

สมองของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ตื่นตัวตั้งแต่เช้าด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายอะไรก็ไม่รู้ที่เขาไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย มันเหมือนเขากำลังนอนอยู่กลางสนามเด็กเล่น ท่ามกลางเจ้าพวกมนุษย์ข้อเดียวที่วิ่งผ่านหัวเขาไปมายังไงยังงั้น อยากจะลืมตามองสภาพแวดล้อมรอบกายแต่ที่ทำได้ก็คือยังคงนอนนิ่งอยู่อย่างเดิม หัวมันหนักราวกับมีใครเอาหินมาถ่วงไว้ แต่เขาก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่ แต่น่าจะเป็นเพราะพิษไข้ที่กำลังรุมเร้าเขาอยู่ตอนนี้ต่างหาก

 

“ไอวิช อินเดีย สายแล้วนะ! หม่ำซีเรียลชามนี้หมดเมื่อไหร่เราจะได้ไปโรงเรียนกัน โอเคมั้ยคะ?”

 

โอเค ตอนนี้เขาเริ่มได้ยินเสียงที่พอจะคุ้นหูบ้างแล้ว มันฟังดูเหมือนเสียงเพื่อนสนิทของเขาเอง ทอม ฮิดเดิลสตัน แต่วิธีการพูดกับเนื้อหาที่เขาได้ยินนั้นมันไม่คุ้นเอาเสียเลย หม่ำซีเรียล? ไปโรงเรียน? โอเคมั้ยคะ? หรือว่าเขายังไม่หลุดออกมาจากซีรีส์ Doctor Who กันแน่นะ

 

“ขออินเดียขี่หลังป๊ะป๋าไปโรงเรียนได้มั้ยคะ”

 

“อ๊าๆ หนูด้วยๆ งั้นไอวิชขี่หลังอาทอมไปโรงเรียนด้วยนะคะ”

 

โอเคๆ เขายังไม่หลุดออกมาจากซีรีส์ Doctor Who แน่ๆ ขี่หลังไปโรงเรียนบ้าบออะไรกัน ทำอย่างกับว่าทอมกับคริสมีลูกด้วยกันแล้วอย่างนั้นแหละ

 

เฮ้ย! หรือว่า!

 

“ไม่มีใครได้ขี่หลังใครทั้งนั้นค่ะ ถ้าหนูสองคนยังหม่ำซีเรียลชามนี้ไม่…เฮ้ย! เบน!”

 

จู่ๆ ร่างสูงที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟามานานก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว เล่นเอาเจ้าของห้องอย่างทอมที่กำลังสู้รบปรบมือหลอกล่อเด็กน้อยทั้งสองให้กินอาหารเช้าให้หมดเพื่อจะได้ไปโรงเรียนอยู่นั้นถึงกับตกใจจนอุทานเสียงดัง ก่อนจะสาวเท้ายาวๆ เดินออกจากโซนห้องครัวเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทที่นั่งทำหน้าตาตื่นกลัวแบบแปลกๆ อย่างที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

“เบน นายโอเคมั้ย?”

 

“ไม่ ไม่โอเค นี่วันที่เท่าไหร่ ปีอะไร นี่เรายังอาศัยอยู่บนโลกไม่ใช่ดาวอังคารใช่มั้ย แล้วนายกับคริสมีลูกด้วยกันแล้วเรอะ! นี่ฉันอยู่ในโลกอนาคตจริงๆ ใช่มั้ย? วิทยาศาสตร์ถึงได้ก้าวไกลขนาดผู้ชายก็ท้องได้แล้วเนี่ย โอ๊ย! เจ็บ ตีหัวฉันทำไม”

 

แว่วเสียงหัวเราะคิกคักมาไกลๆ ทำให้คนป่วยที่เพิ่งโดนตีหัวเมื่อครู่นี้หันไปมองยังต้นเสียงทันทีด้วยความขุ่นเคือง ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองมองเห็นเด็กน้อยสองคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวกำลังหัวเราะขำเอิ๊กอ๊ากกับการกระทำของเขาและชายหนุ่มผมดำเจ้าของห้อง

 

“คุณลุงฮิปโปตื่นแย้ววว”

 

ไม่รู้ว่าเสียงของไอ้จอมแสบคนไหนที่เป็นคนพูดขึ้นมา แต่นั่นก็พาสติของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์กลับมาโฟกัสอยู่ ณ ปัจจุบันจนได้ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาไม่ได้อยู่ในซีรีส์ Doctor Who ไม่ได้ข้ามกาลเวลาอะไรมาทั้งนั้น ทอมกับคริสก็ไม่ได้มีลูกด้วยกันด้วย เพราะนั่นคือหลานของทั้งสองคนที่เป็นจอมป่วนหมายเลขสองกับหมายเลขสาม แน่นอนว่า หมายเลขหนึ่งเขายกไว้ให้เจ้าเด็กที่ชื่อยูจงยูจีนอะไรนั่นโดยเฉพาะ

 

และเมื่อคืนเขาก็ไปยืนรอศาสตราจารย์ร่างเล็กที่สวนตั้งหลายชั่วโมงตามคำแนะนำของแม่ผีสาวหน้าขาวในชุดกิโมโน ยังไม่ทันจะได้สวีตอะไรสักนิด พอพูดคำว่า สุกี้ยากี้ เอ่อ ไม่ใช่สิ ต้องเป็น…สุๆ เออ สุอะไรสักอย่างออกไปนั่นแหละ ก็โดนมาร์ตินชกเปรี้ยงเข้าเต็มรัก แถมยังโดนสั่งห้ามไม่ให้ไปที่บ้านยัยเด็กแสบเบอร์หนึ่งอีกด้วย ไม่งั้นเขาสองคนจบกัน

 

จบอะไรกัน แล้วจะจบกันได้ยังไง ในเมื่อเขายังไม่ได้เริ่มอะไรกับมาร์ตินเลยด้วยซ้ำ!

 

พอตั้งใจจะมาเคลียร์ปัญหากับทอมที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ก็ดันเกิดเรื่องอื่นขึ้นมาซะก่อน แล้วหลังจากนั้นก็ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น จำได้แค่เพียง…อุณหภูมิอันอบอุ่นที่ฝ่ามือนี่แหละ

 

ร่างสูงยกมือขึ้นตรงหน้าพลางจ้องมองมันด้วยแววตาอาลัยอาวรณ์ ฝันสินะ นั่นมันก็แค่ความฝันสินะ มือเล็กๆ ทว่าอบอุ่นพาให้หัวใจเขาสั่นไหว เป็นความอบอุ่นแบบที่ไม่เคยมีใครมอบให้กับเขา อยากจะไขว่คว้ามือนั้นเอาไว้ เหนี่ยวรั้ง ยึดเอาไว้เป็นของเขาคนเดียว คุณหมอคนนั้น…ช่างคล้ายกับศาสตราจารย์ร่างเล็กของเขาเหลือเกิน

 

“มาร์ติน…”

 

“อ้าว นึกว่าจะเรียกว่า ‘จอห์น’ ซะอีก”

 

จู่ๆ น้ำเสียงที่ติดจะหงุดหงิดก็พูดแทรกขึ้นมา มันเป็นเสียงเล็กๆ ที่เขาคุ้นเคย คุ้นเสียยิ่งกว่าเสียงทุ้มหวานของทอม คุ้นเสียยิ่งกว่าเสียงงึมงำของรูมเมทร่างยักษ์ของเพื่อนเขา มันเป็นเสียงเล็กๆ ที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองได้ทุกครั้ง เสียงเล็กทว่าอบอุ่น เสียงเหมือนคุณหมอในฝันของเขา

 

“มาร์ติน…”

 

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาหันหน้าไปทางต้นเสียงทันที แล้วก็ต้องพบกับใบหน้าขาวที่ออกจะบูดบึ้งราวกับไม่พอใจอะไรอยู่สักอย่าง มาร์ติน ฟรีแมนยืนพิงขอบประตูห้องน้ำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกพับขึ้นไปถึงข้อศอก ในมือถืออ่างน้ำเล็กๆ มีผ้าขนหนูสีขาวพาดไว้บนบ่า ดูก็รู้ว่าเตรียมมาเช็ดตัวให้เจ้าลูกศิษย์ตัวดีแน่ๆ

 

“หึ”

 

ริมฝีปากอิ่มพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้คนเด็กกว่าที่มองตามทุกการเคลื่อนไหวของเขาแบบที่เรียกได้ว่าตาไม่กะพริบ จนกระทั่งเขาหยุดลงตรงหน้าเบนนั่นแหละ เจ้าตัวถึงยอมเลิกหมุนคอมองตามเขาสักที

 

อ่างน้ำใบเล็กถูกวางลงตรงโต๊ะที่ตั้งอยู่ระหว่างโซฟากับทีวี และคนที่ถือมันมาก็นั่งลงข้างๆ ชายหนุ่มผมหยักยุ่งที่นั่งป่วยอยู่บนโซฟาตัวเดียวกัน พอมานั่งใกล้กันแบบนี้ มาร์ติน ฟรีแมนก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าลูกศิษย์ของเขาดูป่วยแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าคมคายซีดขาว ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยเหมือนฝืนลืมขึ้นมาและดูไม่สดใสแวววาวอย่างเคย ปากบางๆ บวมขึ้นและดูแดงจัดเพราะพิษไข้ เหงื่อกาฬทั้งหลายแย่งกันผุดพรายทั่วหน้าผากและข้างขมับ ทำเอาไรผมสีน้ำตาลเข้มเปียกชื้นไปหมด

 

ก็ได้ๆ เขาลดทิฐิลงให้ก็ได้ เห็นว่าป่วยหนักหรอกนะถึงยอมให้ขนาดนี้น่ะ

 

“ไหน ดูซิว่าไข้ลดลงรึยัง”

 

ว่าจบคนตัวเล็กก็เอื้อมมือไปแตะหน้าผากอีกฝ่ายทันที เบเนดิกต์นั่งนิ่งยอมให้มือบางสัมผัสตนได้ง่ายๆ

 

“คุณมาที่นี่ได้ยังไง”

 

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ แต่อีกฝ่ายกลับไหวไหล่เบาๆ แล้วตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก

 

“ขึ้นรถไฟใต้ดินแล้วก็เดินต่อเอา”

 

ดวงตาสีเทาเสมองไปทางอื่นอย่างไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย อุณหภูมิร้อนๆ ที่หน้าผากของร่างสูงทำให้เขารีบหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กลงไปชุบน้ำในอ่างทันที บิดหมาดอยู่สองสามครั้งก็หันหน้ากลับมาเผชิญกับเบเนดิกต์อีกครั้ง

 

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมหมายถึงทำไมคุณถึงมาล่ะ”

 

พอได้ยินแบบนั้นบวกกับดวงตาที่ฉายแววคาดคั้น มาร์ตินก็รู้ดีว่าป่วยการที่จะเฉไฉพูดเรื่องอื่น เขาจึงตอบออกไปตามตรง

 

“ฉันทำให้นายป่วย ฉันก็ต้องมารับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ไม่เหมือนบางคนหรอก แค่นัดยังยกเลิกได้ง่ายๆ เลย”

 

ศาสตราจารย์ร่างเล็กไม่รู้หรอกว่าตนเองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแบบไหน และกระทบชิ่งไปโดนใครบ้าง พอสิ้นประโยคนั้นเจ้าของห้องผมดำก็สะดุ้งโหยง และรู้ตัวว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว เขารีบหยิบชามซีเรียลออกจากตรงหน้าเด็กน้อยทั้งสองคนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินอยู่ทันที แถมยังฉวยเอาช้อนออกจากมือเล็กๆ ด้วย เล่นเอาหนูอินเดียอ้าปากค้างงับลมกลางอากาศฟันกระทบกันดังกึก ไม่ต่างจากเด็กหญิงไอวิชที่กำลังเบะปากเตรียมจะร้องไห้ที่อดกินอาหารเช้าแล้ว

 

“ฮึก…”

 

“ชู่ววว ไม่เอาไม่ร้องนะคะ เดี๋ยวเราไปกินแพนเค้กกันต่อที่ร้านหน้าโรงเรียนดีกว่าเนอะ เฮ่ คริส!”

 

เสียงทุ้มกระซิบกระซาบแผ่วเบา ยิ้มหวานหลอกเด็กน้อยทางซ้ายทีทางขวาที ก่อนที่รูมเมทร่างใหญ่จะสะพายกระเป๋าแล้วรีบเดินตามมาคว้าเด็กน้อยขึ้นนั่งบนบ่าคนละข้างอย่างรู้งาน แล้วทั้งสี่คนก็รีบเผ่นแผล็วออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา

 

“เอ่อ ผม…ขอโทษ”

 

มือเล็กที่กำผ้าขนหนูอยู่นั้นชะงักไป เป็นอีกครั้งที่เขาเบือนหน้าหนีไปทางอื่นด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นแววตาที่สั่นไหวของตนเอง ผ้าขนหนูถูกโยนลงไปในอ่างน้ำดังเดิม และเสียงกระเพื่อมของน้ำก็เป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ทั่วทั้งห้องพักจะตกอยู่ในความเงียบงัน

 

สุดท้ายก็เป็นศาสตราจารย์ร่างเล็กที่ทำลายความเงียบลงก่อน

 

“เฮ้อ…ทำไมนายถึงชอบทำอะไรบ้าๆ ให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่นายทำเลยจริงๆ รู้สึกยังไง คิดอะไรอยู่ บอกออกมาบ้างก็ไม่มีใครคิดว่านายเสียฟอร์มหรอกนะ บางครั้งฉันก็เหนื่อยที่จะต้องมาตีความพฤติกรรมของนายแล้วนะเบน ฉันเหนื่อย…”

 

“ผมทำให้คุณเหนื่อยเหรอ…”

 

ประโยคเดียวแต่แฝงไว้ด้วยความเศร้าระคนสำนึกผิด พอได้ยินเสียงทุ้มต่ำหงอยลงทีไร มาร์ติน ฟรีแมนก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ทุกที

 

“เปล่าหรอก ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันแค่…รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเรามัน…ไม่ชัดเจน ก็เท่านั้น”

 

ใบหน้าขาวที่ดูอิดโรยค่อยๆ ขึ้นสีแดงเรื่อทีละน้อย เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกพูดเรื่องสำคัญในเวลาแบบนี้ แล้วก็สถานที่แบบนี้ แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ใบหน้าคมของคนเด็กกว่าก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ พอเขารู้ตัวเลยตั้งใจจะถอยหลังแต่ไม่รู้ว่าแขนยาวๆ ของอีกฝ่ายเอื้อมมาโอบรอบตัวเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝ่ามืออุ่นร้อนดันแผ่นหลังเขาให้เข้าไปใกล้คนตรงหน้ามากกว่าเดิม

 

นี่ๆ หมอนี่มันป่วยอยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมถึงออกอาการเพี้ยนๆ อะไรแบบนี้ล่ะ!

 

“ใครว่าไม่ชัดเจน ผมน่ะ ชัดเจนกับมาร์ตินตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันแล้วนะ”

 

ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองที่ก่อนหน้านี้ดูไม่แวววาวสดใส แต่ตอนนี้กลับวิบวับราวกับเจอของกินถูกใจอยู่ตรงหน้า ริมฝีปากสีซีดกระตุกยิ้มมุมปากน้อยๆ แล้วค่อยๆ เลื่อนใบหน้าตัวเองเข้าใกล้คนตัวเล็กที่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ดวงตาสีเทามองจ้องดวงตาคู่นั้นสลับกับเรียวปากหยักบางที่เคลื่อนเข้าใกล้มากขึ้นทุกที ภาพความทรงจำเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกค่อยๆ ไหลบ่าเข้ามาเรื่อยๆ น่าแปลกที่ผ่านไปแปดปีแล้ว แต่เขายังจดจำรายละเอียดได้ดีราวกับเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

 

ดวงตาสีทองที่วาววับดูลึกลับคล้ายมีบางอย่างซ่อนเร้น

 

กลิ่นหอมสดชื่นคล้ายกับส้มที่เพิ่งปอกเปลือกใหม่ๆ

 

เสื้อโค้ตตัวยาวสีเข้มที่ทุกวันนี้เขายังเก็บไว้ไม่เคยคืนเจ้าของ

 

“ผมชัดเจนมาตลอด มีแต่คุณนั่นแหละที่เอาแต่หนี แล้วยังมาพูดอีกว่าผมไม่เคยบอกว่ารู้สึกยังไง”

 

ไอ้เด็กนี่มันร้าย! พลิกสถานการณ์กลับมาไล่ต้อนเขาได้ยังไงเนี่ย!

 

“เบ…เบน”

 

“คุณเองก็ไม่เคยบอกผมเหมือนกัน เพราะงั้น…เราเจ๊ากันนะ หายโกรธผม…นะครับ”

 

แววตาเว้าวอน น้ำเสียงออดอ้อน เล่นแบบนี้แล้วเขาจะปฏิเสธอะไรได้ล่ะ ฮึ้ย!

 

พอเห็นว่าร่างเล็กตรงหน้าไม่พูดอะไร เบเนดิกต์ก็ถือว่านั่นคือคำตอบตกลง เขาก้มหน้าลงต่ำตั้งใจจะใช้ริมฝีปากจุมพิตช้อนใบหน้าอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ขณะที่ริมฝีปากอยู่ห่างกันไม่ถึงเซ็นต์นั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นอะไรกลมๆ สีดำขยุกขยุยเสียก่อน

 

“เฮ้ย!”

 

“คุณลุงฮิปโปกำลังจะทำอะไรคุณพี่คนนี้อะคะ”

 

เสียงเล็กๆ เอ่ยถามอย่างไร้เดียงสาพลางเกาะขอบโต๊ะตัวเตี้ยหน้าทีวีเอียงคอมองด้วยความสงสัยในการกระทำของผู้ใหญ่ แต่ยังไม่ทันได้คำตอบ เจ้าของห้องที่ควบตำแหน่งผู้ปกครองเจ้าเด็กแสบไอวิชก็ถลาตามเข้ามาอุ้มมนุษย์ข้อเดียวในชุดเอี๊ยมยีนสีเข้มออกไปเสียก่อน

 

“อะ…ไอวิชเจอกล่องดินสอแล้วใช่มั้ยคะ? งั้นเรารีบไปโรงเรียนดีกว่าเนอะ เดี๋ยวไปสายแล้วโดนคุณครูสการ์เล็ตต์ตีเอานะคะ”

 

“อื้อ! งั้นไปโรงเรียนกันค่ะ อาทอมวิ่งเลยวิ่ง!”

 

แล้วสองอาหลานก็หายวับไปอย่างรวดเร็วราวกับเทเลพอร์ตตัวเองได้ยังไงยังงั้น เล่นเอาสองคนที่โดนขัดจังหวะมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะขำก๊ากออกมากับสถานการณ์พิลึกๆ ที่เกิดขึ้น

 

ชายหนุ่มเอื้อมไปกอบกุมมือเล็กๆ อันอบอุ่นของคนตรงหน้าเอาไว้ ก่อนจะดึงเข้ามาชิดใกล้ใบหน้าตนเอง ก้มหน้าลงประทับจุมพิตไปที่หลังนิ้วนั่น ดวงตาคู่งามช้อนมองใบหน้าแดงระเรื่อด้วยแววตาเจ้าเล่ห์

 

“คราวหน้าค่อยทำตอนที่ไม่มีใครขัดจังหวะแล้วกันนะ”

 

เขาจะไม่ปล่อยมือให้ห่างหายอีกแล้ว แปดปีก่อนเขาคว้าไว้ไม่ได้ ทำให้ห่างหายจากความอบอุ่นนี้ไปถึงสี่ปี และตอนนี้ เขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นอีกแน่ แม้จะต้องแสดงออกอีกกี่ครั้ง หรือกระทั่งชั่วชีวิต เขาก็จะทำ

 

สุดท้ายแล้ว แม้จะโดนขัดจังหวะ แต่เบเนดิกต์ก็ไม่ได้หัวเสียอะไรมากเท่ากับเรื่องที่ตนเองโดนเรียกว่าคุณลุง ในขณะที่มาร์ตินซึ่งแก่กว่ากลับถูกเรียกว่าพี่! เห็นทีเขาต้องขึ้นบัญชีดำกับเด็กหญิงไอวิชให้เป็นศัตรูหมายเลขสองรองจากเจ้ายูจีนซะแล้ว!

 

งานนี้ฝากไว้ก่อน เดี๋ยวงานหน้าค่อยเอาคืน!

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again: อู๊ย…บ้าบอ ออกทะเลไปไกลแถมวกกลับมาไม่ได้ด้วย สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นไปเลยค่ะเรื่องนี้ ทุกคนอย่าเพิ่งกระโดดถีบตบตีเรานะก๊ะ งิ้งๆ นี่รวมหลายซีรีส์เข้าด้วยกันมากๆ มาเจอกันได้แบบมั่วไปหมด

 

คราวนี้เป็นเรื่องหลังจากวันที่พี่เบนของเราไปยืนรอสารภาพรักกับคุณศาสตราจารย์ถุงใต้ตาย้อยจนถึงขั้นป่วยไข้ (ในตอน Kokuhaku ซึ่งเกี่ยวพันกับตอน My father is GOD ด้วย เพราะฉะนั้นใครจำไม่ได้ (ซึ่งคาดว่าน่าจะทุกคนที่จำไม่ได้ ฮ่าาา อาจจะงงๆ นิดหน่อย ก็ย้อนกลับไปอ่านสลับไปสลับมาได้นะคะ ตอนแรกกะจะบอกว่าตอนต้นเรื่อง แต่ก็กลัวว่าจะสปอยล์เนื้อหา เลยไม่บอกดีกว่า แหะๆ) งานนี้เราเปิดโหมดเบิร์นปั่นไฟแลบแบบเบลไหน ไฟแรงเฟร่อ! รู้สึกเลยว่าไม่ได้เขียนนานๆ แล้วฝีมือที่ไม่มีอยู่แล้วกลับติดลบลงไปอีก แย่จัง… อะฮื้อ ใครทนอ่านมาได้ถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณมากๆ เลยค่ะ ซาบซึ้งใจ…

 

สักกลางปีหน้าค่อยเจอกันใหม่เนาะ…(สั้นไปรึเปล่านะ หรือว่าปลายปีไปเลยดี ฮ่าาา)

 

แถมรูปปิดท้าย ทำไว้อีกเวอร์ชันนึงค่ะ กะว่าตอนลงฟิคค่อยลงรูป ได้ฤกษ์ซะที นึกว่ารูปจะเป็นหมันเพราะเราไม่ได้แต่งฟิคต่อซะแล้ว ฮ่าาา

freelancesherlock2

[SmaugBo Fanfiction] My precious the series – How to train your dragon E01 Sleep

Title : My precious the series – How to train your dragon E01 Sleep

Pairing : Smaug x Bilbo Baggins

Author : Babibubell

Talk : ฉลองล่วงหน้าให้กับ The Hobbit 3 ฉลองปิดมหากาพย์ไตรภาคให้กับ The Hobbit ฟิคเรื่องนี้เป็นการมโนเรื่องราวหลังจากที่ธอริน โอเคนชิลด์ชนะสงคราม สเมาก์กลายเป็นผู้พ่ายแพ้และไร้บ้าน บิลโบ แบ๊กกินส์จึงรับมันมาอยู่ที่โพรงฮอบบิทด้วยกัน และแน่นอนว่า…มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้ามังกรซึนเดเระนั้นต้องปรับตัว…หุๆๆ

 

 

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

 

 

ที่นี่คือ…ฮอบบิตัน

ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของดินแดนไชร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทวีปมิดเดิลเอิร์ธ หมู่บ้านข้าปักหลักอยู่ที่นี่มานานกี่ชั่วอายุคนแล้วข้าก็ไม่รู้ แต่ตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้าก็อาศัยอยู่ที่นี่แล้วล่ะ

 

เขาว่ากันว่า ฮอบบิทนั้นเป็นพวกหลงใหลการกิน เชี่ยวชาญการบ่มเอล ยาสูบ รักสันติ ความสงบ และผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจ ถ้าท่านจะเห็นพวกเราเหล่าฮอบบิทปลูกพืชผัก ทำไร่ เลี้ยงสัตว์อะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่บ้านข้าออกจะแปลกๆ อยู่เสียหน่อย เพราะบ้านอื่นน่ะเขาเลี้ยงหมูเห็ดเป็ดไก่ แต่บ้านข้าเลี้ยง…มังกร

 

เสียงลมหายใจเข้าออกฟืดฟาดปลุกให้ฮอบบิทตัวจ้อยตื่นจากนิทราอันสงบสุข นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้กลับมานอนที่ฟูกนุ่มๆ ในโพรงใต้ดินอันอบอุ่นแบบนี้ คิดแล้วก็เหมือนฝัน เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่เลย แต่เมื่อการผจญภัยจบลง ทุกอย่างก็กลับมาเข้าที่เข้าทางดังเดิม…

 

ฟืด!

 

…ซะที่ไหนเล่า!

 

ดวงตาสีเข้มกะพริบปริบๆ ก่อนจะปรับสายตาเข้ากับห้องนอนที่มีเพียงแสงจันทร์สาดส่อง เห็นแบบนั้นแล้วถึงรู้ว่ายังอีกยาวนานนักกว่าพระอาทิตย์จะเริ่มทำงานอีกครั้ง คนตัวเล็กลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย มือน้อยๆ ยกขยี้ตาตนเองพลางมองไปทางปลายเตียงที่มีตะกร้าสานใบใหญ่ตั้งอยู่บนฟูกนุ่ม ซึ่งตอนนี้มัน…ว่างเปล่า

 

‘บ้าชิบ’

 

บิลโบ แบ๊กกินส์สบถในใจ ลืมตาตื่นอย่างเต็มที่ ก่อนจะหย่อนปลายเท้าลงกับพื้นห้องด้วยเสียงอันเงียบกริบ ไฟดวงน้อยในเชิงเทียนสว่างขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มถือมันแล้วเริ่มเดินไปตามเสียงลมหายใจที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

 

ไม่นานนักเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าหีบใบย่อม พอรู้แน่ชัดว่าต้นเสียงมาจากตรงไหน ริมฝีปากก็เบะออกอย่างหน่ายๆ ก่อนจะกลอกตาขึ้นเพดาน เอื้อมมือไปเปิดฝาหีบขึ้น

 

มันเป็นหีบที่บรรจุเหรียญทองและถ้วยทองคำที่เขานำออกมาจากเอเรบอร์ก่อนหน้านี้ ตั้งใจว่าจะเอาไว้เก็บพวกสมบัติที่มีค่าของเขาทั้งหลาย แต่ดูจากตอนนี้แล้ว ในหีบไม่ได้มีแค่พวกทองคำอย่างเดียวแล้วล่ะ

 

มังกรสีแดงเข้มตัวย่อมกำลังขดหัวขดหางนอนอยู่บนเหรียญพวกนั้นอยู่ด้วยน่ะสิ!

 

เขาส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ให้กับพฤติกรรมแก้ไม่หายของเจ้ามังกรตัวนี้ หลังจากที่ทุกอย่างจบลง ธอริน โอเคนชิลด์ทวงคืนบ้านเกิดได้สำเร็จ อาชญากรสงครามอย่างเจ้านี่พ่ายแพ้ กลายเป็นว่ามันไม่มีที่ไป แน่นอนว่าใครๆ ต่างพากันตั้งแง่รังเกียจ ยกเว้นก็แต่เขา

 

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่เราสองได้สนทนากันในท้องพระโรงของเอเรบอร์นั้น มันทำให้เขารู้ว่า จริงๆ แล้วเจ้านี่ไม่ได้เลวร้ายแบบที่ใครๆ คิด

 

ดวงตาสีทองที่จ้องมองด้วยพลังอำนาจ น้ำเสียงกังวานที่เปล่งออกมาอย่างน่าเกรงขาม อารมณ์ฉุนเฉียวที่แสดงออกนั้น ทำเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนเอง

 

เจ้านี่มันก็แค่มังกรขี้เหงาตัวนึงเท่านั้น

 

ริมฝีปากสวยระบายยิ้มบางๆ ก่อนจะกระแอมไอแล้วตีหน้าขึงขัง เอื้อมมือไปสะกิดหลังสีเข้มที่ดูเหมือนว่าพอกลายร่างให้หดเล็กลงแล้วเกล็ดและผิวหนังก็ดูจะบางลงไปด้วย มันพยายามนอนขดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อยัดตัวเองลงไปในหีบใบนั้น หางยาวๆ พาดม้วนกลับมาถึงช่วงคอ ดูเผินๆ แล้วรู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก

 

“สเมาก์”

 

เขาสะกิดเบาๆ พลางเรียกชื่อเจ้ามังกรขี้เซานั่น ทำแบบนี้อยู่สองสามครั้ง ลมหายใจที่ส่งเสียงฟืดฟาดก็เบาลง ดวงตาสีทองค่อยๆ ลืมขึ้นและเหลือบมองมายังเขาด้วยสายตาเขม็งที่ติดจะหงุดหงิดราวกับรำคาญผู้มาใหม่ที่มาขัดขวางการนอนของมันไม่มีผิด

 

“มีเรื่องอะไรงั้นรึ…เจ้าหัวขโมย ฝีเท้าเจ้ายังเบาเหมือนเดิมนะ”

 

ตื่นมาก็พูดจาประชดแดกดันจนบิลโบอยากจะเอาเชือกมามัดปากเสียๆ ของมันให้รู้แล้วรู้รอด เขายืนเท้าเอวส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างรำคาญกลับไปบ้าง แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ใส่ใจอะไรนัก มันกลอกตาขึ้นมองเขา ก่อนจะพ่นลมหายใจดังฮึ แล้วหลับตาลงเช่นเดิมแบบไม่ยี่หระ

 

หน็อยแน่ะ! เจ้าหนอนยักษ์นี่!

 

“ที่นอนก็มีทำไมไม่รู้จักไปนอน มาใช้หีบสมบัติข้าต่างที่นอนอยู่ได้”

 

พอสิ้นเสียงบ่นเล็กๆ มันก็ลืมตาเหลือบมองมายังฮอบบิทเจ้าบ้านอีกครั้ง ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทางแล้วเอ่ยเสียงแข็ง

 

“ข้าชอบนอนกับของมีค่า เจ้าก็รู้ ฮึ…”

 

พูดจบก็เบนหน้าแล้วเอาปากยาวๆ ซุกเข้าไปในถ้วยทองคำทันที บิลโบเห็นพฤติกรรมนั้นก็แอบขำคิกคักอยู่ในใจ นึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้

 

ใช่แล้ว…เจ้านี่คือมังกรสเมาก์ มังกรผู้หลงใหลในแก้วแหวนเงินทองของมีค่า และมักจะนอนหลับอยู่บนกองเพชรนิลจินดาเหล่านั้น ครั้งแรกที่เขาพามันกลับมายังโพรงฮอบบิทแห่งนี้ ดวงตาสีทองของมันดูหวาดๆ เหมือนเด็กน้อยพลัดถิ่นไม่มีผิด เพราะบ้านเขาไม่เหมือนกับที่ที่มันเคยอยู่เลยสักนิด ไม่มีสิ่งของใดมีค่าอย่างที่ที่มันจากมา เพราะวิถีชีวิตของฮอบบิทนั้นเรียบง่าย ไม่ได้ต้องการทองคำใดๆ มากไปกว่าอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ครบทุกมื้อ

 

พอเป็นแบบนั้นแล้ว…เจ้านั่นเลยกังวลใจล่ะมั้ง

 

“ข้ารู้ๆ แต่ตอนนี้ที่นี่ไม่ใช่หุบเขาเดียวดายที่เจ้าเคยครอบครองอีกแล้ว เจ้าจะมาทำอะไรตามแต่ใจตนไม่ได้ ที่นี่บ้านข้า และเจ้าต้องกลับไปนอนในตะกร้า ลุกออกมาจากหีบสมบัติข้าเดี๋ยวนี้!”

 

“หีบสมบัติของเจ้ารึ? เจ้าหัวขโมย…”

 

ทันทีที่บิลโบพูดจบ สเมาก์ก็หันหน้ามามองและสวนกลับทันควันด้วยน้ำเสียงเยาะๆ เล่นเอาคนถูกแดกดันถึงกับไปต่อไม่ถูก เขายืนกำหมัดแน่น ทั้งโกรธและเจ็บใจจนควันออกหู แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นช่างแทงใจดำเขาเหลือเกิน

 

สเมาก์ที่เห็นฮอบบิทตัวจ้อยเงียบเสียงไป ไม่ต่อล้อต่อเถียงใดๆ อีกก็ก้มหน้าลงนอนดังเดิม ก่อนจะหลับตาและเอ่ยเสียงเบาราวกับลมหวีดหวิวในฤดูหนาว

 

“เจ้ากลับไปนอนที่เตียงของเจ้าเถิด นั่นไม่ใช่ที่ของข้า และข้าจะนอนที่นี่”

 

บิลโบได้แต่มองแผ่นหลังเล็กๆ ที่นอนนิ่งไม่ไหวติง แผ่นหลังที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่ เขารู้ดีว่าสเมาก์รู้สึกยังไงที่ตนเองต้องตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ แต่เขาจะพูดอะไรได้ เพราะส่วนหนึ่งที่ทำให้สเมาก์กลายมาเป็นแบบนี้ก็คือเขา

 

เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบของค่ำคืนไหลผ่านไปเรื่อยๆ บิลโบ แบ๊กกินส์จึงเดินกลับเข้าห้องนอนตนเองไปอย่างช้าๆ ด้วยหัวใจที่เต้นแผ่วเบาราวกับกำลังเสียใจเรื่องอะไรบางอย่าง บางอย่างที่หัวใจตนเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก มันเหมือนกับความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ…

 

ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนเดียวที่รู้จักตัวตนของอีกฝ่าย เป็นคนเดียวที่ยอมรับเจ้านั่น แล้วทำไมสเมาก์ถึงต้องปฏิเสธเขาด้วย

 

ความคิดที่ไร้ซึ่งทางออก ฮอบบิทตัวน้อยครุ่นคิดไปมาจนผล็อยหลับไปในห้วงนิทราอันเดียวดาย

 

 

 

 

 

คืนถัดมา ตะกร้าสานของเขาก็ยังคงว่างเปล่าเช่นเคย

 

มันเป็นตะกร้าสานสีน้ำตาลเข้ม ทำจากเส้นใยพืชน้ำชนิดหนึ่งที่เหนียวและคงทน ขนาดพอดีกับอีกฝ่ายตอนกลายร่างเป็นขนาดเล็ก เคลือบยางไม้กันเสี้ยนไม่ให้ขรุขระแถมลงเงาจนดูวาววับสวยงาม ทุกขั้นตอนเขาตั้งอกตั้งใจทำอย่างประณีต รองด้วยผ้าถักโครเชต์สีขาวสะอาดที่ลงมือถักเองอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะนำขนเป็ดทั้งหลายยัดใส่ผ้าฝ้ายสีน้ำตาลอ่อนเย็บเป็นหมอนนุ่มใบย่อมเพื่อให้อีกฝ่ายทิ้งตัวลงนอนได้อย่างมีความสุข

 

แต่สุดท้าย…เจ้านั่นก็ไม่เห็นค่าของมันเลยสักนิด

 

เขามองกระดุมเม็ดเล็กๆ สีสันสวยงามที่ถูกเย็บตกแต่งไปตามริมขอบผ้าโครเชต์ที่เย็บทับริมขอบตะกร้าอย่างงดงามแล้วก็ทอดถอนใจ ใจนึงคิดอยากจะไปตามสเมาก์ให้กลับมานอนดีๆ ที่ตะกร้า แต่อีกใจก็พลันคิดว่าหากไปตามกลับมา ผลที่ได้คงไม่ต่างจากคืนก่อนๆ มากนัก

 

เงาของคนที่นั่งอยู่บนเตียงวูบไหวตามเปลวเทียนที่ขยับไปมา ไม่ต่างอะไรจากหัวใจของเขาที่มันแกว่งไกวไม่มั่นคงอย่างครั้งเก่าก่อนที่จะได้พบเจอกัน

 

เรือนผมสีน้ำตาลเบนหน้ามองไปยังทางเดินกว้างอันเป็นที่ตั้งของหีบสมบัติ ดวงตาเหม่อมองไปยังจุดจุดนั้นอย่างเศร้าสร้อยพลางยิ้มขื่นๆ ให้กับตนเอง เขาไม่มั่นใจเลยว่า การรับสเมาก์มาอยู่ด้วยเป็นความคิดที่ถูกหรือไม่ ครั้งแรกที่เขาเอ่ยปากบอกความคิดนี้ออกไป เป็นตอนที่ทุกฝ่ายต่างยืนรายล้อมเจ้ามังกรตัวนั้นเพื่อเตรียมลงโทษทัณฑ์ประหาร แต่พอประโยคของเขาสิ้นสุดลง ทุกสายตาต่างจ้องมองมายังฮอบบิทอย่างเขาด้วยความตกใจ ไม่ใช่แค่เหล่าคนแคระ เอลฟ์ หรือพ่อมดอย่างแกนดาล์ฟ แม้แต่สายตาของเจ้าตัวมังกรเองนั้นยังมองมายังเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ แน่นอนว่าทุกคนย่อมคัดค้าน กระทั่งสเมาก์ยังเอ่ยปากว่าขอยอมตายดีกว่าหากต้องอาศัยอยู่กับเขา แต่ว่า…เมื่อฮอบบิทตั้งใจแน่วแน่แล้วย่อมไม่ล้มเลิกความคิดง่ายๆ

 

สุดท้าย…ผลก็เป็นดังเช่นทุกวันนี้

 

เขาอ้างต่อหน้าทุกๆ คนว่าเขาตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสเมาก์ให้ได้ อ้างคำที่แกนดาล์ฟเคยพูดเอาไว้ อ้างเหตุผลเดียวกับที่แกนดาล์ฟดึงเขาไปร่วมการผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ ‘เรื่องเล็กน้อยที่คนธรรมดาทำในทุกๆ วันจะขับไล่ความชั่วร้ายให้ห่างไกล’ เขาอ้างไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วก็แค่…อยากอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น

 

ปลายเท้าสัมผัสกับพื้นไม้อีกครั้งก่อนจะเดินตรงไปยังหีบสมบัติใบเล็ก บิลโบยกมือขึ้นค้างอยู่เหนือหีบ สองจิตสองใจว่าจะเคาะเรียกอีกฝ่ายดีหรือไม่ แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ รวบรวมความกล้าและเคาะมือลงไปยังฝาหีบเบาๆ

 

“สเมาก์…กลับไปนอนที่เตียงกับข้าเถอะ”

 

“…”

 

เงียบกริบ ไร้เสียงใดๆ ตอบรับ ชั่วเวลาที่ยืนรอคำตอบของอีกฝ่ายนั้นเพียงเสี้ยววินาที แต่ในความรู้สึกของเขามันนานนับชั่วกัปชั่วกัลป์ หัวใจของฮอบบิทหนุ่มเต้นแรงจนแทบระเบิดออกมานอกอก

 

“สเมาก์…”

 

“ข้าจะนอนที่นี่ เจ้าหัวขโมย จะนอนกับของมีค่าอยู่ที่นี่ ตรงนั้นไม่มีสิ่งใดมีค่าพอให้ข้าทิ้งตัวลงนอนได้อย่างสงบใจ เจ้ากลับไปนอนที่เตียงของเจ้าเสียเถิด”

 

น้ำเสียงทรงพลังที่เปล่งออกมาดังก้องทั้งหีบเล็กๆ แต่ละประโยคที่เอ่ยออกมานั้น คนพูดคงไม่รู้หรอกว่าได้ทำร้ายจิตใจคนฟังไปมากแค่ไหน ไม่มีสิ่งใดมีค่ารึ? ฮึ…ฟังแล้วน่าน้อยใจชะมัด

 

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาตั้งใจทำ มันไม่มีค่าในสายตาอีกฝ่ายเลยหรืออย่างไร

 

บิลโบ แบ๊กกินส์ไม่เอ่ยคำใดต่อ เขาก้มหน้านิ่ง กำหมัดแน่น คล้ายกับดวงตาสีเข้มจะมีน้ำใสเอ่อคลอ ริมฝีปากสั่นระริก แว่วเสียงสะอึกดังฮึกขึ้นมาคราหนึ่ง แต่เจ้าตัวพยายามกลั้นเสียงเหล่านั้นไว้ และเปล่งน้ำเสียงออกไปให้ราบเรียบและเป็นธรรมชาติที่สุด

 

“ตะ…ตามใจ”

 

เสียงฝีเท้าแผ่วเบาค่อยๆ เดินจากไป ทิ้งให้มังกรเดียวดายนอนอยู่ในหีบใบนั้น เปลือกตาบางของสเมาก์ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ มันเบี่ยงศีรษะไปยังทิศทางที่เสียงย่ำฝีเท้าจากไป แม้จะเห็นแต่ความมืดมิดภายในหีบ แต่ไม่รู้เหตุใด…ดวงตาสีทองจึงคล้ายเห็นแผ่นหลังเล็กๆ อันสั่นไหวค่อยๆ ลับหายไปจากสายตา

 

 

 

 

 

อึดอัด…

 

นั่นเป็นความรู้สึกแรกที่ฮอบบิทตัวจ้อยรับรู้เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมากลางดึก เขาพยายามจะพลิกตัวซ้ายขวา ขยับแขนไปมา แต่กลายเป็นว่าขยับไม่ได้เลยสักนิด ความคิดแว้บแรกที่โผล่เข้ามาในสมองคือถูกผีอำ ใจนึกหวาดกลัวจนไม่กล้าลืมตาขึ้นมอง จินตนาการไปถึงสิ่งชั่วร้ายและน่ากลัวที่สุดที่เคยพบเห็นมา แต่ถึงแม้จะผ่านการผจญภัยมามากแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะคุ้นเคยกับความรู้สึกอันตรายหรือกดดันแบบนี้ได้หรอก

 

ยิ่งกระดุกกระดิกตัวไปมามากเท่าไหร่ กลับยิ่งรู้สึกอึดอัดราวกับจะหายใจไม่ออก เขายังคงหลับตาปี๋จนหัวคิ้วขมวดแทบติดกัน หลังจากนอนนิ่งกลัวอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลองสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และเริ่มขยับนิ้วมือเล็กๆ ทั้งสิบดูพบว่ามันไม่ได้ถูกมนต์ดำแบบร่างกายส่วนอื่น จากตอนแรกที่สติแตกก็เริ่มตั้งสติได้ เขาเพิ่งรู้สึกตัวว่าจมูกของตนนั้นใกล้ชิดอยู่กับอะไรบางอย่างจนได้กลิ่นอ่อนๆ คล้ายกลิ่นใบไม้ใบหญ้าและกลิ่นควันไฟ ใต้ศีรษะก็ดูแข็งเกินกว่าจะเป็นหมอนหนุนหัวใบโปรดของเขา แถวๆ หน้าอกเหมือนมีท่อนไม้ใหญ่มาพาดไว้จนอึดอัดต้องหายใจเข้าออกแรงๆ แถมตรงช่วงล่างยังรู้สึกเหมือนมีใครมานั่งทับอีกด้วย

 

ผีอำ…ผีอำแน่ๆ!

 

ฮอบบิทหนุ่มนับหนึ่งถึงสิบในใจ เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันมากขึ้น พอนับถึงสิบพลันค่อยๆ หรี่ตามองภาพที่อยู่ตรงหน้า มันไม่มีอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า เป็นเพียงโต๊ะวางของและตู้ติดผนังในห้องนอนของเขาเหมือนเดิม ดวงตาเริ่มกลอกซ้ายขวาเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลง แต่ด้านหน้าเขานั้นไม่มีอะไรจริงๆ ขณะที่กำลังงุนงงอยู่นั้น บิลโบเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างอีกครั้ง มันเป็นลมอุ่นๆ ที่พัดมาจากทางด้านหลังศีรษะเขาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลมนั้นไม่แรงมากนักแต่ก็แรงพอจะทำให้ไรผมตรงข้างขมับขยับยุกยิกได้ และตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่ามีมือใครบางคนวางแหมะอยู่บนศีรษะเขา

 

บิลโบ แบ๊กกินส์ค่อยๆ หันศีรษะไปข้างหลังช้าๆ พลางเหลือบสายตาตามไปด้วย ลมอุ่นๆ ยังคงเป่าอยู่อย่างนั้นพร้อมๆ กับกลุ่มเงามืดดำที่ทาบทับนอนอยู่ข้างกายเขา

 

ภายใต้แสงจันทร์ สิ่งที่เขามองเห็นคือ ใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่ง ฮอบบิทตัวน้อยเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วพบว่า ตนเองกำลังใช้แขนซ้ายของชายแปลกหน้าผู้นี้หนุนนอนต่างหมอน ส่วนบริเวณหน้าอกที่รู้สึกอึดอัดดั่งมีท่อนไม้มาพาดทับนั่นคือท่อนแขนแกร่งของชายหนุ่ม ไม่ต้องบอกว่าช่วงล่างเขาที่นึกว่าโดนผีนั่งทับมันคืออะไร แน่นอนว่ามันเป็นท่อนขาของอีกฝ่ายที่นอนกอดก่ายเขาอยู่นั่นเอง

 

บิลโบ แบ๊กกินส์เอียงศีรษะขึ้นช้าๆ ราวกับกลัวว่าชายแปลกหน้าจะผวาตื่นขึ้นมาแล้วทำร้ายตน ดวงตาสีเข้มเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาสงสัยระคนตื่นตระหนก คำถามมากมายวิ่งวนเวียนอยู่ในหัวว่าชายคนนี้เป็นใคร เข้ามาอยู่ในโพรงฮอบบิทของเขาได้อย่างไร แล้วเหตุใดถึงได้มายึดตัวเขากอดก่ายแทนหมอนข้างเช่นนี้

 

เมื่อมองอย่างเต็มตาพลันพบว่า ชายผู้นี้มีเส้นผมสีน้ำตาลแดงเข้ม หยักยุ่งแต่ดูนุ่มน่าสัมผัสนัก เรียวคิ้วสวยโค้งได้รูปรับกับจมูกโด่งคมสันที่ยังพ่นลมหายใจอุ่นๆ รินรดใส่เขาสม่ำเสมอ เปลือกตาบางปิดสนิทจนเห็นเป็นแพขนตาสีดำยาว เรียวปากบางหยักสวย โครงหน้าเรียวยาวรับกับทุกส่วนสัดของใบหน้า งดงามราวกับรูปปั้นเอลฟ์

 

ดวงตาจ้องมองชายแปลกหน้าด้วยความรู้สึกแปลกๆ มือเล็กที่วางอยู่ข้างลำตัวค่อยๆ ยกขึ้นหมายจะแตะต้องโครงหน้างดงามนั่น แต่เมื่อปลายนิ้วเกือบจะสัมผัส เสียงทุ้มต่ำกลับดังขึ้นเสียก่อน

 

“เจ้าจะมองหน้าข้าอีกนานมั้ย? เจ้าหัวขโมย”

 

บิลโบสะดุ้งโหยงทันที กะพริบตาปริบๆ ด้วยความแปลกใจ น้ำเสียงที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากสวยได้รูปนั่นช่างคุ้นเคยนัก ไหนจะสรรพนามที่ใช้เรียกเขาอีก เหมือนกับได้ยินมาเนิ่นนาน เหมือนกับเคยเจรจากันอยู่ทุกวัน เหมือนกับ…เสียงที่ดังก้องอยู่ในหีบสมบัติของเขา

 

“ส…สเมาก์!”

 

“ชู่ว…อย่าเสียงดังได้มั้ย…ข้าจะนอน”

 

คราวนี้เจ้าสิ่งมีชีวิตตัวน้อยดวงตาเบิกโพลง เริ่มดิ้นขลุกขลักให้หลุดจากอ้อมกอดเจ้ามังกรปากร้ายในคราบมนุษย์ทันที ไม่รู้ทำไมว่าพอรู้ว่าชายแปลกหน้าคนนี้คือใคร ไอ้ความเขินอายมันถึงมีมากขึ้นกว่าตอนที่คิดว่าเป็นคนแปลกหน้ามากนัก แต่ดูเหมือนว่ายิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ อ้อมแขนแกร่งของสเมาก์กลับยิ่งรัดแน่นมากกว่าเดิม

 

ตอนเจ้านี่อยู่ในร่างมังกรจิ๋วยังไม่เคยใกล้ชิดกันขนาดนี้ แล้วนี่นึกเพี้ยนอะไรขึ้นมา มาบ้าแปลงกายเป็นร่างมนุษย์ แล้วเที่ยวไล่กอดคนอื่นเขาแบบนี้นี่!

 

“ทำไมเจ้าไม่กลับไปนอนในตะกร้าของเจ้าเล่า!”

 

พอดิ้นแล้วไม่ยอมปล่อย บิลโบเลยใช้วิธีออกปากไล่เสียเลย เจ้ามังกรเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายใส่หน้าคนตัวเล็กจนเส้นผมสีน้ำตาลปลิวกระจาย ดวงตาสีเข้มหลับตาลงเพื่อหลบลมอุ่นๆ นั่น

 

“เจ้าหัวขโมย เจ้านี่มันโง่เง่ายิ่งนัก”

 

“อะ…อะไรเล่า!”

 

“ข้าจะบอกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ว่าที่ตรงนั้นมันไม่มีสิ่งใดมีค่ามากพอให้ข้าทิ้งตัวลงนอน”

 

“ส…สเมาก์!”

 

“และข้า…ชอบนอนกับของมีค่า เจ้าก็รู้”

 

สิ้นเสียงทุ้มต่ำที่เปล่งออกมาอย่างจริงจังนั้น ก้องกังวานไปทั่วทั้งหัวใจของฮอบบิทหนุ่ม สเมาก์เอ่ยประโยคนั้นออกมาด้วยความรู้สึกแบบไหนนั้นบิลโบไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะอีกฝ่ายนั้นพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเอ่ยทักทายกล่าวคำว่า ‘สวัสดีตอนเช้า’ ทั่วๆ ไป

 

ความรู้สึกเหน็บหนาวยามค่ำคืนกลับอบอุ่นขึ้นมาทันที ทั่วสรรพางค์กายกลับร้อนผ่าว โดยเฉพาะใบหน้าของเขานั้น บิลโบไม่คิดเลยว่าหน้าตัวเองจะร้อนได้ขนาดนี้ ร้อนราวกับมีใครเอาไฟสุม

 

“จะ…เจ้าพูดบ้าอะไรน่ะ”

 

“ชู่ว…เจ้าหัวขโมย เงียบเสียที ข้าจะนอนแล้ว และเจ้าก็ควรจะนอนเช่นกัน”

 

พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างใบหู เสียงเอ่ยงึมงำนั้นพาสติของบิลโบ แบ๊กกินส์ล่องลอยไปไกลแสนไกล หากแต่ไม่นานพลันรู้ตัวเมื่อเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังขึ้นอีกครา สเมาก์หลับไปแล้ว หลับไปพร้อมกับกระชับอ้อมกอดที่ยึดฮอบบิทตัวน้อยเอาไว้แนบแน่น เรือนผมสีน้ำตาลเงยหน้าขึ้นมองเจ้ามังกรขี้เซาในร่างมนุษย์ ใบหน้าเฉยชาและหยิ่งผยองนั้นมันน่าหมั่นไส้เสียจนอยากจะบีบจมูกโด่งๆ นั่นให้เจ็บนัก

 

เหลือบมองต่ำไปยังตะกร้าใบน้อยที่วางอยู่ปลายเตียง เห็นแล้วอยากจะใช้เท้าถีบให้ตะกร้าแบบนั้นตกจนชำรุดไป เพื่อที่ว่า คืนวันต่อๆ ไป เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลารบเร้าให้เจ้ามังกรปากร้ายนั่นลงไปนอนในนั้นอีก คิดแบบนั้นแล้วก็อดที่จะยกยิ้มไม่ได้ ความสุขที่อัดแน่นอยู่ในอก ทำให้เขาเผลอไผลเอาหน้าซุกไซ้เข้าหาแผ่นอกแกร่งของสเมาก์โดยไม่รู้ตัว ก่อนจะก้าวล่วงเข้าสู่นิทราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดทั้งคืน

 

เขาแค่อยากให้เจ้ามังกรนั่นเลิกนอนในหีบสมบัติของเขาก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอย่างอื่นแอบแฝงจริงๆ นะ

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again : กลับมาแย้วววว กลับมาพร้อมกับซีรีส์เรื่องใหม่ (เรื่องเก่าคืออะไร ดองกันต่อไป เอิ๊ก /เซิ้ง) หายไปเกือบสามเดือนในที่สุดก็แอบอู้งานมาลงฟิคจนได้ จริงๆ เรื่องนี้แต่งไว้ตั้งแต่ประมาณปลายเดือนพฤศจิกา หลังจากที่รู้ว่าแต่งฟิคฮัลโลวีนไม่ทัน แต่งไปได้หนึ่งในสาม แล้วก็อ่า…มันเลยมาเป็นเทศกาลป๊อกกี้เดย์แล้ว ก็เลยเลิกแต่งฮัลโลวีน (เดี๋ยวเก็บไว้ใช้ปีหน้า อิๆ) แล้วหันไปแต่งป๊อกกี้เดย์แทน แต่งไปได้ประมาณสิบย่อหน้า รู้ตัวอีกที อ่าวอีกสิบกว่าวันฮอบบิทสามจะเข้าแล้วนี่นา เลยเลิกแต่งป๊อกกี้เดย์ (เดี๋ยวเก็บไว้ใช้ปีหน้าอีกอัน สบายละ ปีหน้ามีสต็อกฟิคสองเรื่อง อิๆ) แล้วหันมาแต่งฟิคฮอบบิทแทน อิๆ

 

โดยส่วนตัวชอบคู่สเมาก์กับบิลโบมาก ตอนภาคสอง (ดินแดนเปลี่ยวร้าง) นี่เข้าไปดูในโรงถึงสามรอบเพื่อฟินฉากจีบกันในท้องพระโรงเอเรบอร์เลยทีเดียว เมื่อฟินเสร็จก็มโนต่อมากลายมาเป็นฟิคเรื่องนี้แล…

 

และรูปที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนฟิคตอน Sleep คือ รูปนี้ค่ะ

Featured image

(Thanks : http://semie.deviantart.com/art/Smaug-Bilbo-baggins-366984044)

 

คาดว่าหลังจากนี้อาจจะหายหน้าหายตาไปนานอีกเช่นเคย ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะก๊ะ… T v T ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ไปบ่นไปสครีมไปด่ากันได้ที่ ทวต. @babibubell นะก๊ะ ><

[RichLee Fanfiction] Eugene the series – E10 Eugene First Class E02

Title : Eugene the series – E10 Eugene First Class E02 (END)

Pairing : Richard Armitage x Lee Pace and Little Eugene ft. Chris Pine and Martin Freeman

Author : Babibubell

Talk : จริงๆ เรื่องนี้แต่ง (เกือบ) เสร็จไว้ตั้งแต่ลงตอนแรกแล้ว แต่เหลือตอนท้ายๆ ที่มันยังไม่โอเคสักที (ที่แต่งมาก็ใช่ว่าจะโอเค ฮ่า) เป็นตอนจบของภาคกำเนิดยูจีนแล้วค่ะ แถมในเรื่องมีเกริ่นๆ คู่ของคุณศาสตราจารย์มาร์ตินไว้ด้วยเล็กน้อย ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะก๊ะ ><

 

ใครที่เพิ่งเปิดมาเจอ ย้อนกลับไปอ่านตอนแรกกันก่อนนะคะ ที่นี่เลย [RichLee Fanfiction] Eugene the series – E10 Eugene First Class E01

 

ป.ล. ลงฟิคเรื่องนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ถ้าครั้งนี้เวิร์ดเพรสยังงอแงไม่เว้นบรรทัดให้เราอีก เราจะโป้งยูจีนแล้วนะ! T w T

 

 

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

 

 

บรรยากาศยามเช้าในฤดูหนาวว่าหดหู่แล้ว แต่บรรยากาศในห้องพักที่ตั้งอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่งตรงหัวมุมถนนวิกโลว์ในตอนนี้นั้นหดหู่ยิ่งกว่า จากที่เมื่อสิบนาทีก่อนมีชายหนุ่มเพียงสองคนในห้อง บัดนี้กลับเพิ่มมาเป็นสามพร้อมปัญหาปวดหัวอีกหนึ่งอย่าง เล่นเอาริชาร์ด อาร์มิเทจถึงกับกุมขมับ

 

แค่ตัวปัญหาที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียง เขาก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว นี่ต้องมาเจอปัญหาบ้าบอสุดๆ ที่เขารู้สึกว่าไม่เห็นจะต้องมารู้เรื่องเลยด้วยซ้ำอีก ก็เล่นเอาไมเกรนแทบขึ้น

 

ชายหนุ่มสามคนนั่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าวในโซนห้องครัว ต่างคนต่างนั่งคนละด้าน หันหน้าเข้าหากันเหมือนจะประชุมอะไรสักอย่าง

 

คนมาใหม่เป็นชายหนุ่มตัวเล็ก ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนเกือบทองดูนุ่มนวลน่าจับต้องนั่นตกลงมาปรกหน้าปรกตาเพราะเจ้าตัวก้มหน้าจนคางแทบจะติดอก และอย่าคิดว่าหมอนี่เป็นแฟนหนุ่มของเขานะ เพราะเจ้าฮอบบิทนี่ห่างชั้นกับคุณเอลฟ์ผู้สง่าของเขาเยอะ

 

เจ้านี่ก็แค่เด็กข้างบ้านที่คอยวิ่งตามตูดเขาต้อยๆ คอยเอาปัญหามาให้เขาแก้ได้ตลอดนั่นแหละ

 

และตอนนี้ก็เช่นกัน

 

“สรุปว่า…เมื่อคืนนายโดนใครหิ้วไปนอนด้วยก็ไม่รู้งั้นรึ?”

 

ในที่สุดก็เป็นริชาร์ดที่ทนกับความเงียบอันน่าอึดอัดไม่ไหว เขาวางมือลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบาข้างๆ จานแซนด์วิชที่เหลือจำนวนอยู่เกินครึ่ง แต่ก็ไม่มีใครแตะต้องมันอีกทั้งๆ ที่เพิ่งกินไปได้นิดเดียว นิ้วเรียวไล่เคาะโต๊ะเป็นจังหวะคล้ายเสียงควบม้า รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ปกครองที่กำลังสอบสวนลูกสาวที่ริอ่านมีแฟนหนุ่มตอนไฮสคูลยังไงก็ไม่รู้

 

คนถูกถามพยักหน้าหงึกหงักพลางก้มหน้างุดๆ ด้วยความอับอาย พอได้เห็นคำตอบแบบนั้นคนแก่สุดของห้องก็นึกอยากจะเขกกะโหลกเจ้าคนตัวเล็กที่นั่งหน้าแดงอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาให้มันร้องจ๊ากออกมาดังลั่น แต่ก็ติดตรงที่ถ้าเสียงดังเดี๋ยวลูกสาวตัวจริงเขาจะตื่นเสียฉิบ เลยทำได้แค่ตีสีหน้าเหนื่อยหน่ายและถอนหายใจเบาๆ

 

“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าดื่มเยอะ คออ่อนแล้วไม่เจียม ไม่เคยจะเชื่อกันเลย แล้วก็ไม่ต้องมาทำหลบตาเลยคริส! นายน่ะแหละตัวดี อย่าเห็นไอ้เปี๊ยกนี่เป็นตัวทดลองค็อกเทลสิเฮ้ย!”

 

คนถูกคาดโทษสะดุ้งเฮือกทันทีที่ได้ยินเสียงทุ้มตวาดชื่อตนก่อนจะยิ้มแหะๆ เกาแก้มแก้เขินกลับไปโดยไม่ปฏิเสธอะไรสักคำ

 

“แล้วไอ้หมอนั่นเป็นใคร?”

 

พอทะเลาะกับลูกน้องเพื่อระบายอารมณ์ไม่ได้เพราะรายนั้นเอาแต่ยิ้มหน้าซื่อตาใส ก็เลยหันกลับมาคาดคั้นใส่ตัวการแทน

 

“ไม่รู้ ตื่นเต้นจัด รีบวิ่งออกมาก่อนเลยจำชื่อไม่ได้”

 

“แล้วตอนอ่อยตอนเฟลิร์ตใส่กันเมื่อคืนไม่ได้แนะนำตัวกันรึไง? แล้วไหนนายบอกว่าเห็นบัตรนักศึกษาไง ทำไมไม่จำชื่อไว้เล่า”

 

“แค่เห็นบัตรก็ตกใจจะแย่แล้วเฟ้ย! ใครจะไปอ่านชื่อทันวะ…”

 

“อายุเท่าไหร่?”

 

“อ่า…ไม่สิบแปดก็สิบเก้าอะ เห็นเขียนว่าอยู่ไฮสคูล ปีสุดท้าย”

 

งุบงิบๆ งึมงำตอบเสียงอ่อยพลางเหลือบตามองคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่พอได้ยินคำตอบดังนั้น ทั้งเจ้านายผมดำและลูกน้องผมสีน้ำตาลแดงเข้มก็ทำตาโตและตะโกนออกมาพร้อมกันทันที

 

“ไฮสคูล!”

 

“อะ อื้อ”

 

ก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมจนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตกลงมาปิดหน้าปิดตาซ่อนใบหน้าแดงๆ ที่แสนจะเขินอายเอาไว้ ให้ตายสิ น่าอายชะมัดที่โดนเด็กหลอกเอาน่ะ ก็แหม…เมื่อคืนมันมืดๆ แล้วก็เมามากเลยมองหน้าไม่ค่อยชัดนี่นา ที่จำได้ก็แค่เพียงกลิ่นหอมสดชื่นอย่างกับส้มแมนดาริน แต่ก็…เร้าอารมณ์ยามอยู่ใกล้ยังไงก็ไม่รู้

 

“ไม่รู้จักชื่อ จำหน้าก็ไม่ได้ แถมยังขโมยเสื้อโค้ตเขามาอีกอะนะ ให้ตายเหอะมาร์ติน นายนี่มัน…”

 

ริชาร์ดอยากจะตะโกนให้ลั่นบ้าน แต่ก็ทำไม่ได้ เขายืนขึ้น กำหมัดแน่นก่อนจะกระแทกลงโต๊ะเสียงดังตึ้งแทนเพื่อระบายความอึดอัดใจ จนคนตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสะดุ้งเฮือก ตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความกังวล

 

“อะ…อะไรเล่า ก็มัน…เผลอนี่นา แล้ว แล้วทีนี้จะทำยังไงดีอะ ช่วยกันคิดหน่อยสิ”

 

มาร์ติน ฟรีแมนร้อนรนจนเอ่ยออกมาเสียงสั่น ไอ้ที่เสียไปน่ะไม่ได้คิดอยากทวงคืนหรือให้มารับผิดชอบอะไรหรอกนะ แต่สำนึกผิดชอบชั่วดีกำลังทำงานอย่างหนัก เพราะหมอนั่นแค่เด็กไฮสคูล เด็กไฮสคูลเชียวนะ! ชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรเขาก็ไม่รู้ นี่เขาพรากผู้เยาว์ไปแล้ว แล้วถ้าเกิดหมอนั่นถ่ายคลิป แบล็กเมล์ ไปฟ้องผู้ปกครองให้มาเอาเรื่อง หรืออะไรสักอย่างจนเกิดปัญหาตามมา อนาคตเขาดับวูบแน่ โธ่…เพิ่งได้เป็นอาจารย์เข้าสอนในมหา’ลัยยังไม่ทันถึงปีเลยด้วยซ้ำ ฮื้อ

 

“ไม่ช่วยเฟ้ย! เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอาเอง ไอ้เด็กไม่รู้จักโต!”

 

“ได้ไง นายเป็นพี่ชายข้างบ้านฉันนะ ต้องช่วยแก้ปัญหาสิ”

 

“อดีตพี่ชายข้างบ้านครับ จำใหม่ซะด้วย”

 

“ไม่รู้แหละ ยังไงก็ต้องช่วยกันคิดเซ่!”

 

“ไม่!”

 

“ริชาร์ด!”

 

“เอ่อ…ขอโทษที่ขัดจังหวะครับ”

 

คริส ไพน์ที่นั่งอยู่ตรงกลางมองสองพี่น้องคนสนิททะเลาะกันไปมาอยู่นานค่อยๆ ยกมือขึ้นสูงเหนือศีรษะพร้อมเอ่ยเสียงนิ่มหยุดการโต้เถียงของคนทั้งสอง เล่นเอาพี่น้องอดีตคนข้างบ้านหันขวับมามองหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยตั้งแต่แรกพร้อมกันพลางตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง

 

“อะไร!?”

 

“เอ่อ…ลูกร้องแน่ะครับ”

 

“เฮ้ย!”

 

ได้ยินแบบนั้น คนเป็นพ่อก็อุทานเสียงดัง วิ่งตาลีตาเหลือกเปิดประตูผางเข้าไปยังห้องนอนตนทันที ทิ้งให้มาร์ตินนั่งทำหน้าเหวอ ตกตะลึงในเรื่องใหม่ที่เพิ่งรู้ ไม่เจอริชาร์ดแค่คืนเดียว หมอนี่มีลูกแล้ว! ไปมีอะไรกับใครยังไงเขาก็ไม่รู้ หรือจะรับเด็กมาเลี้ยงก็ไม่น่าจะไวขนาดนี้ พอหันไปมองเจ้าหนุ่มตาฟ้า รายนั้นก็ยักไหล่แล้วส่ายหน้าพูดแบบไม่มีเสียงว่า ‘ไม่ใช่ลี’ เข้าอีหรอบนี้นี่ซวยหนัก พอรู้แบบนี้ เรื่องที่เขาถูกหิ้วไปนอนกับใครก็ไม่รู้ดูเล็กน้อยขี้ปะติ๋วไปเลย

 

เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้จ้าดังลั่น ใบหน้ากลมแดงเถือกดูก็รู้ว่าร้องไห้อย่างหนัก ริชาร์ดอุ้มลูกสาวขึ้นมาแนบอกพร้อมเดินไปเดินมาทำตัวโคลงเคลงหวังว่าแม่หนูจะหยุดร้องไปได้บ้างแต่ก็ไม่ จนกระทั่งคนตัวเล็กเดินเข้ามาในห้อง ทำหน้าอึ้งๆ พลางเอานิ้วอุดหูหยีตาด้วยความรำคาญเสียงร้องอันดังนั่นแหละ ริชาร์ดถึงได้หยุดเดินแล้วมาคุยกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนท่ามกลางเสียงร้องป่าแตกของลูกสาวตัวน้อย

 

“ลืมแนะนำตัว นี่ลูกสาวฉันเอง ยังไม่ได้ตั้งชื่อ ไม่ต้องทำหน้าสงสัยแบบนั้น เรื่องมันยาว เดี๋ยวค่อยอธิบายทีหลัง”

 

ร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหยีตาเบ้ปากอีกรอบเมื่อเด็กน้อยดิ้นไปมาและแผดเสียงร้องลั่นอีกครั้งจนคนเป็นพ่อยังทนไม่ไหวต้องยื่นตัวลูกสาวออกห่างจนสุดแขน เห็นแบบนั้นแล้วมาร์ตินก็ส่ายหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้กว่าเก่าและขอเด็กน้อยมาอุ้มเองซึ่งริชาร์ดทำหน้างงๆ แต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายอุ้มแต่โดยดี

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนรับเด็กหญิงไปอุ้มและสำรวจโน่นนี่ไม่นานก็ถามหาผ้าอ้อมสำเร็จรูปของเด็กก่อนจะจัดแจงล้างเช็ดและเปลี่ยนผืนใหม่ให้ภายในเวลาไม่กี่วินาทีอย่างคล่องแคล่ว ย้ำว่าอย่างคล่องแคล่วจนคุณพ่อป้ายแดงถึงกับอึ้งตาค้าง นึกในใจว่าต้องขอเรียนวิชาเปลี่ยนผ้าอ้อมนี้จากมาร์ตินบ้างแล้ว

 

และความสงบก็กลับคืนสู่ห้องพักหลังน้อยอีกครั้ง เมื่อเด็กหญิงสบายเนื้อสบายตัวก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากยกใหญ่ เล่นเอาคนเป็นพ่อโล่งอกจนแทบหมดแรงยืน ทว่าเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เจ้าของห้องรีบลุกตรงดิ่งไปยังประตูอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สังเกตมือที่ยกค้างกลางอากาศราวกับจะห้ามไม่ให้เดินไปยังประตูของคริส เพราะเมื่อปัญหาคลี่คลายความสบายใจก็เข้ามาแทนที่

 

มือใหญ่ไม่รอช้า เขาคว้าที่จับพลางบิดลงทันที…

 

 

 

 

 

ลี เพซไม่ชอบการเซอร์ไพรส์

 

เขาไม่ชอบมันพอๆ กับการที่ต้องรู้สึกว่าตัวเองถูกละเลยความสนใจหรือไม่สำคัญนั่นแหละ

 

เมื่อหกวันที่แล้วเขาตัดสินใจกลับนิวยอร์ก เนื่องจากมารดาของเขาโทรศัพท์มาบ่นให้ฟังว่าเหงาอย่างงู้นอย่างงี้ เขาพอจะรู้ตัวดีว่าตนเองเป็นฝ่ายผิดที่ตั้งแต่มาเที่ยวลอนดอนและได้เจอกับใครบางคน เขาก็แทบจะย้ายสัญชาติและมาลงหลักปักฐานที่นี่แทน ปล่อยให้บุพการีทั้งสองอยู่กันสองคนตายาย ไม่นับหลานๆ ที่เทียวไปเทียวมาอีกหลายสิบคน

 

แต่พอกลับไปถึงบ้านก็พบว่า คุณพ่อของเขาไม่อยู่ หนีไปเข้าค่ายกิจกรรมชายสูงวัยอะไรก็ไม่รู้ ปล่อยคุณแม่ทิ้งไว้คนเดียว และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มารดาเขาโทรมาบ่นกระปอดกระแปดแบบนี้

 

โธ่ นึกว่าคิดถึงลูกชาย ที่ไหนได้…

 

แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว และมีเวลาอีกอาทิตย์นึง เขาเลยใช้ให้คุ้มค่าก่อนจะเจอเซอร์ไพรส์ในวันที่ห้า เมื่อคุณพ่อกลับจากเข้าค่ายกิจกรรม และสองตายายก็กลับมาสวีตหวานแบบไม่เกรงใจลูกชายอย่างเขาแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังถามเช้าถามเย็นว่า ‘เมื่อไหร่จะกลับไปหาแฟน?’ ให้ตายสิ นี่เป็นพ่อแม่เขาจริงๆ ใช่มั้ย?

 

และนั่นเป็นเหตุผลทำให้เขาเลื่อนไฟลต์กลับลอนดอนเร็วขึ้น จนกลายเป็นกลับก่อนกำหนดนี่แหละ

 

เนื่องจากกลับกะทันหันเขาเลยไม่มีเวลาโทรบอกคนรักเลยสักนิด และเมื่อมาถึงสนามบินฮีทโธรว์ตอนเช้าตรู่ เขาก็ไม่อยากจะโทรปลุกเพื่อให้หมอนั่นเอารถมารับหรอกนะ ถึงเขาจะเอาแต่ใจแค่ไหนเวลาอยู่ด้วยกัน แต่เขาก็มีเหตุผลพอที่จะรู้ว่า ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่ริชาร์ดกำลังนอนหลับสนิทหลังจากเก็บงานที่ร้านเสร็จซึ่งแน่นอนว่ามันค่อนข้างที่จะเหนื่อยมาก เขารู้ดีถึงแม้จะไม่ค่อยได้เป็นคนเก็บร้านบ่อยนักก็เถอะ เพราะฉะนั้นแค่นั่งแท็กซี่กลับบ้านเองน่ะ สบายอยู่แล้ว

 

และตอนนี้เขาก็มาถึงห้องพักพร้อมกับที่ริชาร์ดเปิดประตูออกมาต้อนรับด้วยสีหน้า…

 

…ราวกับเห็นผี

 

นี่ไม่ดีใจรึไงที่เห็นเขากลับมาน่ะ!?

 

“เฮ้ เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

 

“เอ่อ…คือว่า…”

 

เรียวคิ้วสวยเลิกขึ้นทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงทุ้มเอ่ยตะกุกตะกัก ทั้งๆ ที่ยังไม่มีคำทักทาย ไม่มีอ้อมกอดอุ่นๆ ต้อนรับ แล้วยังมามีท่าทีแปลกๆ อีก  แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากจึงเอ่ยออกไปแบบทีเล่นทีจริง

 

“อะไร…อย่าบอกนะว่า ฉันไม่อยู่ไม่กี่วันวันนายเอาสาวมานอนที่บ้านน่ะ”

 

“ใช่ เฮ้ย! ไม่ใช่ คือ…”

 

“ริช ใครมาเหรอ ลูกหิวนมแล้วนะ นายเอานมไว้ไหนน่ะ”

 

สิ้นเสียงเล็กๆ ที่เอ่ยดังออกมาจากด้านใน ลี เพซก็ชะเง้อหน้ายืดตัวสูงมองข้ามไหล่ใหญ่ๆ ของเจ้าของห้องเข้าไปด้านในทันที ริชาร์ดนั้นยืนก้มหน้ายกมือขึ้นกุมขมับ ท่าเดียวกันกับเจ้าลูกน้องคนสนิทที่รายนั้นแทบจะยกสองมือกุมแล้วขยี้หัวให้ผมกระจายเลยด้วยซ้ำ

 

เพราะภาพที่เห็นก็ทำเอาคนมาใหม่ควันออกหูเตรียมเหวี่ยงให้บ้านแตก

 

มาร์ติน ฟรีแมนกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขนพร้อมกับเรียกเด็กคนนั้นว่าลูก!

 

 

 

 

 

คริส ไพน์เพิ่งรู้ซึ้งถึงคำว่า ‘โผล่มาผิดจังหวะ’ ว่ามันเป็นยังไง

 

แต่เอาจริงๆ นับตั้งแต่เมื่อวานเย็นมันก็ไม่มีอะไรถูกจังหวะเลยทั้งนั้น เขาเจอคุณมิเชลพร้อมกับลูกสาว คุณริชกลายเป็นพ่อคนกะทันหัน คุณมาร์ตินโดนหนุ่ม ไม่สิ เด็กหนุ่มที่ไหนก็ไม่รู้หิ้วไปนอนด้วย และคุณลีที่กลับลอนดอนเร็วกว่ากำหนด

 

ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องน่ะ เขาตั้งใจจะห้ามไม่ให้บอสของเขาไปเปิดประตูแล้ว เพราะมันมีลางสังหรณ์แปลกๆ ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดียังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ห้ามไม่ทัน และสิ่งที่กลัวก็ดันเป็นจริง เมื่อแฟนของเจ้านายโผล่มา และคุณมาร์ตินก็ดันไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทะลึ่งพรวดออกมาจากห้องพร้อมลูกสาวป้ายแดงของคุณริชอีกต่างหาก จะห้ามก็ห้ามไม่ทันแล้ว

 

เฮ่อ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดชัดๆ

 

ทีแรกคิดว่าคุณลีจะเหวี่ยงแบบไคจูถล่มเมือง ยิงพลังใส่ให้ค่า HP คุณบอสของเขาลดฮวบๆ แบบชุบชีวิตไม่ได้เสียอีก ที่ไหนได้…กลับทำหน้านิ่งๆ แล้วเอ่ยเสียงเย็นๆ ว่าให้เข้าไปคุยกันในห้องนอนแทนซะงั้น แหม่…อดเห็นภาพกีฬามันๆ เลย

 

ส่วนคุณมาร์ตินน่ะเหรอ พอเห็นหน้าแฟนของคุณริชก็แทบจะโยนเด็กน้อยลงพื้นเสียด้วยซ้ำ แต่ที่ทำได้ก็แค่ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาฟาดฟันของคุณลีแล้วเดินมานั่งเจี๋ยมเจี้ยมอยู่บนโซฟา นมเนิมเลยเลิกหาให้ลูกสาวบอสกินไปโดยปริยาย

 

และนั่นก็เป็นเหตุให้เราสองคนมานั่งสงบเสงี่ยมอยู่ด้วยกันท่ามกลางพายุหมุนที่ก่อตัวอยู่ในห้องนอนตอนนี้

 

“ฉันว่างานนี้ริชาร์ดไม่รอดแหงๆ”

 

เสียงเล็กกระซิบแผ่วๆ พลางเหลือบมองไปทางประตูห้องนอนนั่น เสียงดังโครมครามมาเป็นระยะๆ สลับกับเสียงตะโกนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว แต่ถ้าเขาเดาไม่ผิด งานนี้มีต่อยกันแน่ๆ อยากจะท้าพนันกับเจ้าเด็กหนุ่มตาฟ้าที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่การขายเพื่อนไม่ใช่วิสัยเขาสักเท่าไหร่

 

และมันก็ไม่ผิดจากที่มาร์ตินพูดเลยสักนิด

 

ชายหนุ่มผมดำนั่งหอบหายใจจนตัวโยนอยู่บนเตียงนุ่ม ที่มุมปากมีรอยเลือดจางๆ ประดับอยู่ แถมตรงแถวๆ แก้มข้างซ้ายก็ดูบวมๆ ช้ำๆ ยังไงก็ไม่รู้ ที่ริมผนังห้องติดกับกรอบหน้าต่างบานเล็กมีชายหนุ่มผมสีทองสว่างยืนกอดอกอยู่ ดวงตาสีเข้มที่คลอไปด้วยหยาดน้ำใสเหม่อมองไปยังวิวด้านนอก ไม่สนใจใครอีกคนที่นั่งอยู่บนเตียงเลยสักนิด

 

ลี เพซไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไง ไม่รู้ว่าควรจะทำแบบไหน การมีลูกน้อยไว้สืบสกุลเป็นสิ่งที่เขาและริชาร์ดใฝ่ฝันมาตลอด แต่มันต้องไม่ใช่แบบนี้ คิดแล้วก็อยากจะต่อยหน้าคนรักอีกสักหมัด

 

คำอธิบายที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกนั้นเขาเข้าใจเป็นอย่างดี แต่เข้าใจไม่ได้หมายความว่าต้องยอมรับ มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ จู่ๆ ก็มาบอกว่า ‘เฮ่ นี่ลูกติดจากแฟนคนเก่าฉันเอง’ เขาไม่ใช่คนใจกว้างอะไรขนาดนั้นหรอกนะ รู้ไว้ซะด้วย

 

อีกอย่าง…ริชาร์ดมีลูกกับผู้หญิงคนนั้น มีตั้งแต่ตอนที่ยังรักกัน หากหมอนั่นมองหน้าเด็กคนนั้นจะไม่คิดถึงแม่เด็กเลยหรือ เพราะสุดท้ายแล้วผู้หญิงมันก็ย่อมดีกว่าผู้ชายวันยันค่ำ ฐานะทางสังคม ความเหมาะสมของคู่ครอง เขาคงเทียบเธอคนนั้นไม่ได้เลยสักนิด

 

แล้วยิ่งเด็กคนนั้นเกิดจากความรักของพ่อและแม่ แล้วเขาล่ะ…เป็นใคร

 

ก็แค่ผู้ชายคนนึงที่ผ่านเข้ามาและก็สมควรจะผ่านเลยไป

 

สวนสนุกคงได้เวลาปิดแล้วล่ะมั้ง…

 

ยิ่งคิดขอบตาก็ยิ่งร้อนผ่าว ลีกะพริบตารัวเร็วขับไล่หยาดน้ำให้เหือดแห้งก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปยังชายหนุ่มที่นั่งก้มหน้าอยู่บนเตียง ความโกรธในใจคราแรกที่รับรู้เรื่อง แปรเปลี่ยนเป็นความเสียใจที่ท่วมท้นเต็มอก

 

“ริช ฉัน…เอ่อ ฉันรู้ว่านายอยากมีลูกมาตลอด และตอนนี้มันก็เป็นจริงแล้ว แต่ถ้าจะให้ฉันพูดว่า ‘ยินดีด้วยนะ’ ตอนนี้มันคงพูดไม่ออก แต่ก็…เอ่อ ‘ยินดีด้วยนะ’ อ่า ในที่สุดก็พูดได้นี่นา ก็ไม่เห็น…ไม่เห็นยากเลยเนอะ ฮึก”

 

“ลี…”

 

เรือนผมดำลุกขึ้นยืนหันหน้าหาร่างเพรียวที่ยืนทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ริมฝีปากที่พร่ำพูดออกมาเหมือนคนไม่มีสติสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด มือใหญ่เอื้อมไปด้านหน้าตั้งใจจะเหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบประโลม เขารู้ดีว่าคำขอโทษอีกกี่ร้อยล้านครั้งก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เมื่อคนรักเบนหน้าหนีและถอยห่างจากเขาไป

 

“ลูกสาวนาย…ต้องเก่งเหมือนนาย ฮึก แน่ๆ เลย…”

 

“ลี ฉัน…”

 

“นายทำได้แน่ นาย…เลี้ยงเธอได้แน่ๆ”

 

“ลี! ไม่!”

 

คนตัวใหญ่ตรงเข้าประชิด แม้อีกฝ่ายจะถอยหลังหนี แต่ริชาร์ดก็ไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเป็นครั้งที่สองแน่ เขาเอื้อมมือไปยังหลังศีรษะแล้วตวัดรัดรั้งร่างของคนรักให้เข้าใกล้จนใบหน้าแนบติดอยู่กับไหล่กว้าง แม้ลี เพซจะออกแรงขัดขืน แต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดออกจากวงแขนแกร่งได้

 

“ปล่อย…ปล่อยฉันไปเถอะ ฉัน ฉันทนดูนายกับเด็กคนนั้นไม่ได้จริงๆ อย่า ฮึก อย่าทำร้ายกันเลย ริชาร์ด ถ้านายยังรักฉันอยู่บ้าง ได้โปรด ปล่อยฉันไป…”

 

“ไม่ ลี เงียบ เงียบซะ ฉันทำไม่ได้แน่ๆ ฉันอยู่ไม่ได้แน่ๆ ฉันเลี้ยงลูกเพียงลำพังโดยไม่มีนายไม่ได้ ขอร้อง อยู่กับฉัน อย่าทิ้งฉันไป ได้โปรด”

 

ได้ยินแบบนั้นน้ำตาที่รินไหลกลับเอ่อท้นคล้ายทำนบใกล้แตก คำพูดที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาคืออะไร จะให้เขาอยู่งั้นหรือ อยู่ในฐานะอะไร ตำแหน่งไหน อยู่…เพื่อเลี้ยงดูเด็กที่ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับเขางั้นหรือ ทั้งๆ ที่สองคนมีสายเลือดเดียวกัน มีสายใยผูกพัน แล้วเขาล่ะ…

 

มือบางรวบรวมกำลังเฮือกสุดท้ายผลักอกคนตัวใหญ่ออก แววตาคู่งามจ้องมองไปยังคนรักด้วยสายตาผิดหวัง ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ แล้วหันหลังเดินจากไป

 

พอลีเอื้อมมือไปจับลูกบิดเพื่อเปิดออกก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มาร์ตินอุ้มเด็กน้อยเข้ามาใกล้ เสียงร้องไห้ดังลั่นพร้อมกับมือเล็กๆ ที่เอื้อมออกไปข้างหน้าราวกับจะไขว่คว้าอะไรบางอย่าง ก่อนที่ชายตัวเล็กจะกล่าวว่า ‘แม่หนูเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ๆ ก็ร้องขึ้นมา ทำยังไงก็ไม่หยุด’ และเดินตรงไปให้คนเป็นพ่ออุ้มลูกสาวไว้แต่โดยดีก่อนจะหลบฉากออกจากห้องไป ริชาร์ดที่อุ้มเด็กน้อยด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ดูน่ารักแต่ก็เจ็บปวดใจไปในคราวเดียวกัน ลีเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยืนมองภาพตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเรียวขายาวจะตรงดิ่งไปยังประตูห้องพัก และเป็นริชาร์ดที่เบิกตากว้างแล้วก้าวเร็วๆ ตามหลังไปติดๆ

 

“ลี! ไม่ๆ ได้โปรด อย่าไป ฉันขอร้อง นายจะต่อยฉันอีกกี่หมัดก็ได้ จะโกรธจะเกลียดฉันไปตลอดชีวิตก็ได้ แต่ได้โปรด…อยู่กับฉัน ฉันรักนาย รักจริงๆ”

 

ไม่ว่าเมื่อไหร่ คำว่ารักของริชาร์ดก็สะกดเขาได้เสมอ ชายหนุ่มไม่เอ่ยมันบ่อยนัก ตั้งแต่คบกันมาแทบนับครั้งได้ เพราะริชาร์ดเชื่อว่าการกระทำสำคัญกว่าคำพูด และเมื่อเป็นแบบนี้จะไม่ให้เขาลังเลใจได้อย่างไร ในเมื่อใจเขาก็ยังรักคนตรงหน้าอยู่แบบนี้

 

“แต่มันไม่ถูกต้องริช มันไม่ถูกเลย”

 

คนตัวบางหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากัน ใบหน้าขาวที่แดงก่ำไปด้วยอารมณ์อันหลากหลายก้มหน้าลงต่ำ มองปลายเท้าอย่างคนไม่มั่นใจ ริชาร์ดที่เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่แบบนั้นจึงเดินเข้ามาใกล้ อุ้มลูกสาวตัวน้อยไว้ด้วยมือข้างเดียว ส่วนอีกข้างเอื้อมไปรั้งศีรษะคนรักให้แนบหน้าผากชิดชนกับหน้าผากเขา

 

“บางครั้งโลกก็มักปล่อยให้เราจมอยู่กับความไม่ถูกต้องแบบนี้แหละ”

 

สายตาสองคู่สอดประสาน นัยน์เนตรสีเข้มของลีช้อนสบกับดวงตาสีฟ้าเทาที่แสนเว้าวอนของคนรัก เสียงลูกสาวตัวน้อยเงียบลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ลีจ้องตาคนรักอยู่แบบนั้น มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มีแรงเล็กๆ กระตุกเสื้อเชิ้ตสีเข้มที่เขาใส่อยู่เสียแล้ว

 

เด็กน้อยน่ารักขยำเสื้อเชิ้ตตรงบริเวณอกของลี เพซแน่น เธอดึงรั้งเขย่าไปมาราวกับจะเรียกร้องความสนใจจากคนตรงหน้า เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากมาพร้อมกับรอยยิ้มไร้เดียงสาที่เด็กหญิงส่งให้ และนั่นทำให้ลีใจอ่อนยวบพร้อมกับหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาอีกครั้งด้วยความโล่งใจเหมือนกับได้ยกภูเขาลูกใหญ่ออกจากอก

 

“อ่า…ฮึก ริช…”

 

“อยู่ด้วยกันนะ อย่าทิ้งฉันไปเลย ได้โปรด”

 

เหมือนความไม่มั่นใจยังคงมีอยู่ เรือนผมทองจ้องไปยังดวงตาคู่สวยเพื่อขอความหนักแน่น และเมื่อริชาร์ดส่งยิ้มให้พร้อมๆ กับที่หนูน้อยส่งเสียงแอ๊ๆ พลางกระตุกเสื้อเชิ้ตเขาอีกครั้ง ลี เพซก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะอยู่กับพ่อลูกคู่นี้จนกว่าจะมีใครคนใดคนนึงไม่ต้องการเขาอีกต่อไป

 

 

 

 

 

“นายว่า…เราจะตั้งชื่อเธอว่าอะไรดี”

 

‘เธอ’ ที่ชายหนุ่มผมดำกล่าวถึงนั้นตอนนี้หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ตรงกลางระหว่างหนุ่มสองสัญชาติไปแล้ว คิ้วเล็กๆ ที่ยังขึ้นไม่ชัดเจนนักขมวดมุ่นเหมือนกำลังหงุดหงิดอะไรอยู่สักอย่าง เห็นแบบนั้นลีก็อดที่จะเอานิ้วไปจิ้มแก้มเนียนนุ่มของลูกสาวไม่ได้

 

“เฮ่ๆ อย่าแหย่ลูกสิ เกิดตื่นขึ้นมาฉันขี้เกียจตบตูดกล่อมแล้วนา”

 

สิ้นประโยคพร้อมปากจู๋ๆ ของคุณพ่อแสนขี้เกียจก็เรียกเสียงหัวเราะคิกคักจากคุณพ่ออีกคนนึงได้ ก่อนลี เพซที่นอนตะแคงหันหน้าเข้าหาริชาร์ดจะกลอกตาพลางทำหน้าครุ่นคิดว่าจะตั้งชื่อลูกสาวว่าอะไรดี

 

“ชื่ออะไรดีอะ นึกไม่ออกเลย อืม…เอาหนังสือที่คริสให้มามาดูกันมั้ย”

 

คุณพ่อร่างใหญ่เบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินข้อเสนอแนะนั้น ถ้าลีหมายถึงหนังสือที่ไอ้ลูกน้องคนสนิทหวังดีเอามาให้ยืมเพื่อช่วยคิดชื่อน่ะเรอะ ฝันไปเถอะ หัวเด็ดตีนขาดเขาก็ไม่ยอมให้ลีใช้แน่ๆ

 

“นั่นมันคู่มือตั้งชื่อสุนัขนะลี! ลูกเราไม่ใช่หมานะ จะให้ใช้ตำราเล่มนั้นได้ไง”

 

ใบหน้าขาวระบายยิ้มกว้างก่อนจะหัวเราะคิกคักอีกครั้ง ริชาร์ดเห็นแล้วก็อดทำหน้ามุ่ยไม่ได้ที่เห็นลีเอาแต่ขำเขาอยู่นั่นแหละ เลยพาลไปโกรธไอ้ลูกน้องที่เอาหนังสือมาให้ มีอย่างที่ไหน นี่ลูกสาวเขานะ ไม่ใช่ลูกหมาแบบที่มันชอบเลี้ยงเสียหน่อย เพราะอย่างงี้เลยลงโทษด้วยการให้คืนนี้ดูแลร้านไปคนเดียวโดยไม่ให้ค่าจ้างเพิ่มด้วย

 

“งั้น…ชื่ออะไรดี”

 

ลีทำท่าครุ่นคิดอีกครั้ง ทั้งคู่เงียบไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนประกายแห่งความหวังจะเปล่งออกมาจากดวงตาคู่สวยของหนุ่มอเมริกัน จนเจ้าของห้องผมดำอดยิ้มตามและเอ่ยปากแซวไม่ได้

 

“ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าได้ชื่ออะไรดีๆ แล้วสินะ”

 

“ยูจีน”

 

“เอ๋?”

 

เรือนผมทองลุกพรวดขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนเตียงกว้างทันที เล่นเอาคนตัวใหญ่ลุกตามขึ้นมาด้วยอย่างงงๆ

 

“ลูกสาวเราชื่อ ยูจีน ยูจีนที่แปลว่า Well-born ไง”

 

“โอเค ความหมายน่ะดีสุดๆ แต่เฮ่ ชื่อนี้มันเป็นชื่อเด็กผู้ชายไม่ใช่เหรอ”

 

ริชาร์ดเกาหัวแกรกๆ เส้นผมสีดำที่ชี้ฟูจากการนอนไถเมื่อกี้ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นไปอีก

 

“อื้อ! เพราะฉันอยากให้ลูกสาวเราเติบโตมาเข้มแข็งเหมือนเด็กผู้ชาย เข้มแข็งเหมือนอย่างพ่อของเธอ…”

 

กล่าวพร้อมจิ้มนิ้วไปยังแผ่นอกกว้างด้านขวาตรงกับตำแหน่งหัวใจของคนรัก

 

“และ…พ่อของเธอ…ไง”

 

ประโยคหลังเอ่ยแผ่วเบาพร้อมก้มหน้ามองนิ้วตัวเองที่ชักกลับจากอีกฝ่ายมาจิ้มอกข้างขวาตัวเองเอาไว้บ้าง ริชาร์ดที่เห็นดังนั้นก็อึ้งไปก่อนจะยกยิ้มอย่างตื้นตันและปลื้มใจ

 

เขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เขาเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก ที่ได้คนคนนี้เป็นคู่ชีวิต

 

“ลี…”

 

ใบหน้าหล่อเหลาเคลื่อนเข้าใกล้อีกฝ่าย มือใหญ่เท้าลงไปกับฟูกนุ่มจนมันยุบต่ำ สัมผัสอุ่นเกิดขึ้นที่มือทันที เขารู้ดีว่าตอนนี้ตัวนุ่มนิ่มของลูกสาวเขาไหลมาตามแรงมือที่กดจนที่นอนยวบแล้ว แต่ใครจะสนล่ะ ในเมื่อผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าน่าสนใจกว่าเยอะ

 

ลี เพซหลุบตาต่ำเอียงอายก่อนจะช้อนสบอีกฝ่ายพร้อมขยับใบหน้าระเรื่อเข้าใกล้ อีกไม่กี่เซ็นต์ความหอมหวานแห่งการร้างไกลไปหลายวันกำลังจะเริ่มขึ้น และแล้ว…

 

“ฮึก…แง้!”

 

เสียงร้องดังลั่นของเด็กน้อยผู้โชคดีก็ดังขึ้น…

 

ทุกสิ่งหยุดชะงักมีเพียงดวงตาสองคู่ที่หลุบต่ำมองไปยังต้นเสียงที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขา ก่อนทั้งคู่จะก้มหน้าลงไปพร้อมกันตามสัญชาตญาณจนหัวโขกกันดังโป๊กใหญ่ ต่างคนต่างกุมหน้าผากตัวเองลูบป้อยๆ แล้วหัวเราะร่าออกมา สบตาพร้อมยิ้มน้อยๆ แล้วค่อยก้มดู ‘เด็กหญิงยูจีน’ ลูกสาวของเขาทั้งคู่อีกครั้ง

 

 

 

 

 

“เอาล่ะ จบแล้ว นิทานของแดดดี๊เป็นยังไงบ้าง”

 

ริชาร์ดที่นั่งพิงหัวเตียงอยู่เอื้อมมือไปโอบไหล่ลูกสาวพร้อมยกมือลูบผมนุ่มเบาๆ เสียงทุ้มเอ่ยถามทันทีที่เล่าตำนานรักของตนเองจบ เบนหน้ามองลูกสาวตัวน้อยที่เอียงหัวซบอกตนอยู่ ยิ้มหวานส่งให้

 

“อ่า…สรุปว่าชื่อหนูเป็นชื่อเด็กผู้ชายจริงๆ ด้วย”

 

พอได้ยินประโยคนั้นก็ทำเอาเขาอึ้งจนแทบจะกลิ้งตกเตียง นี่เล่ามาตั้งนานจับใจความได้แค่นี้เรอะ

 

“โธ่ ยูจีน”

 

เธอหันหน้าไปทางคุณพ่อตัวใหญ่แล้วดันตัวออกห่าง ก่อนจะลุกขึ้นยืนบนเตียงนุ่มกระโดดเด้งดึ๋งอยู่บนนั้นพลางตะโกนเสียงแหลม

 

“แดดดี๊คะ! ไปรับป่าปี๊กันค่ะ เร็วๆ ค่ะแดดดี๊!”

 

พอเห็นคนเป็นพ่อยังนั่งพิงหัวเตียงทำหน้าเหวออยู่ คุณลูกสาวจอมป่วนก็ทิ้งตัวลงนั่งพับขาชี้ไปด้านหลังพลางเอื้อมมือไปดึงแขนแกร่งของชายหนุ่มทันที

 

“แดดดี๊เร็วๆ สิคะ ป่าปี๊อยู่คนเดียวเหงาแย่แล้ว ไปรับกันๆ”

 

เธอกระโดดลงจากเตียงแล้วลากแขนคุณพ่อให้ยกก้นออกจากที่นอนนุ่มยกใหญ่ ริชาร์ดที่เห็นปฏิกิริยาโอเวอร์ออกนอกหน้าของลูกสาวก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเสียหน่อย

 

โทษฐาน…ทำแฟนพ่อเสียใจได้ไงไอ้เด็กคนนี้นี่

 

คิดได้ดังนั้น คุณพ่อผมดำเลยทำเป็นนั่งนิ่งออกแรงขืนตัวนิดหน่อยเจ้าลูกสาวตัวน้อยก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ลอยหน้าลอยตาทำเป็นไม่ได้ยินเสียงตะแง้วๆ ที่กำลังรบเร้าจะให้ไปรับคุณพ่ออีกคนให้ได้ แหม ทำเป็นห่วงว่าป่าปี๊อยู่คนเดียวจะเหงา รับรองว่าอยู่กับเจ้าคริสบ้านั่นไม่มีเหงาแน่นอน คงพล่ามอวดเรื่องลูกหมาที่บ้านตัวเองทั้งคืนเลยล่ะ

 

 

 

 

 

ไฟจราจรตรงหัวมุมถนนวิกโลว์กะพริบเปลี่ยนสีสันไปมาราวกับเปิดการแสดงอะไรสักอย่าง มันแสดงสัญญาณให้รถที่สัญจรไปมาบนถนนหยุดบ้าง ให้คนเดินเท้าหยุดบ้าง สลับกันไป อากาศหนาวๆ ของปลายเดือนมกราคมแบบนี้ทำให้ผู้คนที่หยุดยืนรอสัญญาณไฟอยู่นั้นถึงกับกอดอก ลูบต้นแขนไปมาเพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แต่ดูเหมือนว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะไม่คิดแบบนั้น เธอยืนรอสัญญาณไฟคนข้ามถนนอยู่บนเกาะกลางรูปสามเหลี่ยม ตรงข้ามกับเธอเป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่คุณพ่อของเธอเป็นเจ้าของ หนูน้อยผมสีน้ำตาลเข้มดูจะสนุกกับหิมะที่ตกน้อยๆ และความหนาวที่รายล้อมรอบตัวอยู่ มือเล็กที่จับมือคุณพ่อตัวใหญ่แน่นกระตุกเบาๆ เรียกให้อีกฝ่ายก้มหน้าลงมาดูตนเอง

 

“แดดดี๊คะแดดดี๊”

 

ริชาร์ด อาร์มิเทจก้มหน้ามองลูกสาวทันทีที่รู้สึกถึงแรงกระตุกที่มือพลางยิ้มละมุนแล้วเอ่ยถามว่าลูกสาวตนมีอะไรถึงเรียกเขา เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้ามองคุณพ่อผมดำ ฉีกยิ้มกว้างส่งให้ก่อนจะเอ่ยอวดอะไรบางอย่าง

 

“แดดดี๊คะ ยูจีนพ่นควันได้ด้วยค่ะ แฮ่!”

 

ว่าจบ หนูน้อยก็ระบายลมหายใจออกจากปากให้คุณพ่อดูก่อนจะหัวเราะขำเอิ๊กอ๊ากกันทั้งพ่อทั้งลูก อารมณ์ขุ่นมัวของยูจีนหายไปหมดตั้งแต่ฟังนิทานของคุณพ่อตัวโตจบแล้ว เธอเข้าใจดีแล้วว่าไม่ว่าเธอจะชื่ออะไร มันก็เป็นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณพ่อของเธอต่างหาก และเธอก็ตั้งใจมาที่ร้านนี้เพื่อจะมาชวนป่าปี๊ของเธอกลับบ้านด้วยกัน ก็นะ…เธอนอนไม่หลับหรอกถ้าไม่มีป่าปี๊ลีอ่านนิทานให้ฟังน่ะ

 

ไม่นานสัญญาณไฟจราจรก็อนุญาตให้คนข้ามถนนได้ สองพ่อลูกจับจูงมือกันก้าวตรงไปยังร้านตรงหน้าทันที เมื่อถึงเด็กน้อยยูจีนก็ปล่อยมือคุณพ่อแล้วถลาวิ่งไปยังกระจกใสบานใหญ่ เขย่งปลายเท้าเพื่อให้ดวงตาพ้นขอบไม้ด้านล่าง เธอมองเข้าไปด้านในร้านที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แน่นอนว่ามันบดบังจนเธอมองไม่เห็นเป้าหมายที่เธอต้องการ

 

“แดดดี๊คะ ยูจีนมองไม่เห็นป่าปี๊เลย”

 

เธอเงยหน้ามุ่ยๆ ขึ้นมองคุณพ่อผมดำที่เดินมายืนข้างๆ พอดี เห็นแบบนั้นริชาร์ดเลยเอื้อมมือไปหาลูกสาว วางฝ่ามือไว้ตรงช่วงเอวน้อยๆ ก่อนจะออกแรงเพียงนิดก็ยกเด็กหญิงขึ้นมาเหนือหัวและวางลงบนบ่าให้ลูกสาวมองเห็นภาพได้ชัดขึ้นด้วยการขี่คอตน

 

“เห็นป่าปี๊ยังคะยูจีน”

 

ดวงตาสีเข้มยังคงสอดส่ายไปมาพร้อมศีรษะกลมๆ ที่หันซ้ายหันขวาไม่แพ้กัน เธอไม่รู้หรอกว่าเวลาทำงานป่าปี๊ของเธอจะอยู่ตรงบริเวณไหน เอาจริงๆ เธอไม่ค่อยได้มาที่ร้านนี้บ่อยนัก เพราะป่าปี๊บอกเสมอว่ามันเป็นที่ของผู้ใหญ่ และเด็กอย่างเธอก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะสมควรมาด้วย เว้นเสียแต่วันไหนจำเป็นจริงๆ ที่พี่มิรา เบบี้ซิตเตอร์ของเธอหรือคุณครูมาร์ตินไม่ว่าง เธอถึงจะได้แวะเวียนมาที่นี่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็อยู่ในห้องด้านหลัง ไม่ก็ตอนที่ร้านยังไม่เปิด ใจจริงเธออยากขึ้นไปเล่นกับเจ้าบลูเบลที่ห้องอาคริสที่อยู่ด้านบนชั้นสองมากกว่าอยู่ห้องหลังร้านเป็นไหนๆ แต่แดดดี๊ชอบห้ามแล้วบอกว่า เดี๋ยวไปเจอหนังสือไม่ดีๆ เข้าแล้วจะนอนฝันร้าย เธอเลยสงสัยว่า อาคริสเป็นพวกแม่มดรึเปล่า ถึงมีหนังสือที่ทำให้ฝันร้ายเก็บไว้ด้วย

 

“ไม่เห็นเลยค่ะ อ๊ะ! นั่น อาคริส! เห็นอาคริสแล้ว อาคริสคะ อาคริส!”

 

ยูจีนชูแขนสั้นๆ จนสุดก่อนจะโบกไปมาพร้อมตะโกนดังลั่นถนนด้วยเสียงเล็กๆ ของเธอ แน่นอนว่ามันไม่ทำให้เจ้าของชื่อได้ยินหรอก คริส ไพน์ยังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดีอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์รูปตัวแอล จนกระทั่งลูกค้าหลายคนเริ่มมองไปยังด้านนอกร้านเป็นจุดเดียวกัน ชายหนุ่มตาสีฟ้าถึงได้เห็นว่าใครมาหา และเขาก็รู้ดีว่าตนเองต้องทำอย่างไรต่อ

 

ทันทีที่สองพ่อลูกเดินเข้ามาในร้าน บาร์เทนเดอร์ตาสวยก็ปลีกตัวไปยังห้องด้านหลัง ปล่อยให้ลี เพซที่ยืนหันหลังเช็ดแก้วไปมาซ้ำๆ อย่างเหม่อลอยอยู่แบบนั้นปฏิบัติหน้าที่ไปคนเดียว

 

เหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายยังวนเวียนอยู่ในหัวไม่จางหายไปไหน สายตาผิดหวังและเมินเฉยของลูกสาวนั้นประทับแน่นอยู่ในอกจนเขาได้แต่คิดวกวนว่าจะจัดการกับชีวิตตนเองต่อไปยังไงดี การกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่นิวยอร์กไม่ใช่ปัญหา แต่มันก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องนัก เขาคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร

 

ขณะที่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิดนั้น เสียงทุ้มก็ขัดจังหวะสั่งเครื่องดื่มขึ้นมาเสียก่อน ตอนแรกลีกะจะปล่อยผ่านไม่สนใจ เพราะคิดว่าเดี๋ยวลูกน้องคนสนิทคงรับหน้าที่เสิร์ฟเหล้าให้ลูกค้าตามปกติ แต่เมื่อวอดก้าออนเดอะร็อกถูกสั่งเป็นครั้งที่สามจากลูกค้าคนเดิม เขาก็มองซ้ายมองขวาก่อนจะพบว่าบาร์เทนเดอร์ตาฟ้าไม่อยู่ที่หลังเคาน์เตอร์นี่เสียแล้ว ตนเองจึงจำใจรับหน้าที่อย่างเสียไม่ได้ ทั้งๆ ที่ทั้งคืนที่ผ่านมาเขาแทบไม่ทำอะไรเลยนอกจากหันหลังให้ลูกค้าและยืนเช็ดแก้วคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่แบบนั้น

 

ชายหนุ่มก้มหน้าก้มตาทำงาน เขาไม่อยากให้ลูกค้าเห็นสภาพใบหน้าแย่ๆ ของตนสักเท่าไหร่ แก้วช็อตถูกวางลงตรงหน้าร่างใหญ่ก่อนบาร์เทนเดอร์ผมสีสว่างจะเทเครื่องดื่มลงไป

 

“ได้แล้วครับ”

 

เสียงหวานเอ่ยอย่างผะแผ่วเหมือนไม่อยากให้อีกฝ่ายได้ยินถึงความอ่อนแอ แต่เมื่อกำลังจะหมุนตัวกลับ ลูกค้าคนเดิมก็เอ่ยสั่งเครื่องดื่มประหลาดๆ ที่เขาแทบไม่เชื่อหูว่าจะมีใครสั่งมันในบาร์แบบนี้

 

“ขอช็อกโกแลตร้อนอีกที่นึงด้วยครับ”

 

“ขอโทษครับ เมื่อกี้คุณสั่งอะไรนะครับ…ริช!”

 

พอหันมาก็เห็นเต็มตาว่าใครเป็นลูกค้าคนแรกของเขา ลีตกใจจนแทบจะลืมหายใจเสียด้วยซ้ำ ความคิดแรกที่โผล่ขึ้นมาในสมองคือริชาร์ดอยู่นี่ แล้วยูจีนล่ะ อย่าบอกนะว่าคนผมดำปล่อยลูกสาวแปดขวบไว้ที่บ้านคนเดียวแบบนี้

 

“ริช…นายมาได้ไง แล้วยูจีนล่ะ?”

 

เสียงหวานเอ่ยถามร้อนรนผิดกับก่อนหน้านี้ราวกับคนละคน ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าเคาน์เตอร์ยกยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบอะไร ก่อนจะยกแก้ววอดก้าขึ้นดื่ม กระดกทีเดียวหมดช็อต ลีที่เห็นท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนรักยิ่งทำให้อารมณ์เป็นห่วงลูกสาวคุกรุ่นมากขึ้นไปอีก

 

“ริชาร์ด ยูจีนอยู่ที่ไหน?”

 

“อยู่นี่ค่ะ ฮึบ”

 

เอ่ยถามเสียงต่ำยังไม่ทันขาดคำ เสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน ลี เพซมองหาต้นเสียงนั่นแต่ก็ไม่เห็นจนกระทั่งคนรักก้มหน้าไปยังเก้าอี้ตัวสูงข้างๆ บุ้ยปากส่งสัญญาณอะไรสักอย่างนั่นแหละ ลีถึงได้เข้าใจ เขาชะโงกตัวข้ามเคาน์เตอร์มองไปยังจุดนั้นบ้าง แล้วเขาก็เห็นลูกสาวตัวน้อยกำลังพยายามปีนขึ้นมานั่งบนเก้าอี้สูงอย่างสุดกำลัง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูแบบนั้นเรียกรอยยิ้มแรกของวันให้ประดับอยู่บนใบหน้าชายหนุ่มผมสีสว่างอย่างง่ายดาย

 

“ยูจีน…”

 

“ขา…ป่าปี๊ แดดดี๊ช่วยยูจีนหน่อยสิคะ ยูจีนอยากนั่งข้างบนบ้าง อุ้มหน่อย อุ้ม”

 

เห็นแบบนั้นคนเป็นพ่ออย่างริชาร์ดก็ทำมึนไม่สนใจสิ่งที่ลูกสาวร้องขออีกครั้ง จนกระทั่งคุณพ่อผมทองฟาดมือลงไหล่หนาๆ แล้วขึงตาดุๆ ใส่นั่นแหละ ร่างใหญ่จึงหันไปอุ้มเด็กหญิงพลางหัวเราะหึๆ ในลำคอ

 

“ป่าปี๊ขา ยูจีนมารับกลับบ้านค่ะ”

 

เด็กน้อยผมสีเข้มฉีกยิ้มหวานจนตาหยีส่งให้คนที่ยืนหลังเคาน์เตอร์ ลี เพซได้แต่งงงันมองหน้าคุณพ่อผมดำสลับกับลูกน้อยไปมาอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อลูกสาวเอื้อมมือไปจับมือของเขาเอาไว้พร้อมกระตุกเบาๆ เรียวปากสวยของลีก็ระบายยิ้มกว้าง ขอบตาร้อนผ่าวราวน้ำตาแห่งความปีติมันเอ่อท้น ดวงหน้าขาวพยักหน้าตอบตกลงทันที

 

“อื้อ!”

 

 

 

 

 

“บ๊ายบายค่ะอาคริส ไว้มาเล่นกับยูจีนอีกนะคะ”

 

เด็กหญิงตัวน้อยขวัญใจประชาชนโบกมือหย็อยๆ กล่าวลาชายหนุ่มผมน้ำตาลแดงที่เดินออกมาส่งที่หน้าประตูร้าน ก่อนที่เธอและคุณพ่อทั้งสองจะเดินไปด้วยกัน คริส ไพน์มองภาพแผ่นหลังของทั้งสามคนนั้นแล้วก็อดยิ้มอย่างนึกเอ็นดูไม่ได้ ข้อมือเรียวถูกยกขึ้นดูเวลา เหลืออีกชั่วโมงเศษๆ ร้านก็จะได้เวลาปิดแล้ว ชายหนุ่มเงยหน้ามองไปยังทางเท้าเบื้องหน้าอีกครั้งก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไปทำหน้าที่ของตนต่อ

 

ท้องถนนในเวลาเกือบเที่ยงคืนช่างดูเงียบเหงาผิดจากตอนฟ้าสว่างเป็นไหนๆ ดาวดวงเล็กๆ บนฟากฟ้าส่องแสงระยิบระยับราวกับจะแข่งกันอวดความสวยงาม เบื้องหน้าลี เพซคือคนที่เขารักที่สุดสองคนกำลังเดินจับจูงมือกันอยู่ มือป้อมๆ ของลูกสาวชี้ขึ้นฟ้าชักชวนให้คุณพ่อผมดำดูพระจันทร์ขี้อายที่หลบอยู่หลังเมฆสีเทา ใบหน้าด้านข้างของเธอดูน่ารักสดใส รอยยิ้มกว้างระบายอยู่บนใบหน้าพร้อมกับดวงตาสีเข้มที่ไม่มีเค้าของคนเป็นพ่ออย่างเขาเลยสักนิด

 

และแน่นอนว่า ยิ่งโตมา ยูจีนก็ยิ่งโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ความเป็นคนเอเชียมากขึ้น ทั้งดวงตาเรียวรี ทั้งสีผม สีตา และผิวพรรณ แต่ความแตกต่างนั้นไม่ได้ทำให้เขารักเธอน้อยลงเลย

 

“ป่าปี๊ขา เดินเร็วๆ สิคะ มันหนาวน้า~ มาจับมือกันค่ะจะได้อุ่นๆ เนอะแดดดี๊เนอะ”

 

ยูจีนหันมายิ้มหวานให้คุณพ่ออีกคนหนึ่งที่เดินรั้งท้าย เธอยกมือข้างที่ว่างอยู่โบกไปมาเรียกป่าปี๊ของเธอให้มาใกล้ๆ ชายหนุ่มผมทองยกยิ้มมุมปากบางๆ รู้ได้ทันทีว่าไอ้คำพูดน่ารักๆ แบบนี้ลูกสาวเขาคิดเองไม่ได้แน่นอน นอกจากจะมีคนเสี้ยมสอนให้เอ่ยออกมา

 

ลีเดินก้าวไปใกล้สองพ่อลูกที่หยุดรอเขาอยู่ นัยน์เนตรสีเข้มสบประสานกับคนรัก อมยิ้มน้อยๆ อย่างรู้ทันอีกฝ่าย ก่อนจะไปหยุดอยู่ข้างยูจีน แบมือซ้ายกางออกตรงหน้าเด็กหญิงตัวน้อย ไม่นานนักสัมผัสอุ่นๆ ก็ค่อยๆ แผ่ซ่านเมื่อลูกสาวช่างเจรจาวางมือขวาจับมือคุณพ่อผมทองแน่น ส่วนมือซ้ายเธอก็จับมือใหญ่ๆ ของคุณพ่อผมดำแน่นไม่แพ้กัน

 

ริชาร์ด อาร์มิเทจหันมายิ้มให้คนรักที่เพิ่งละสายตาจากลูกสาวมามองตน เผยรอยยิ้มอบอุ่นและกล่าวคำว่า ‘ขอบคุณ’ เบาๆ ส่งให้ ลียิ้มละมุนตอบกลับไปพลางพยักหน้าแผ่วเบา เขาต่างหากที่ต้องขอบคุณริชาร์ดที่ทำให้ชีวิตเขามีความสุขแบบในตอนนี้

 

และเพียงเสี้ยวนาทีคนตัวใหญ่ก็เอนใบหน้าเอาปลายจมูกกดแนบขมับคนรักอย่างที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว สูดกลิ่นหอมของแชมพูจางๆ อย่างรักใคร่ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาลูกสาวที่เงยหน้ามองคุณพ่อทั้งสองสลับไปมาราวกับดูแข่งกีฬาเทนนิส ก่อนเธอจะยิ้มหวานแล้วไม่พูดอะไร นอกจากดีดปลายเท้าพุ่งตัวไปข้างหน้า ลากชายหนุ่มทั้งสองให้ก้าวขาตามเธอเร็วๆ เรียกเสียงอุทานจากผู้ใหญ่และตามมาด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขดังลั่นท้องถนนยามค่ำคืนแบบไม่เกรงอกเกรงใจชาวบ้านแบบนี้

 

สุดท้ายแล้ว ทั้งเขาและริชาร์ดก็ไม่รู้หรอกว่า เด็กหญิงที่พวกเขารักและเลี้ยงดูมาตลอดแปดปีนั้นเป็นลูกสาวของริชาร์ดจริงๆ หรือไม่ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกในตอนนี้ ไม่ว่าพวกเขาทั้งสามคนจะผูกพันด้วยอะไร จะฟ้ากำหนด หรือโชคชะตากลั่นแกล้ง หรือสวรรค์ทำงานผิดพลาดก็เถอะ แต่ความสุขและความอบอุ่นที่เกิดขึ้นในตอนนี้นั้นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ความรักคือพลังอันยิ่งใหญ่จริงๆ

 

ต่อให้เธอจะเคยเป็นลูกสาวของใคร แต่ตอนนี้ ‘เธอ’ เป็นลูกสาวที่แสนน่ารักของเขาทั้งสอง และจะเป็นแบบนี้…ตลอดไป

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again : จบแย้วววว สารภาพว่าตอนจบนี่แบบแป้กจริงๆ (ร้องไห้) ยูจีนตัวจริงบอกว่าชื่อ Eugene จะเป็นชื่อของผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงจะเป็น Eugenia แต่ตอนแรกที่แต่งฟิคเรื่องนี้ก็ตั้งเป็นยูจีนไปแล้ว เลยต้องหาเหตุผลมารองรับเสียหน่อย ก็เลยออกมาเป็นฟิคเรื่องนี้ล่ะค่ะ ^^;;

 

ชอบไม่ชอบยังไงติชมคอมเมนต์กันได้ค่ะที่ทวิตเตอร์ @babibubell ได้นะก๊ะ ถึงจะไม่ค่อยได้เข้าไปเล่นแต่ถ้าเมนชั่นมาหาจะรีบกลิ้งไปตอบเลย >///< ขอบคุณที่ติดตามค่ะ

[NeUchida Fanfiction] My best friend the series – Cosplay

Title : My best friend the series – Cosplay

Pairing : Manuel Neuer x Atsuto Uchida

Author : Babibubell

Talk : เหตุเกิดเพราะภาพข้างล่างนี้…ที่น้องเหมียวอุจจี้คอสเพลย์เป็นโน้ตบุ๊ก แหะๆ >< ส่วนที่เหลือมโนล้วนๆ ค่ะ ฮ่าๆ

 

เป็นเรื่องราวของทั้งสองคนตอนที่ยังอยู่ทีมเดียวกัน จริงๆ เรื่องนี้แต่งเสร็จนานมากๆ แล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้เอามาลงเสียที (ได้แต่ส่งให้เจ๊กวาอ่านคนเดียว) พอได้ฤกษ์เอามาลงก็ประจวบเหมาะกับเพิ่งได้ดูคลิปที่คุณ @ucchii_atsuto แปลซับไทยให้ (ก้มกราบ ขอบพระคุณค่ะ) เลยกลับมาแก้รายละเอียดนิดๆ หน่อยๆ ตอนแรกนึกว่าจะเสร็จไม่ทันวันนี้ แต่ยังไงก็สำเร็จแล้วค่ะ T^T

 

สนุกไม่สนุกยังไงติติงกันได้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามค่า :D

 

 

 

10647563_833536419998692_2113700587_n

 

“นี่…สอนภาษาญี่ปุ่นให้หน่อยสิ”

 

เสียงทุ้มๆ เอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหาร คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคนพูดถึงกับอ้าปากค้าง ส้อมที่ม้วนเส้นพาสตาอยู่ในมือหยุดชะงักกลางอากาศ ดวงตาสีเข้มเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยพร้อมๆ กับเรียวคิ้วสวยที่เลิกขึ้นทันทีที่ได้ฟังประโยคขอร้องนั่นจนจบ

 

“ภาษาญี่ปุ่น?”

 

ถามย้ำกลับไปเสียงสูง นึกคึกอะไรขึ้นมาอยากมาเรียนภาษาบ้านเกิดเขาเนี่ย…

 

“ใช่ๆ”

 

ตอบพลางพยักหน้าหงึกหงัก ใบหน้าคมคายระบายยิ้มกว้างขวางจนดวงตาหยีลง ท่าทางกระตือรือร้นดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจ คนตัวเล็กเห็นแล้วก็อดนึกเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะมันเหมือนหมาโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่ที่คาบจานร่อนฟริสบีไว้ในปากแล้วพยายามออดอ้อนให้เจ้าของพาไปวิ่งเล่นในสนามยังไงยังงั้น

 

น่าแกล้งชะมัด…

 

“ไม่อะ”

 

ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาม้วนเส้นพาสตาในจานต่อไป ทำเป็นไม่สนใจคนตัวใหญ่ที่นั่งไหล่ห่อคอตก ดูอย่างกับเจ้าหมาที่โดนเจ้าของปฏิเสธไม่พาไปวิ่งเล่นอย่างงั้นแหละ

 

อัตสึโตะ อุจิดะเหลือบตามองไปยังคนตรงข้ามที่นั่งทำหน้าหงอย ร่างกายใหญ่โตดูฟีบเล็กลงเมื่อโดนเขาปฏิเสธ เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่หัวเราะคิกคักอยู่ในใจ ขืนเสียงดังออกไปเดี๋ยวหมอนั่นรู้หมดว่ากำลังโดนแกล้ง

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารตัวยาวสีเข้มไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ มีเพียงเสียงส้อมกระทบจานกระเบื้องสีขาวเท่านั้นที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แถมดูท่าจะดังมาจากฝั่งนักฟุตบอลตัวเล็กเพียงคนเดียวเสียด้วย เพราะอีกฝ่ายเอาแต่เขี่ยอาหารในจานไปมาเท่านั้น ถ้าเป็นคนอื่นคงคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้มันน่าอึดอัด แต่สำหรับอุจิดะ เขากลับคิดว่าเพื่อนตัวใหญ่คนนี้ดูน่าเอ็นดูมากขึ้น

 

ริมฝีปากอิ่มกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองจ้องไปยังผู้รักษาประตูคนเก่งของทีม มือเล็กยกขึ้นมาเท้าคางตัวเองเอาไว้ เอียงคอเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม ทุกกิริยาดูเชื่องช้าราวกับจงใจแสร้งทำ

 

“ทำไมถึงอยากให้สอนล่ะ…นอยเออร์ซัง”

 

ภาษาเยอรมันสำเนียงแปร่งๆ ถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากสวย ทั้งๆ ที่มันฟังดูไม่รื่นหูเหมือนเจ้าของภาษาพูดเอง แต่มานูเอล นอยเออร์กลับรู้สึกว่าเสียงเล็กๆ นั่นน่าฟังกว่าที่คนอื่นพูดเป็นไหนๆ

 

“ก็…”

 

เสียงใหญ่ครางเครือในลำคอแล้วเงียบไปไม่เอ่ยตอบอะไร หนุ่มผมทองที่ร่าเริงอยู่เสมอกลับดูเชื่องเป็นลูกหมาหงอยแบบนี้ ยิ่งทำให้เจ้าแมวเหมียวได้ใจ

 

เวลาอยู่กันสองคนทีไรเป็นแบบนี้ทุกทีสิน่า…

 

“ก็ได้”

 

“เอ๋?”

 

“บอกว่าก็ได้ไง”

 

“เย้!”

 

เสียงหงอยๆ เมื่อกี้ตะโกนดีใจขึ้นมาดังลั่นพร้อมกับร่างใหญ่ที่ลุกพรวดชูไม้ชูมือขึ้นจนเก้าอี้ไม้ตัวยาวแทบจะหงายล้มตึงไปข้างหลัง แต่พอโดนสายตาดุๆ ปรายปรามเท่านั้นแหละ ไอ้ที่ยิ้มกว้างๆ ก็รีบหุบลงแล้วนั่งสงบเสงี่ยมอย่างกับเด็กเวลาโดนแม่ดุไม่มีผิด

 

บอกแล้ว…ว่ามันน่าแกล้งจริงๆ

 

 

 

หลังจากที่ชายหนุ่มผมทองเก็บจานไปล้างเสร็จเรียบร้อย เขาก็เดินตรงมายังร่างเล็กที่นั่งกินขนมอยู่บนโซฟาหน้าทีวี แน่นอน ตอนแรกตกลงกันไว้ว่า ช่วยกันทำ ช่วยกันล้าง แต่พอจัดการอาหารค่ำกันเสร็จเขากลับต้องเป็นคนล้างคนเดียวเสียทุกครั้ง! ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอจะอ้าปากเถียงเจ้าปีศาจนั่นก็รีบยกคำว่า ‘สอนภาษาญี่ปุ่น’ มาอ้างทันที

 

ใครว่าคนญี่ปุ่นใจดี มานูเอล นอยเออร์คนนี้ขอเถียงสุดใจ!

 

“เสร็จแล้ว”

 

“หือ เสร็จแล้วเหรอ นั่งสิๆ”

 

คนตัวเล็กนั่งชันเข่าอยู่บนโซฟาสีเข้มขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่เกินครึ่งของห้องรับแขก เขารีบเขยิบไปชิดริมฝั่งซ้าย เว้นที่ว่างให้คนตัวใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งได้สบายๆ พลางเอามือตบเบาะที่ว่างข้างๆ นั่นสองสามทีราวกับกำลังเรียกน้องหมาตัวโตให้กระโดดขึ้นมานอนบนโซฟาเดียวกัน

 

และมานูเอล นอยเออร์ก็ทำตามอย่างว่าง่าย ชายหนุ่มหย่อนก้นลงบนโซฟาพลางเอนหลังไปกับเบาะนุ่ม หวังจะนั่งให้สบายๆ หลังจากที่ต้องยืนก้มตัวลงไปล้างจาน ถึงแม้เคาน์เตอร์อ่างล้างจานในห้องครัวของอุจิดะมันจะมีความสูงมาตรฐาน แต่คนตัวสูงเกินมาตรฐานอย่างเขายังไงมันก็ต้องก้มจนเมื่อยหลังอยู่ดี แล้วยิ่งเวลามาบ้านเพื่อนตัวเล็กทีไร เขาก็ต้องเป็นคนล้างจานด้วยตลอดแบบนี้ แอบคิดเหมือนกันว่าสักวันคงต้องไปหาหมอกระดูกแหงๆ

 

ทิ้งตัวนั่งได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีก็ต้องกระเด้งตัวผึงเปลี่ยนมานั่งหลังตรงเพราะมือเล็กที่ตบเบาะเมื่อกี้ดันไหล่เขาไปข้างหน้าจนหน้าหล่อๆ เกือบทิ่มพื้นแล้วฟาดมือลงยังแผ่นหลังกว้างดังป้าบ

 

“โอ๊ย!”

 

“ใครให้นั่งหลังงอแบบนี้กัน คนญี่ปุ่นน่ะเขาต้องนั่งหลังตรงนะรู้มั้ย!?”

 

นอยเออร์ที่โน้มตัวไปข้างหน้าอย่างไม่ได้ตั้งใจอยากจะตอบเจ้าตัวเล็กนี่ไปเหลือเกินว่า ‘ก็ไม่รู้น่ะสิ’ แต่ที่ทำได้ก็เพียงแค่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเท่านั้น ถึงแม้ในใจจะนึกกังขาในคำพูดของอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อยแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็จะไม่ให้สงสัยได้ไง ในเมื่อเจ้าตัวคนพูดที่เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ กลับนั่งชันเข่าสองข้างแล้วเอามือกอดขาตัวเองแน่นอยู่แบบนั้นน่ะ นี่มันตรงกันข้ามกับที่บอกเขาชัดๆ

 

“เอ้า…นั่งดีๆ หน่อยสิ หลังตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง นั่น อย่างนั้นแหละ เด็กดี~”

 

ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปขยี้ผมสั้นสีทองของอีกฝ่ายเล่นราวกับลูบหัวสุนัขผู้จงรักภักดี

 

“อะไรน่ะ ให้มาสอนภาษาญี่ปุ่นนะ ไม่ได้ให้สอนอย่างอื่นซะหน่อย”

 

คนตัวใหญ่เอ่ยตัดพ้อพร้อมเบะปากอย่างงอนๆ ซึ่งมันดูไม่ได้เข้ากันเลยสักนิด อุจิดะที่นั่งตัวกลมบนโซฟาหลุดหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างชอบอกชอบใจ ก่อนจะเอนตัวไปพิงไหล่ของเพื่อนคนสำคัญที่นั่งงอนอยู่ข้างๆ

 

“โอ๋ๆ ก็ฉันน่ะ…นอกจากภาษาแล้วก็อยากให้นายเรียนรู้อย่างอื่นเกี่ยวกับประเทศที่ฉันเกิดไว้ด้วยนี่นา…นะ”

 

เสียงเล็กๆ เอ่ยตอบแก้ตัวอย่างเอาอกเอาใจพลางช้อนตามองไปยังคนที่นั่งหลังตรงอยู่ข้างๆ ฉีกยิ้มหวานสมทบไปอีกที

 

พอเจอสายตาอ้อนๆ เข้าไปแบบนั้นใครล่ะจะกล้าปฏิเสธลง

 

“อื้อ”

อัตสึโตะ อุจิดะระบายยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบรับนั่น สายตาหลุบต่ำมองไปยังมือใหญ่ทั้งสองข้างของอีกฝ่ายที่วางแผ่อยู่ตรงหน้าตัก ก่อนจะสังเกตเห็นอะไรผิดปกติบางอย่างจนเรียวคิ้วสวยขมวดมุ่นด้วยความกังวลใจ

 

มือใหญ่ๆ นั่นแดงเล็กน้อยอย่างคนสุขภาพดี แต่สิ่งที่ทำให้คนตัวเล็กกังวลน่ะไม่ใช่สีแดงเลือดฝาดหรอก แต่เป็นรอยหนังลอกตามนิ้วต่างหาก พอเห็นแบบนั้นเขาก็รีบคว้ามือนั่นขึ้นมาทันที เล่นเอาเจ้าของมือตั้งตัวไม่ทัน

 

“เฮ่ๆ ทำอะไรน่ะ”

 

ชายผมทองเอ่ยถามอย่างตกใจเมื่ออีกฝ่ายจับมือตนแล้วดึงเข้าไปใกล้ใบหน้าพลางจดจ้องราวกับว่าบนฝ่ามือเขามีรายการทีวีรายการโปรดฉายอยู่ยังไงยังงั้น

 

เด็กหนุ่มชาวเอเชียยังคงเงียบไม่ตอบอะไร ดวงตาเรียวไล่มองไปตามรอยหนังลอกที่นอกจากบริเวณนิ้วแล้วยังมีตรงฝ่ามืออีกด้วย อีกทั้งตอนแรกที่คว้ามือของผู้รักษาประตูคนเก่งเอาไว้ก็ต้องตกใจกับความเย็นที่แผ่ซ่านออกมาจากมือนั่น ถึงเขาจะไม่ใช่คนฉลาดนัก แต่ก็พอจะรู้ว่าไอ้ฝ่ามือที่ลอกๆ นั่นเป็นเพราะแพ้พวกน้ำยาล้างจานแหงๆ แล้วมือเย็นๆ นั่นก็เป็นเพราะล้างจานเมื่อกี้แน่ๆ

 

คิดได้แบบนั้นความรู้สึกผิดก็แล่นลิ่วขึ้นมาในใจ

 

“อุจิดะซัง”

 

ร่างสูงใช้มืออีกข้างโบกไปมาตรงหน้าอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักตัวเล็กนิ่งเงียบไป เลยลองเรียกชื่อดูแต่ก็ไม่ได้ผล

 

“อุจจี้?”

 

เรียกชื่อเล่นดูบ้าง ก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ กลับมา มานูเอล นอยเออร์เลยตัดสินใจดึงมือตัวเองที่ถูกเกาะกุมอยู่ออก และแน่นอนมันได้ผลทันที ดวงตาสีเข้มแบบคนเอเชียกะพริบปริบๆ แล้วเหลือบขึ้นสบตาเขา ชายหนุ่มผมทองมองเห็นสีหน้าคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเดียวกันแล้วก็นึกแปลกใจ

 

อัตสึโตะ อุจิดะทำหน้าเหมือนกำลังสำนึกผิดอย่างนั้นแหละ!

 

“อุจจี้…”

 

“นี่ นายรู้จักคอสเพลย์มั้ย?”

 

เสียงเล็กๆ เอ่ยถามแผ่วเบาต่อท้ายคำที่อีกฝ่ายพูดจบทันที เจ้าของคำถามเปลี่ยนจากนั่งหันหน้าไปทางทีวี มาเผชิญหน้ากับร่างใหญ่แทน แต่คราวนี้กลับก้มหน้านิ่งไม่ยอมเงยขึ้นมาสบตาร่างสูงแม้แต่น้อย นอยเออร์มองคนตัวเล็กด้วยความสงสัยอีกครั้ง จู่ๆ เพื่อนรักเขาเป็นอะไรไป

 

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้กระโตกกระตากอะไร นอกจากเก็บความกังวลไว้ในใจเงียบๆ แล้วเอ่ยตอบเพื่อยืดบทสนทนาออกไปโดยหวังว่าจะพบความจริงอะไรจากประโยคเหล่านั้นที่พูดคุยกันได้บ้าง จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนน่ารักของเขา

 

“อะไรนะ? คอส…คอสเพลย์? ไม่เห็นรู้จักเลย มันคืออะไรอะ?”

 

“ก็…มันเป็นวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นล่ะ แต่ตอนนี้แพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว มันคือการแต่งกายเลียนแบบหรือแสดงบุคลิกท่าทางตามตัวละครต่างๆ นายเคยเห็นพวกงานคอมมิกใช่มั้ย ที่มีคนแต่งตัวตามการ์ตูนหรือหนังน่ะ นั่นแหละเขาเรียกว่าคอสเพลย์ล่ะ”

 

“อ่าฮะ”

 

อธิบายไปพลางเหลือบตามองคนตรงหน้าเป็นระยะๆ นอยเออร์ตั้งอกตั้งใจฟังเป็นอย่างดี พยักหน้าหงึกหงักตามอย่างว่าง่าย ดวงตาเป็นประกายวิบวับเมื่อได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ของประเทศญี่ปุ่น ยิ่งพอบวกกับท่าทางนั่งคอตั้งหลังตรงแบบนี้ด้วยแล้ว อุจิดะยิ่งแอบรู้สึกผิดในใจมากขึ้น

 

เอาจริงๆ ก็สงสารนะ ถ้าวันนี้ไม่ได้ก้มมองมือใหญ่ๆ นั่น ก็คงไม่รู้ว่าเจ้าบ้านี่แพ้น้ำยาล้างจาน ทั้งๆ ที่ปกติเราสองคนก็จับมือ จับหน้ากันบ่อยๆ แต่ทำไมเขาไม่เคยสังเกตเห็นเลย… แถมหมอนั่นก็อุบเงียบ ไม่เคยคิดจะบอกอะไรเขาสักคำ เวลามาทำอะไรกินที่บ้านเขาทีไร หมอนี่ก็ต้องเป็นคนล้างตลอด (ถึงแม้เขาจะใช้วิธีสกปรกหลอกล่อให้ทำก็เถอะ…) แล้วก็ไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่น้อย

 

อยู่กับเขา…ไม่จำเป็นต้องยอมเขาหมดทุกอย่างก็ได้นะมานูเอล

ยิ่งนายใจดีแบบนี้…

ฉันยิ่งรู้สึกดี…มากขึ้นไปอีก

มีอะไรที่พอจะทำให้หมอนี่ได้บ้างมั้ยนะ…

 

“เฮ้ๆ แล้วยังไงต่ออะ ไอ้เรื่องคอสเพลย์อะ”

 

“อ๋อ เอ่อ คือวันนี้…ฉันก็เลยจะบอกว่า…ฉันจะคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอลล่ะ”

 

“อะ เอ๋? คอส…คอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอล?”

 

มานูเอล นอยเออร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง เขาเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินเสียงหวานๆ นั่นเอ่ยประโยคที่แสนพิลึกพิลั่นออกมา คนตัวเล็กนี่ทำหน้ายังไงเขาไม่อาจรู้ได้ เพราะดวงหน้าขาวก้มหน้างุดๆ ซ่อนใบหน้าเอาไว้ไม่ให้เขาเห็น แต่ถ้าเขาเดาไม่ผิด มันคงจะแดงก่ำไม่แพ้ใบหูเล็กๆ นั่นแน่ๆ

 

“ไหนนายบอกว่าพวกคอสเพลย์มันต้องเลียนแบบพวกตัวการ์ตูนหรือหนังไง แล้วทำไมถึงจะมาคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอลล่ะ?”

 

พอได้ยินแบบนั้น ใบหน้าขาวที่ขึ้นสีแดงก่ำมากกว่าเดิมก็เงยหน้าพรึ่บขึ้นมาสบตากับคนตัวใหญ่ ดวงตาสีเข้มเบิกกว้างที่ถูกอีกฝ่ายถามคำถามแทงใจ คำแก้ตัวล้านแปดวิ่งวนเวียนอยู่ในหัว แต่ไม่ว่าจะเลือกคำตอบแบบไหนมันก็ดูไม่เข้าท่าอยู่ดี ยิ่งพอโดนสายตาคาดคั้นคำตอบแบบใสซื่อนั่นด้วยแล้ว คนขี้แกล้งแบบอุจิดะกลับไปไม่เป็นเลยทีนี้

 

“ก็ฉัน…ฉัน…”

 

“ฉันอะไรอะ?”

 

“ไม่รู้ล่ะ ก็ฉันพอใจจะคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอลอ้ะ! นายมีปัญหาอะไรรึไง”

 

ในเมื่อไม่รู้จะแก้ตัวยังไงก็เถียงกลับแบบกำปั้นทุบดินไปเลยแล้วกัน

 

“อะ…สรุปจะคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอลเนี่ยนะ?”

 

“ใช่ ฉันจะคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอล เพราะงั้น…”

 

ชายหนุ่มผมทองแทบจะหยุดหายใจเพื่อรอฟังประโยคถัดมาที่กำลังจะออกมาจากริมฝีปากอิ่มนั่น ตอนแรกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ แต่พอเห็นท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายแล้วมันก็อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ ใบหน้าแดงก่ำ ลมหายใจติดขัด แถมไม่ยอมสบตาเขาอีก พอเห็นแบบนั้น หัวใจดวงน้อยของเขาก็เต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ มันตื่นเต้นยิ่งกว่าได้ลงแข่งฟุตบอลโลกครั้งแรกเสียอีก

 

“เพราะงั้น…นายจะทำอะไรกับลูกฟุตบอลตรงหน้าล่ะ คุณผู้รักษาประตู”

 

 

 

เตียงนอนสีขาวสะอาดที่ปกติทุกๆ คืนมันจะมีมนุษย์เพียงคนเดียวจับจองเป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ในคืนนี้นอกจากเจ้าของห้องอย่างอัตสึโตะ อุจิดะแล้ว กลับมีร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนนอนกอดก่ายอยู่ข้างกายกันไม่ห่าง

 

แผ่นหลังเล็กๆ แนบชิดติดกับแผ่นอกกว้างของอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่อากาศก็ออกจะหนาวเย็นแท้ๆ แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าไอ้ผู้รักษาประตูคนเก่งของทีมดันเป็นคนชอบถอดเสื้อนอนน่ะ! เอาจริงๆ ตอนแรกหมอนั่นบอกว่าจะแก้ผ้านอนด้วยซ้ำ ตอนที่อุจิดะเห็นคนตัวใหญ่กำลังจะถอดกางเกงชั้นในสีขาวที่ใส่อยู่ออก เขารีบวิ่งไปห้ามไว้แทบไม่ทัน ก่อนจะออกปากขั้นเด็ดขาดว่าถ้าถอดหมดก็อย่าหวังว่าจะได้ขึ้นมานอนเตียงเดียวกันเป็นอันขาด นั่นแหละหมอนั่นถึงยอมดึงทั้งกางเกงนอกกางเกงในกลับขึ้นไปเกี่ยวไว้ตรงเอวเหมือนเดิม

 

“เฮ่! จับตรงไหนน่ะ!?”

 

เจ้าของเตียงส่งเสียงเอะอะออกมาดังลั่นพลางทำท่าจะหันไปโวยวายใส่อีกฝ่ายที่วางมือซุกซนไว้บริเวณแถวหน้าท้องเขา แต่พอจะหันไปเท่านั้นแหละ วงแขนแกร่งก็กระชับรั้งร่างเล็กๆ นั่นให้แนบชิดมากกว่าเดิม อุจิดะอยากจะตะโกนให้ดังยิ่งกว่าตอนแรกว่า นายสมองเสื่อมหรือฟังภาษาเยอรมันไม่เข้าใจรึไง! เขาบอกว่าคอสเพลย์เป็น ‘ลูกฟุตบอล’ นะ ไม่ได้คอสเพลย์เป็น ‘หมอนข้าง’ เสียหน่อย จะกอดเขาแน่นมากไปแล้ว ไอ้บ้าตาฟ้าหัวทอง!

 

“ชู่ว…เบาๆ หน่อยสิ ดึกแล้ว ฉันง่วงแล้วนะ วันนี้ซ้อมมาทั้งวันด้วย เหนื่อยจะแย่”

 

เสียงทุ้มต่ำงึมงำอยู่ข้างใบหู ชิดใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ เป่ารดซอกคอขาวที่ถูกใบหน้าคมซุกไซ้อยู่ จมูกโด่งๆ นั่นซุกซนไม่แพ้มือที่แตะต้องอยู่แถวๆ หน้าท้อง มันไล่สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆ จนคนตัวเล็กรู้สึกจั๊กจี้อยู่ไม่น้อย แต่พอถูกดุใส่ว่าให้เบาเสียงลงหน่อย อุจิดะก็นอนตัวแข็งทื่อไม่กระดุกกระดิกไปไหน ทั้งๆ ที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกหาเศษหาเลยอยู่แท้ๆ แต่พอได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะบ่งบอกว่าคนตัวใหญ่นี่ก้าวล้ำเข้าสู่ห้วงนิทราอันสงบสุข อัตสึโตะ อุจิดะก็เผลอยกยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

 

“นอยเออร์ซัง…”

 

ชายหนุ่มผมดำลองเรียกชื่ออีกฝ่ายดูเบาๆ แต่ก็ไม่ได้รับเสียงอะไรตอบกลับมา ดวงตาสีเข้มที่คุ้นชินกับความมืดในห้องนอนของตนดีแล้วเหลือบมองไปทางด้านหลังพร้อมกับหันศีรษะไปเล็กน้อย เขาอยากจะตรวจให้แน่ใจว่าเจ้าของมือใหญ่ที่นอนกอดตนเองอยู่นั้นหลับสนิทแล้วจริงๆ

 

“มานูเอล”

 

เมื่อไม่เห็นความสุกใสของแววตาที่สะท้อนกลับมาก็รู้ทันทีว่าคนตัวใหญ่หลับไปแล้วจริงๆ อุจิดะหันกลับไปนอนท่าเดิมพลางเบียดกายแนบชิดกับแผ่นอกกว้างโดยไม่ต้องมีแรงใดมาดึงรั้ง มือเล็กเอื้อมไปจับฝ่ามือของเพื่อนสนิทที่วางแหมะอยู่บนหน้าท้องตนอย่างหมิ่นเหม่เกือบถึงท้องน้อยขึ้นมา สอดนิ้วทั้งห้าประสานเข้ากับนิ้วมือของอีกฝ่าย ออกแรงยกให้สูงขึ้นแล้วจ้องมองมือสวยนั่นท่ามกลางความมืดภายในห้องนอนสี่เหลี่ยมกว้างที่มีแค่เราเพียงสองคน

 

“อาริงาโตะ”

 

คำขอบคุณเป็นภาษาญี่ปุ่นดังขึ้นเบาๆ จากเจ้าของภาษา รอยยิ้มแห่งความสุขผุดพรายอยู่บนใบหน้า มือเล็กที่ยังคงประสานมือของอีกฝ่ายไว้ดึงรั้งลงมาแล้วประทับกลีบปากอิ่มลงไปยังหลังมือใหญ่ๆ นั่นอย่างอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณในหัวใจ ก่อนจะหลับตาพริ้ม แล้วเข้าสู่ราตรีกาลอันเปี่ยมสุขไปอีกคน

 

เขาไม่ได้อยากคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอลให้กอดหรอกนะ แต่เห็นแก่ที่ทำตัวน่ารัก แถมยังล้างจานให้เขาตลอด เลยยอมให้แตะนู่นแตะนี่อยู่แบบนี้น่ะ

 

ที่ยอมให้ทำเพราะสงสารหรอก ไม่ได้อยากถูกกอดเลยสักนิด

 

จริงจริ๊ง!

 

 

 

อากาศเย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศทำให้เจ้าแมวเหมียวตัวน้อยขี้เกียจจะขยับตัวไปไหน ที่นอนสีขาวนุ่มอันเดิมแต่เช้านี้เขากลับรู้สึกว่ามันอุ่นและนอนสบายกว่าเดิมยังไงก็ไม่รู้ สบายจนอัตสึโตะ อุจิดะเผลอยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ ให้กับความสุขที่ตนเองกำลังกอดก่ายอยู่ ใจจริงอยากจะนอนให้นานกว่านี้นะ ถ้าไม่ติดตรงที่ว่าต้องรีบไปซ้อมแต่เช้าน่ะ

 

ดวงตาสีเข้มเคลื่อนไหวภายใต้เปลือกตาบาง ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาช้าๆ พร้อมกับเสียงอื้ออึงที่บ่งบอกถึงความเกียจคร้านในเช้าวันใหม่ แต่แล้วภาพที่เห็นเป็นอย่างแรกหลังจากลืมตาขึ้นมาก็เล่นเอาสติสตางค์ของนักฟุตบอลสัญชาติญี่ปุ่นแตกกระเจิง เมื่อตรงหน้าเขาคือแผ่นอกขาวๆ ที่ปราศจากสิ่งใดปกปิด ถ้าแค่นั้นคิดว่าหน้าแดงแล้วก็ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นไปนั้นก็ต้องพบกับรอยยิ้มหวานๆ ของมานูเอล นอยเออร์ที่นอนเอาข้อศอกยันหมอนนุ่มและใช้ฝ่ามือรองศีรษะ ส่วนมืออีกข้างก็วางพาดอยู่บนช่วงเอวเขา

 

เฮ่ย!

 

โอเค ตื่นเต็มตาแล้ว

 

เท่านั้นดูเหมือนจะตกใจไม่พอ เมื่อมองไปยังมือตัวเองก็พบว่ามันวางพาดอยู่บนลำตัวอีกฝ่ายอีกด้วยเรียกว่าชักกลับมาแนบอกตัวเองแทบไม่ทัน โอย ให้ตายเถอะ เขินชะมัด!

 

“อรุณสวัสดิ์”

 

เสียงทุ้มทักทายเป็นภาษาเยอรมัน ทั้งๆ ที่เป็นประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยบอกอยู่ทุกเช้า แต่ทำไมพออยู่ในสถานการณ์แบบนี้เขากลับรู้สึกว่ามันเป็นประโยคที่ทำให้หน้าร้อนผ่าวได้สุดๆ แบบนี้ก็ไม่รู้

 

“อื้อ อะ…อรุณสวัสดิ์”

 

ตั้งใจว่าจะก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนใบหน้าเขินอายไว้ แต่ที่ไหนได้ ก้มปุ๊บก็เจอแผ่นอกขาวๆ ปั๊บ ถ้าเงยหน้าก็เจอรอยยิ้มทรงเสน่ห์นั่นอีก ขณะที่คนตัวเล็กไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหน เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยถามดึงความสนใจไปเสียก่อน

 

“ภาษาญี่ปุ่นคำว่า ‘อรุณสวัสดิ์’ พูดว่าอะไรเหรอ”

 

“เอ๋?”

 

ใบหน้าขาวเงยขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่ดูร่าเริงแจ่มใสไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนเลยสักนิด นี่อย่าบอกนะว่านอนจ้องเขาอยู่แบบนี้นานแล้วน่ะ

 

“นี่นาย!”

 

“ตอบคำถามฉันก่อนสิ อรุณสวัสดิ์ในภาษาญี่ปุ่นน่ะพูดว่ายังไง”

 

หนุ่มหน้าใสชาวเยอรมันดูไม่สะทกสะท้านเขินอายอะไรเลยสักนิด ทั้งๆ ที่เขาทั้งสองคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกันนี่นะ ยิ่งพอเห็นรอยยิ้มใสซื่อนั่นยิ่งทำให้ร่างเล็กรู้สึกว่า ไอ้ที่เขินกับสถานการณ์แบบนี้น่ะมันมีแต่เขาคนเดียวสินะ…พวกคนตะวันตกนี่น่าอายชะมัด!

 

“ตอบเร็วๆ สิ”

 

“อะเอ้อ ก็พูดสั้นๆ ว่าโอะฮะโยะน่ะ”

 

“เหรอ…”

 

เสียงทุ้มต่ำตอบรับคำยาว ทิ้งหางเสียงอย่างแปลกๆ จนอัตสึโตะ อุจิดะที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีในอะไรบางอย่าง หมอนี่ใสซื่อ เอาจริงเอาจังก็จริง แต่บทจะเจ้าเล่ห์ขี้แกล้งนั้น คนเกรียนๆ อย่างเขานี่เทียบไม่ติด

 

พนันได้เลยว่าเดี๋ยวเจ้าหมายักษ์ต้องให้เขาสอนคำบ้าๆ บอๆ แน่ๆ

 

“แล้ว… ‘ราตรีสวัสดิ์’ ล่ะ พูดว่าไง”

 

เด็กหนุ่มชาวญี่ปุ่นเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจที่คนตัวใหญ่ถามคำเบสิกๆ ที่ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยหรือดูมีจุดมุ่งหมายจะแฝงความนัยเพื่อแกล้งหยอกอะไรเขา อุจิดะเริ่มลืมเลือนสถานภาพล่อแหลมตรงหน้าไปนิดหน่อย เขาเลิกเกร็งแล้วปล่อยตัวตามสบาย จนลืมคิดถึงน้ำหนักของท่อนแขนใหญ่ที่มันวางพาดอยู่ตรงช่วงเอวตนเอง นั่นยังไม่นับนิ้วยาวๆ ที่วนไปมาบนเนื้อนวลนั่นอีกนะ

 

“อืม…ก็พูดว่าโอะยะซุมิ นายถามทำไม”

 

คนตัวโตกว่าไม่ตอบอะไร เพียงแต่เม้มปากทำตาโตราวกับจะล้อเลียนอะไรสักอย่าง ดวงตาสีฟ้าเทาพราวระยับ ยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยตอบข้อสงสัยอย่างหยอกเย้าให้กับคนตัวเล็กที่นอนทำหน้างุนงงอยู่บนเตียงนุ่ม

 

“เปล่า ก็…แค่นึกว่าต้องพูด… ‘อาริงาโตะ’ ซะอีก”

 

ตอบพลางละมือที่เกี่ยวเอวบางขึ้นมาบีบจมูกรั้นเล็กๆ ของเจ้าของเตียงที่ตอนนี้หน้าเหวอแบบเด็กโดนเปิดโปงความลับที่อุตส่าห์ปิดบังไว้ไปแล้ว บีบและโยกไปมาเล็กน้อยอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะยิ้มกว้างพลางยักคิ้วหลิ่วตาให้อย่างเจ้าเล่ห์ แล้วสะบัดผ้าห่มผืนนุ่มออก ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ปล่อยให้เจ้าแมวน้อยที่หน้าแดงก่ำรับอรุณลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิส่งเสียงฮึมฮัมกระฟัดกระเฟียด ยิงรังสีสายตาอำมหิตใส่แผ่นหลังกว้างของคนที่ยืนหันหลังให้ ถ้าทำได้คงกระโดดตะปบหัวทองๆ ของอีกฝ่ายไปแล้ว

 

ยังไม่หลับก็ไม่บอก!

 

“อ้อ ลืมไป”

 

“เอ๋?”

 

จู่ๆ ผู้รักษาประตูคนเก่งในร่างเกือบเปลือยก็หยุดมือที่ชูขึ้นฟ้าบิดขี้เกียจกะทันหัน ส่งเสียงอุทานประมาณว่าลืมทำอะไรสักอย่าง ได้ยินดังนั้นร่างเล็กที่นั่งหน้ามุ่ยอยู่ก็หยุดโมโหไปแว้บหนึ่ง

 

และมันเป็นการหยุดโมโหแค่แว้บเดียวเท่านั้น เพราะเสี้ยววินาทีต่อมา อัตสึโตะ อุจิดะก็โมโหอย่างหนัก เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ไอ้คนตัวใหญ่บอกว่าลืมไปเมื่อกี้คืออะไร

 

มานูเอล นอยเออร์หมุนตัวกลับมาเห็นใบหน้าเอ๋อๆ ของเพื่อนร่วมทีมก็หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ก่อนจะก้มตัว เคลื่อนใบหน้าหล่อเข้าใกล้ในระดับเดียวกับใบหน้าอีกฝ่าย มือที่ปกติจับแต่ลูกฟุตบอลตอนนี้เอื้อมมาเชยคางเล็กๆ นั่นไว้แล้วเอียงใบหน้าน่ารักของลูกเหมียวตัวน้อยก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปยังแก้มเนียนขาวนั่นอย่างแผ่วเบา

 

“ลืมว่า…ทุกเช้าฉันต้องจูบลูกฟุตบอลตอนตื่นนอนด้วยน่ะสิ หึๆ”

 

ขยิบตาส่งท้ายก่อนจะเดินผิวปากออกไปจากห้องนอนของคนตัวเล็กอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้เจ้าของบ้านนั่งนิ่งด้วยความงุนงงก่อนจะได้ยินเสียงโวยวายดังลั่นตามออกมาเมื่อสติสตางค์กลับเข้าที่เข้าทางดีแล้ว

 

หึๆๆ คอสเพลย์มันสนุกอย่างนี้นี่เอง

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

แถมๆ

ย้อนกลับไปเมื่อคืนก่อนนอนสักเล็กน้อย

 

“เพราะงั้น…นายจะทำอะไรกับลูกฟุตบอลตรงหน้าล่ะ คุณผู้รักษาประตู”

 

มานูเอล นอยเออร์แทบไม่เชื่อหูตัวเอง

 

ทั้งๆ ที่ปกติเสียงเล็กๆ นี่ออกจะพูดจาฉะฉาน กล้าพูดกล้าเถียงกล้าต่อปากต่อคำเขาฉอดๆ แท้ๆ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นน้ำเสียงของคนไม่มั่นใจไปเสียแล้ว ประโยคที่เอ่ยออกมาดูขลาดกลัวแต่ก็ยั่วเย้าอยู่ในที พอพูดจบก็ก้มหน้าก้มตางุดๆ ตามเดิม

 

กลุ่มผมสีดำที่ก้มต่ำอยู่ตรงหน้าสั่นไหวเล็กน้อยตามไหล่บางๆ ที่สั่นเทา เห็นแบบนั้นแล้วมือใหญ่ทั้งสองเลยประคองดวงหน้าขาวของคนตัวเล็กขึ้นมาช้าๆ แต่ถึงอย่างนั้นอัตสึโตะ อุจิดะก็ยังเสสายตาไปทางอื่นไม่ยอมสบดวงตาสีฟ้าเทานั่น ริมฝีปากช่างเจรจาถูกเม้มสนิทติดกันแน่น ราวกับกลัวว่าถ้าเผลอเผยอปากเพียงนิดเดียวแล้วประโยคหน้าอายอื่นๆ จะหลุดตามออกมาเสียหมด

 

แต่แล้วประโยคที่อุจิดะคิดว่ามันน่าอายกว่าอะไรทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ก็หลุดออกมาจากริมฝีปากแดงอิ่มของไอ้คนหน้ามึนนั่น

 

“นายรู้หรือเปล่าว่า…เวลาฉันนอน ฉันเอาลูกฟุตบอล ‘ขึ้นเตียง’ ด้วยนะ”

 

ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคกำกวมนั่น ดวงตาสีเข้มแบบชาวตะวันออกเบนกลับไปถลึงตาดุๆ ใส่คนตัวใหญ่ คนขี้แกล้งสาบานตรงนี้เลยว่า ที่บอกว่าคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอลน่ะ ตั้งใจจะให้แค่อีกฝ่ายจุ๊บหน้าผาก หอมเหม่ง หรืออะไรก็ตามแต่แบบที่เวลาหมอนั่นชอบทำกับลูกฟุตบอลหรอกนะ ไม่ได้คิดถึงขั้นเลยเถิดว่าหมอนี่มันจะโรคจิตเอาลูกฟุตบอลไปนอนบนเตียงด้วยนี่นา!

 

“หึๆ”

 

เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเบาๆ สถานการณ์ตอนนี้เริ่มพลิกกลับ จากที่คิดว่าจะได้แกล้งเจ้าหมาตัวใหญ่ แต่ดูท่าว่าตอนนี้ลูกแมวน้อยอย่างเขาจะเป็นฝ่ายโดนไล่ต้อนแทนซะแล้ว

 

“เอาล่ะ”

 

จู่ๆ คนตัวใหญ่ก็ยืนขึ้นเต็มความสูงพลางยืนหันหน้าเข้าหาโซฟาตรงหน้าร่างเล็กที่นั่งเอ๋ออ้าปากค้างเงยหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาด้วยความฉงนใจ ยิ่งพอมือใหญ่ยื่นลงมาข้างหน้าเข้าหาเขา อุจิดะยิ่งงงหนักมากขึ้นไปอีก

 

“อะไร? ‘เอาล่ะ’ อะไรของนายน่ะ”

 

“กลับบ้านไง ฉันจะอุ้มลูกฟุตบอล ‘ของฉัน’ กลับไปนอนที่บ้านด้วย เพราะงั้นลุกเลยลุก”

 

“เฮ่ย!”

 

บ้าแล้ว! จะให้เขาไปนอนค้างที่บ้านหมอนี่ บนเตียงหมอนี่เนี่ยนะ! ไม่เอาด้วยหรอก ยิ่งเห็นแววตาเปล่งประกายระยับของคนตัวใหญ่แล้วมันไม่ชอบมาพากลยังไงก็ไม่รู้

 

“ไม่รู้ล่ะ เร็วๆ เลย ยืนขึ้น ฉันจะอุ้มนายกลับบ้านแล้ว”

 

“ไม่เอาเฟ้ย! ไม่ไปนอนบ้านนายเด็ดขาด”

 

คนตัวเล็กปฏิเสธเสียงแข็งพลางนั่งชันขากอดเข่าตัวเองแน่น มันเหมือนลูกแมวตัวน้อยกำลังจนมุมอยู่บนโซฟาสีเข้มแล้วขู่ฟ่อๆ ยังไงยังงั้น ดูแล้วน่ารักเหลือเกินในสายตาของมานูเอล นอยเออร์

 

“ไม่ไปนอนบ้านฉัน งั้นก็หมายความว่า…ให้ฉันนอนบ้านนายได้สินะ”

 

“เฮ่ ฉันไม่ได้…เฮ่ย! นายจะทำอะไรน่ะนอยเออร์! ปล่อยฉันลงนะ!”

 

เสียงเล็กๆ เปลี่ยนเป็นโวยวายทันทีที่คนตัวใหญ่ก้มตัวลงมาพร้อมตวัดวงแขนแกร่งช้อนร่างของคนขี้โวยวายนั่นขึ้นมาในอ้อมแขนในท่าเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาว อัตสึโตะ อุจิดะสะบัดขาบิดตัวดิ้นเร่าๆ พยายามออกแรงทั้งหมดที่มีเพื่อดิ้นหนีให้หลุดจากวงแขนใหญ่ๆ ของผู้รักษาประตูของทีม

 

แล้วมันก็สำเร็จ…

 

พอหลุดจากวงแขนแกร่งได้ คนที่บอกว่าคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอลก็กลิ้งหนีมือผู้รักษาประตูไปนั่งซุกตัวอยู่ที่มุมโซฟาอีกครั้ง พลางทำหน้าบูดหน้าบึ้ง พองลมเข้าแก้ม แสดงความไม่พอใจอีกฝ่ายออกมา

 

“ไม่ให้อุ้มลูกบอลแล้วฉันจะพานายขึ้นเตียงได้ยังไงล่ะ โอ๊ะ!”

 

ลูกฟุตบอลยัดนุ่นสีขาวแดงถูกปามาใส่ใบหน้าคมจังๆ ทันทีที่ร่างสูงพูดประโยคนั้นจบ ดวงตาสีฟ้าเทามองไปยังใบหน้าน่ารักๆ ของเพื่อนตัวเล็กที่ซับสีเลือดแล้วก็อดขำไม่ได้

 

“ฉันคอสเพลย์เป็นลูกฟุตบอล นายก็เตะฉันไปเซ่!”

 

ส่งเสียงแง้วๆ เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ได้ยินแบบนั้นก็ทั้งขำทั้งเอ็นดูในความคิดประหลาดๆ ของอัตสึโตะ อุจิดะ นี่ไม่อยากถูกอุ้มจนยอมให้เขาเตะเลยเหรอเนี่ย

 

“นายลืมไปรึเปล่าว่าฉันเป็นผู้รักษาประตู เพราะฉะนั้นฉันไม่เตะลูกฟุตบอล แต่ฉันจะรับมันไว้ในอ้อมแขนอย่างเดียว และแน่นอนว่า…”

 

“…”

 

“ฉันไม่ปล่อยให้ ‘ลูกฟุตบอล’ หลุดมือไปง่ายๆ หรอกนะ”

 

พูดจบก็ยกยิ้มมุมปากอย่างมั่นอกมั่นใจ เห็นแบบนั้นแล้วจะให้อัตสึโตะ อุจิดะปฏิเสธได้ยังไงล่ะ นอกจากลุกขึ้นจากโซฟาช้าๆ แล้วเดินเตาะแตะสะบัดไม้สะบัดมือแสดงออกว่าไม่ได้อยากเดินไปหาเท่าไหร่หรอกนะ ตรงไปยังร่างสูงที่ยืนกางแขนรอรับอยู่ ก้าวไปยังไม่ทันประชิดตัวเลยด้วยซ้ำ นอยเออร์ก็ฉุดแขนบางๆ นั่นดึงรั้งเข้ามาประทะอกแกร่ง แก้มเนียนใสถูกประคองด้วยมือใหญ่อีกครั้ง ก่อนสัมผัสอุ่นๆ จะประทับลงตรงหน้าผากมนสวยนั่น

 

ไม่นาน…ลูกฟุตบอลลูกเล็กก็ถูกผู้รักษาประตูคนเก่งคว้าเอาไว้ได้ และพาเข้าห้องนอนไปอย่างง่ายดาย

 

ก็เล่นพูดซะขนาดนี้ ลูกฟุตบอลอย่างเขาคงหนีไม่พ้นมือเหนียวๆ ของผู้รักษาประตูอันดับหนึ่งของทีมชาติเยอรมันแล้วล่ะ

 

 

 

 

The end (จริงๆ ละ)

 

 

 

 

 

Talk again : จบแย้ว… ตอนแรกที่ตั้งใจไว้คือ จะจบเรื่องทั้งหมดตรงแค่ประโยคที่อุจจี้พูดทิ้งท้ายถามมะนอย แต่ก็ดูจะเป็นการจบที่ใจร้ายเกินไปหน่อย (จริงๆ ไปจิ้นต่อเอาเองคงจะฟินกว่าที่เราแต่ง ฮื้อ) ก็เลยมีฉากต่อมาบนเตียงให้ด้วย แหะๆ แล้วพอแต่งไปแต่งมา ทำไมมันยาวขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ อะฮื้อ…

 

จริงๆ มะนอยคงไม่เจ้าเล่ห์ร้ายกาจแสนซนคนเก่งอะไรขนาดนี้ แต่เราว่าอุจจี้ที่ชอบเกรียนใส่คนอื่น เวลาอยู่กับมะนอยแล้วโดนแกล้งมั่งก็น่าจะน่ารักดี อ่าเฮะ… ><

 

ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตรงนี้ก๊ะ… หลังจากนี้คงจะหายไปนานมากๆ เพราะใกล้งานหนังสือแล้ว T^T คงจะไม่สามารถหาเวลาอู้งานมาแต่งฟิคได้ (นอนจมกองต้นฉบับ ฮื้อ) อย่าเพิ่งทิ้งกันไปนะก๊ะะะะ (อ้อนๆ)

[RichLee Fanfiction] Eugene the series – E10 Eugene First Class E01

Title : Eugene the series – E10 Eugene First Class E01

Pairing : Richard Armitage x Lee Pace and Little Eugene ft. Chris Pine

Author : Babibubell

Talk : เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงยูจีนค่ะ ลูกสาวของแดดดี๊ริชกับป่าปี๊ลี หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่าเธอเป็นใครมาจากไหน (เราก็ไม่ทราบเหมือนกัน ฮ่า) ตอนแรกคิดว่าจะปล่อยเบลอผ่านไป แต่ยูจีนตัวจริง (หือ?) กลับเรียกร้องสิทธิมนุษยชนขอภาคเฟิร์สคลาส (เธอเป็น X-MEN เหรอยะ) เพราะเธอต้องการทราบความจริงที่ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน และมาเป็นลูกของสองคนนี้ได้อย่างไร เราก็เลยจัดให้ซะหน่อย :D

 

ในเรื่องนี้ สีผมของคุณลีจะประมาณตอนเล่นในเดอะฮอบบิทนะคะ ส่วนคุณริชก็ผมดำค่ะ

 

ตอนแรกตั้งใจว่าจะไม่ลงฟิคเรื่องนี้จนกว่าจะแต่งฟิคเวียน ‘ตาหลากสี’ เสร็จค่ะ แต่พอดีเมื่อวันก่อนนนนนเป็นวันเกิดขุ่นริช และวันก่อนก็เป็นวันเกิดพี่ไพน์ แถมวันนี้ยังมีเรื่องราวดีๆ ของคุณริชกับคุณลีอีก เลยเอาลงกะด้ะ (ไม่มีใครขอนะ เอาลงเอง ฮ่า) ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ *โค้งสามสิบแปดตลบ*

 

 

 

<3<3<3

 

 

 

ลีไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีวันนี้

 

 

 

วันที่ต้องกลับมายังโรงเรียนอีกครั้ง กลับมานั่งในห้องพักครู รับรู้ความกดดันที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ถึงแม้ว่าสมัยที่เขาเรียนเขาจะเกเรเกตุงไปบ้าง แต่แทบจะนับครั้งได้เลยก็ว่าได้ที่เขาจะถูกเชิญผู้ปกครองมาพบแบบวันนี้ที่เขากำลังเผชิญอยู่

 

 

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเกือบทองนั่งกระวนกระวายใจอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะตัวใหญ่ที่บนโต๊ะมีป้ายชื่อคุณครูประจำชั้นระดับประถมตั้งเอาไว้ มือเรียวทั้งสองข้างประกบกันแน่นวางอยู่บนหน้าตัก บ่อยครั้งที่เผลอจิกเล็บเข้าไปในเนื้ออย่างไม่รู้ตัวด้วยความเครียด ใบหน้าขาวหันซ้ายแลขวาทุกครั้งที่ได้ยินเสียงใครพูดคุยกันผ่านหน้าประตูห้องที่เขากำลังนั่งอยู่

 

 

 

เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงสีเข้มเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดูเวลา เลยเวลานัดมาเล็กน้อยแล้ว แต่คนที่เขารอพบก็ยังไม่มาเสียที แอบนึกโกรธเคืองคนที่ต้องไปเตรียมเปิดร้านคืนนี้นิดหน่อย เรื่องสำคัญแบบนี้แท้ๆ กลับปล่อยให้เขามาคนเดียวได้ยังไง

 

 

 

นั่งคิดนู่นคิดนี่ไม่นานนัก เสียงเปิดประตูก็ดังขึ้น ลี เพซหันขวับกลับไปมองทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดคนที่โทรศัพท์ตามเขาให้มาพบที่นี่ก็มาถึง หญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลแดงเดินตรงเข้ามาใกล้ รอยยิ้มของเธอดูอ่อนหวานละมุนละไม แต่ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ดวงตาสีเทาของลีกลับจับจ้องไปยังเด็กหญิงตัวเล็กที่เธอจูงมือเข้ามาด้วยต่างหาก ใบหน้ากลมขาวติดจะมุ่ยเล็กน้อย ปากเล็กๆ เบะออกแสดงอาการไม่พอใจ เธอหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่ยอมมองหน้าคนเป็นพ่ออย่างเขาเลยสักนิด เล่นเอาคุณพ่อวัยสามสิบรู้สึกสะเทือนใจกับอาการหมางเมินของลูกสาวตัวน้อย

 

 

 

“ยูจีน…”

 

 

 

 

 

รถยนต์ซีดานคันเล็กขับไปตามถนนอย่างไม่เร่งรีบนัก บรรยากาศภายในรถดูน่าอึดอัดเมื่อลูกสาวคนเก่งของชายหนุ่มที่ปกติชอบถามนู่นซักนี่พูดมากเป็นต่อยหอยแท้ๆ แต่วันนี้กลับเงียบกริบไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยสักคำ เอาจริงๆ เด็กน้อยผมสีน้ำตาลไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่คุณครูนาตาลีพามาพบเขาที่ห้องพักครูแล้ว นอกจากประโยคเดียวเท่านั้นที่เธอพูดว่าเกลียดชื่อตัวเอง ในสมองของลีคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่ได้รับฟังมา เขาว่าเขาเข้าใจในตัวลูกสาวนะ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ถ้าเกิดจะต้องโทษว่ามีใครผิดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น มันก็น่าจะเป็นตัวเขาเอง

 

 

 

“ยูจีน ไปทานขนมเค้กกันมั้ยคะ”

 

 

 

“…”

 

 

 

ลองเอ่ยถามเป็นรอบที่สาม แต่เด็กหญิงยูจีนยังคงใช้ความเงียบเป็นคำตอบ เธอไม่เอ่ยอะไร เอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ตั้งแต่เจอหน้ากันจนกระทั่งบัดนี้ลูกสาวยังไม่มองหน้าเขาแม้แต่ครั้งเดียว ลีเม้มริมฝีปากแน่น เขาอยากจะระบายลมหายใจหนักๆ ออกมาให้อาการอึดอัดในอกมันจางลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำ เพราะกลัวว่าลูกสาวจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาเบื่อแล้วสถานการณ์ที่ย่ำแย่ตอนนี้มันจะยิ่งหนักมากขึ้น ที่ทำได้ก็เพียงแค่ขับรถต่อไปเงียบๆ เท่านั้น

 

 

 

ไม่ถึงยี่สิบนาที รถคันเดิมก็หยุดลงตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง ทั้งๆ ที่รถยังไม่ทันจอดสนิทดีแท้ๆ แต่เด็กหญิงตัวน้อยก็รีบดึงที่ล็อกประตูให้คลายออกแล้วเปิดประตูผัวะวิ่งขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ตรงประตูหน้าบ้าน เล่นเอาคนที่นั่งประจำที่คนขับตกอกตกใจรีบดับเครื่องยนต์แล้วเดินตรงดิ่งไปหาลูกสาวทันที

 

 

 

“ยูจีน ทีหลังอย่าทำแบบนี้นะคะ พ่อไม่ชอบ”

 

 

 

มือใหญ่ตรงเข้าบีบแขนเล็กๆ นั่นทันทีที่เดินเข้ามาถึงตัวอีกฝ่ายพลางย่อตัวลงนั่งให้ใบหน้าของลูกสาวอยู่ระดับเดียวกับตน ดวงตาสีเทาจ้องมองไปยังเด็กหญิงตรงหน้าที่จ้องมองเขาตอบกลับมาเป็นครั้งแรกของวันเช่นเดียวกัน ดวงตาสองคู่สั่นไหวด้วยอารมณ์ที่แตกต่าง คนหนึ่งเป็นห่วงเป็นใย ส่วนอีกคนเป็นความรู้สึกอะไรสักอย่างที่แม้แต่เธอก็ยังไม่มั่นใจ

 

 

 

เด็กน้อยก้มหน้าลงช้าๆ จนเส้นผมสีน้ำตาลเข้มปรกหน้าปรกตา เธอพยักหน้าเบาๆ หนึ่งทีก่อนจะเอ่ยขานรับอย่างจำยอม

 

 

 

“ค่ะ”

 

 

 

ไม่มีคำว่า ‘ป่าปี๊’ อย่างที่เด็กหญิงชอบพูดเป็นประจำและนั่นทำให้ชายหนุ่มรู้ดีว่า คืนนี้เขาควรเป็นคนไปดูแลร้านมากกว่าจะเป็นชายหนุ่มอีกคนที่เป็นพ่อแท้ๆ ของเธอ

 

 

 

 

 

ความกดดันแบบเมื่อตอนบ่ายก่อเกิดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งนิ่งๆ อยู่บนโซฟาตัวยาวตรงบริเวณห้องรับแขก สองมือประสานกันวางบนหน้าตัก ริมฝีปากล่างถูกขบเม้มจนเลือดซิบด้วยความวิตกกังวล แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ในสมองตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้ใครอีกคนกลับบ้านมาโดยเร็ว

 

 

 

“ลี!”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำตะโกนออกมาพร้อมๆ กับเสียงประตูบ้านที่ถูกเปิดออก ริชาร์ด อาร์มิเทจหน้าตาตื่นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาคนตัวบางที่นั่งอยู่บนโซฟา ทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้างก่อนจะเอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้

 

 

 

“โทษที รีบมาสุดๆ แล้ว แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง เฮ่ย…”

 

 

 

พอได้มองหน้ากันเต็มๆ ตา ร่างใหญ่ก็เพิ่งจะสังเกตเห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนมีรอยเลือดจางๆ บริเวณปากล่าง เห็นแบบนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าคนคนนี้เครียดขนาดไหน

 

 

 

ริชาร์ดยกมือเคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าขาวๆ สัมผัสอุ่นเกิดขึ้นที่ริมฝีปากนั้นทันทีเมื่อชายหนุ่มผมดำกดนิ้วโป้งลงไปยังแผลเล็กๆ นั่นเบาๆ เขาเกลี่ยไปมาเพื่อเช็ดเลือดจางๆ ให้หมดไปจากริมฝีปากหยักสวย ก่อนจะละมือออกและเปลี่ยนเป็นลูบศีรษะคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา

 

 

 

“ไม่เป็นไร ฉันอยู่นี่แล้ว”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำฟังสบายหูกระทบเข้าไปยังจิตใจของคนตัวบาง สัมผัสละมุนที่ราวกับปลอบโยนเด็กน้อยแตะต้องอยู่บนศีรษะ รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งมาให้อย่างจริงใจ ทำเอาน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ตั้งแต่เกิดเรื่องไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

 

 

 

“ริช…ริช…”

 

 

 

“ชู่…”

 

 

 

มือใหญ่วาดไปยังแผ่นหลังบางก่อนจะดันให้อีกฝ่ายเอนตัวเข้ามาหา ลี เพซกอดชายหนุ่มตรงหน้าตอบทันที มือบางที่แปะป่ายอยู่บนแผ่นหลังกว้างขยุ้มเสื้อเชิ้ตสีดำตัวเก่งของริชาร์ดไว้แน่นราวกับต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะตอนนี้…เขาไม่รู้จะต้องทำยังไง ไม่รู้เลยว่าจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีกหรือไม่…

 

 

 

เหมือนเวลาของเขามันหมดลงแล้ว

 

 

 

 

 

ทั่วทั้งบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน คุณพ่อตัวโตระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาวางมือไว้บนเอวหนา ส่วนอีกข้างก็ยกขึ้นขยุ้มขยี้หัวเหอเสียจนยุ่งอย่างคนไม่รู้จะระบายออกยังไง ก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปในครัว สลัดมันฝรั่งและแซนด์วิชแฮมชิ้นเล็กๆ ถูกเตรียมวางเอาไว้บนโต๊ะกินข้าว ใจจริงเขาก็ไม่อยากให้ลีไปดูร้านในคืนนี้แทนเขาหรอกนะ ลำพังแค่เจ้านั่นก็ดูร้านได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ริชาร์ดก็ไม่กล้าขัดความตั้งใจของอีกฝ่าย เขาเลยยอมให้ลีไปแต่โดยดี

 

 

 

ชายหนุ่มผมดำหยิบจานที่ใส่แซนด์วิชขึ้นมาแล้วเดินตรงขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน แน่นอนว่าเป้าหมายคือห้องนอนของเจ้าตัวยุ่งประจำบ้านเขา

 

 

 

“ยูจีน”

 

 

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา ริชาร์ดเงี่ยหูฟังอยูครู่หนึ่งจึงตัดสินใจเคาะอีกรอบพร้อมเอ่ยเรียกชื่อลูกสาวเสียงดังกว่าเดิม

 

 

 

“ยูจีน”

 

 

 

“…”

 

 

 

“ยูจีน”

 

 

 

“ไม่มีคนอยู่ในห้องค่ะ”

 

 

 

ได้ยินคำตอบแบบนั้น คนเป็นพ่อถึงกับหลุดขำออกมานิดหน่อย เผลอยกยิ้มมุมปากให้กับความน่ารักของลูกสาวตนก่อนจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดแล้วผลักประตูเข้าไป

 

 

 

ทันทีที่ประตูเปิดออก ภาพที่เขาเห็นมันก็เป็นแบบที่ลูกสาวเขาพูดจริงๆ นั่นแหละ คือไม่มีคนอยู่ในห้องเลย นอกจากวัตถุทรงกลมที่นอนขดตัวคลุมโปงอยู่บนเตียงเท่านั้น แหม่ แอบเกือบจะมิดอยู่แล้วเชียว ถ้าปลายเท้าไม่โผล่ออกมานอกผ้าห่มแบบนี้น่ะนะ

 

 

 

“ไม่มีคนอยู่งั้นก็เข้ามาได้สินะ”

 

 

 

“เข้าไม่ได้ค่ะ แดดดี๊ล่ะก็!”

 

 

 

เจ้าตัวดีสะบัดผ้าห่มออกพร้อมๆ กับชายหนุ่มที่หยุดยืนอยู่ข้างเตียงนอนหลังเล็กพอดี ลูกสาวตัวยุ่งทำหน้ามุ่ยอยู่บนเตียง มองหน้าคนตัวใหญ่อย่างขุ่นเคือง เมื่อเห็นว่าคุณพ่อยิ้มหวานอย่างเอาอกเอาใจส่งให้ เจ้าตัวเล็กก็ลดท่าทีขึงขังแล้วเปลี่ยนมาเป็นนั่งสบายๆ ก่อนจะชะเง้อมองไปทางประตูห้องนอน เอ่ยเสียงอ่อยถามหาคุณพ่อของเธออีกคน

 

 

 

“ป่า…ป่าปี๊ล่ะคะ”

“ไล่ออกนอกบ้านไปแล้วล่ะ”

 

 

 

ริชาร์ดพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ พลางทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงนอนสีฟ้าอ่อนของลูกสาว แผ่นหลังกว้างพิงกับหัวเตียงที่ทำมาจากไม้เนื้อดีทาสีขาวทับ เรียวขายาวในกางเกงยีนสีเข้มยืดเต็มความยาวจนมันเลยขอบปลายเตียงเล็กออกไปด้านนอกก่อนจะเอาขายาวๆ นั่นไขว้กันอีกที

 

 

 

พอยูจีนได้ยินแบบนั้นเด็กหญิงก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

 

 

 

“แดดดี๊!”

“อะ กินแซนด์วิชหน่อย ป่าปี๊บอกว่าตั้งแต่กลับมาจากโรงเรียนหนูยังไม่ได้กินอะไรเลยนี่”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำพูดเฉไฉไปเรื่องอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติพลางยื่นจานแซนด์วิชมาไว้ตรงหน้าเธอ ทำเอาเด็กหญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ร้อนรนยกใหญ่ เธอเอากำปั้นทุบตุ้บๆ ไปยังผู้เป็นพ่อพลางโวยวายลั่นว่าแดดดี๊ไล่ป่าปี๊ของเธอออกจากบ้านได้ยังไง ซึ่งแน่นอนว่าคุณพ่อตัวใหญ่อย่างริชาร์ดนั้นไม่สะดุ้งสะเทือนกับหมัดน้อยๆ ของลูกสาวอยู่แล้ว

 

 

 

“แดดดี๊ไล่ป่าปี๊ไปได้ยังไงคะ แล้วแบบนี้ป่าปี๊จะไปนอนที่ไหนล่ะคะ”

 

 

 

หยุดดิ้นแล้วเอ่ยถามเสียงอ่อย ตาเรียวรีสีเข้มสั่นระริกพร้อมน้ำใสที่เริ่มเอ่อคลอหน่วย มือเล็กกำผ้าห่มแน่น จมูกเริ่มแดง ริมฝีปากกำลังเบะออกช้าๆ

 

 

 

“ฮึก…ป่าปี๊ของหนูอ่า”

 

 

 

คนเป็นพ่อนั่งมองลูกสาวตัวน้อยร้องไห้ ใจนึงก็นึกสงสาร แต่อีกใจก็อยากปล่อยให้เด็กหญิงได้เติบโตไปพร้อมๆ กับความจริงของโลกใบนี้ มือใหญ่ยกขึ้นลูบผมสีน้ำตาลเข้มของเธอ

 

 

 

“ก็หนูเกลียดป่าปี๊ไม่ใช่เหรอคะ แดดดี๊ก็เลยไล่ออกไปเลย เราจะได้อยู่กันสองคนพ่อลูกแบบที่ยูจีนต้องการไง ดีมั้ย?”

 

 

 

สิ้นประโยค ใบหน้ากลมขาวที่อาบไปด้วยน้ำตาก็ส่ายหน้าพรืดๆ จนผมเผ้ากระเซิง ริมฝีปากเล็กอ้าพะงาบๆ เหมือนมีคำแก้ตัวอะไรสักอย่างแต่เถียงไม่ออก

 

 

 

“ยู…เอ่อ หนูไม่ได้เกลียดป่าปี๊นะคะ หนูแค่…”

 

 

 

“แค่อะไรคะ? ไหนคนเก่งเล่าให้แดดดี๊ฟังหน่อยว่าเรื่องเป็นยังไง แล้วเดี๋ยวแดดดี๊จะเล่านิทานให้หนูฟังบ้าง โอเคมั้ย?”

 

 

 

เด็กหญิงตัวน้อยตั้งใจฟังที่คุณพ่อผมดำพูดก่อนจะพยักหน้ารัวๆ แล้วก้มหน้านิ่ง เรื่องราวเมื่อตอนบ่ายยังคงแจ่มชัดอยู่ในสมอง เหตุการณ์มันเริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอทานอาหารกลางวันเสร็จ มีเพื่อนร่วมชั้นกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาล้อมเธอไว้ เธอไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอะไร แต่เธอจำคำที่คุณพ่อของเธอทั้งสองคนสอนได้ดีว่าการทะเลาะวิวาทไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก

 

 

 

ยูจีนพยายามเดินหนีแล้ว แต่เพื่อนๆ ก็ยังมาล้อมหน้าล้อมหลังเธอไว้ ก่อนที่คนตัวโตสุดที่น่าจะเป็นหัวโจกจะเริ่มล้อเธอเรื่องหน้าตาและผิวพรรณที่ดูเป็นคนเอเชีย ตอนนั้นเธอก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่เลยไม่ได้ถือสาอะไรและพยายามจะเดินหนี แต่เมื่อใครบางคนในกลุ่มล้อชื่อเธอว่า ‘ยูจีน’ เป็นชื่อเด็กผู้ชายนั้น เธอจึงเริ่มไม่พอใจขึ้นมาบ้าง ก่อนจะตะโกนเถียงกลับไปว่า ‘ป่าปี๊ของเธอเป็นคนตั้งชื่อนี้นะ’ และนั่นคือต้นเหตุของการทะเลาะในครั้งนี้

 

 

 

เด็กๆ กลุ่มนั้นเริ่มล้อเรื่องที่เธอไม่มีแม่ แถมเธอยังได้ยินใครบางคนพูดขึ้นมาว่าเธอมีพ่อสองคนด้วย และแน่นอนว่า เธอย่อมไม่ยอมแพ้ มีพ่อสองคนแล้วยังไง อย่ามาว่าแดดดี๊กับป่าปี๊ของเธอนะ

 

 

 

“หนูแค่ผลักเพื่อนคนนั้นล้มลงกับพื้นเองค่ะ แต่ว่ามันเป็นตอนที่คุณครูมาพอดี คุณครูก็เลย…”

“โทรเรียกผู้ปกครองไปพบ”

 

 

 

เด็กน้อยไม่กล่าวอะไรนอกจากพยักหน้าเบาๆ เธอนึกเหตุการณ์ต่อจากนั้นได้อีกนิดหน่อย นั่นก็คือเธอไม่ยอมมองหน้าคุณพ่อผมทองของเธอเลยสักครั้งตอนที่นั่งอยู่ในห้องพักครู แล้วเธอยังพูดอีกว่า เธอเกลียดชื่อยูจีน เพราะมันทำให้เธอโดนเพื่อนล้อ และนั่นก็ทำให้เธอพาลมาเกลียดป่าปี๊ของเธอที่มีผมคนละสีกับเธอด้วย เรื่องมีพ่อสองคนน่ะเธอไม่ถือสาหาความเพื่อนหรอก เพราะเพื่อนๆ น้อยคนนักที่จะมีพ่อสองคนแบบเธออย่างนี้ เธอต้องภูมิใจสิ แต่เรื่องชื่อของเธอนั้น…เธอยอมไม่ได้จริงๆ

 

 

 

“อืม…งั้นแดดดี๊จะเล่าอะไรให้ฟัง ฟังเสร็จแล้วเราค่อยตัดสินใจว่าจะไปเปลี่ยนชื่อยูจีนเป็นชื่ออื่นหรือไปรับป่าปี๊กลับบ้านกันเนอะ”

“อื้อ!”

 

 

 

 

 

ฤดูหนาวเมื่อ 8 ปีที่แล้ว

เสียงดนตรียุค 70 ดังคลอเบาๆ ภายในร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่งกลางกรุงลอนดอน แสงไฟสีส้มนวลตาไม่ได้ทำให้ที่นี่สว่างไสวมากนัก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะบรรยากาศภายนอกที่เพิ่งห้าโมงเย็นแท้ๆ แต่พระอาทิตย์กลับเลิกทำงานตั้งแต่บ่ายสามเสียได้

 

 

 

ร่างสูงใหญ่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์รูปตัวแอล ในมือของเขาถือแก้วกลมใบสั้นก่อนจะใช้ผ้าสีขาวเช็ดทำความสะอาดแก้วพวกนั้นไปมา ริมฝีปากบางห่อเข้าหากันก่อนจะผิวเป็นทำนองเพลงสนุกสนานไปตามจังหวะดนตรี ชายหนุ่มโคลงศีรษะไปมาเบาๆ อย่างอารมณ์ดี ดวงตาสีฟ้าเทาเปล่งประกายระยับอย่างคนมีความสุข

 

 

 

วันนี้เป็นวันที่ห้าแล้วที่เขามาเปิดร้านคนเดียวแบบนี้ เนื่องจากว่าเจ้าของร้านอีกคนหนึ่งขอตัวกลับไปเยี่ยมคุณแม่ที่นิวยอร์ก นั่นทำให้เขากลายเป็นหนุ่มโสดไม่มีเจ้าของหัวใจมาคอยคุมเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็ม

 

 

 

ริชาร์ด อาร์มิเทจวางแก้วใบสุดท้ายที่ทำความสะอาดเสร็จลงกับโต๊ะซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เพลง Hooked on a Feeling จบลงพอดี ชายหนุ่มผิวปากหวือส่งเสียงแหลมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหันหลังไปหยิบแก้วก้านยาวทั้งหลายเตรียมมาทำความสะอาดเป็นลำดับถัดไป

 

 

 

ไม่นานนักเพลงถัดไปก็ดังขึ้น เสียงดนตรีจังหวะสนุกสนานทำเอาชายหนุ่มโยกศีรษะตามอย่างเผลอไผล เขารู้ดีว่ายามเย็นแบบนี้ร้านเขายังไม่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากนัก จึงปลดปล่อยอารมณ์ผ่อนคลายเต็มที่ กระจกใสบานใหญ่ของร้านไม่ได้ทำให้รู้สึกกังวลกับสายตาผู้คนภายนอกแต่อย่างใด เพราะคนในย่านนี้รู้ดีว่าเขาเป็นคนยังไงและร้านแห่งนี้เป็นแบบไหน ร้านที่เขาและชายหนุ่มอีกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน โชคดีที่คุณพ่อทิ้งมรดกไว้มากพอที่จะซื้อตึกสองชั้นตรงหัวมุมถนนวิกโลว์ให้เขาสามารถเปิดร้านอาหารกึ่งผับเล็กๆ แห่งนี้ได้ และยังใช้ชั้นสองเป็นที่ซุกหัวนอนได้อีกด้วย

 

 

 

เขาเริ่มกิจการนี้เมื่อสี่ปีก่อนหลังจากที่เรียนจบสายอาชีพด้านการโรงแรมมาหมาดๆ ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มวัยยี่สิบที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความฝันและยังรักความอิสระ เขารับหน้าที่เจ้าของร้านและบาร์เทนเดอร์ควบสองตำแหน่งในคนเดียวกัน ครองตัวเป็นหนุ่มโสดเจ้าสำราญ ใช้ชีวิตแบบเพลย์บอย ทิ้งๆ ขว้างๆ ลมหายใจมานานถึงสามปี แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดความรู้สึกที่ว่าชีวิตตนเองช่างไร้แก่นสารและอยู่ไปวันๆ เสียเหลือเกิน เงินที่หามาได้ สิ่งที่สร้างเอาไว้กลับไม่รู้จะทำทิ้งไว้เพื่อใคร ยิ่งใกล้วันครบรอบการจากไปของคุณพ่อและคุณแม่ยิ่งทำให้เขารู้สึกเสียศูนย์อย่างหนัก เมื่อสำเหนียกได้ว่า สิ่งที่ท่านทั้งสองทำมาชั่วชีวิตก็เพื่อตัวเขาเองทั้งนั้น เพื่อลูกชายที่ไม่เอาไหนอย่างเขา พอมองย้อนกลับมาดูตัวเอง แล้วเขาล่ะ สิ่งที่กำลังทำ สิ่งที่กำลังสร้างนั้นมันเพื่อใคร

 

 

 

ช่วงที่กำลังเบื่อหน่ายกับชีวิตและพยายามมองมาหาใครสักคนที่จะมาคอยอยู่เคียงข้างกันอยู่นั้น เขาคนนั้นก็ปรากฏตัวขึ้น

 

 

 

ลี เพซ เด็กหนุ่มผมสีสว่างจากนิวยอร์กที่มาท่องเที่ยวเพียงลำพังที่มหานครลอนดอนแห่งนี้

 

 

 

การพบกันของเราสองคนช่างเรียบง่าย ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าพรหมลิขิต สวรรค์นำพา หรือพระเจ้าดลบันดาล หรืออะไรเถือกๆ นั้นเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้น เราสองคนก็ตกลงปลงใจคบหากันได้หนึ่งปีแล้ว

 

 

 

และความโสดของเขาก็จบลงในวัยเพียงยี่สิบสี่ปี…

 

 

 

พอคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้วหัวใจมันอัดแน่นไปด้วยความสุข การได้ตื่นเช้าแล้วเห็นหน้าคนที่เรารักเป็นคนแรก ก่อนนอนได้บอกราตรีสวัสดิ์คนที่เรารักเป็นคนสุดท้าย มันช่างเป็นความรู้สึกพิเศษที่ไม่สามารถหาอะไรมาแทนที่ได้จริงๆ

 

 

 

ชีวิตเขาเกือบจะสมบูรณ์พร้อมแล้ว หากเราสองคนสามารถมีลูกด้วยกันได้ เขาคงเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก

 

 

 

“คุณริชาร์ดครับ!”

 

 

 

เมฆหมอกของภวังค์แห่งความทรงจำมีอันต้องจบลงเพราะเสียงตื่นตระหนกอันคุ้นเคยที่ดังเข้ามาพร้อมกับเสียงเปิดประตูดังปังใหญ่ เจ้าของชื่อเกือบทำแก้วค็อกเทลก้านยาวหลุดจากมือ ดีว่าสติยังพอมีอยู่บ้างเลยประคองไว้ได้ เขาวางแก้วใบนั้นลงบนเคาน์เตอร์ไม้เนื้อดีก่อนจะมองไปยังชายหนุ่มผมสั้นสีน้ำตาลแดงเข้ม ลูกน้องคนสนิทที่เขาไว้ใจมากที่สุด

 

 

 

“เอะอะโวยวายอะไรของนาย ตกใจหมด แล้วนั่นไปขโมยลูกใครเขามาน่ะ”

 

 

 

ประโยคแรกพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิก่อนที่ประโยคหลังจะเอ่ยถามกึ่งขำขันโดยไม่ได้ดูหน้าคนถูกแซวเลยว่าตอนนี้มันบอกบุญไม่รับขนาดไหน คริส ไพน์ถลึงตากลับไปด้วยความขุ่นเคืองที่เจ้านายของตนล้อเล่นไม่รู้เวล่ำเวลาแบบนี้

 

 

 

“ลูกคุณริชนั่นแหละครับ”

 

 

 

ริชาร์ดเลิกคิ้วด้วยความสงสัยทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะฮาใหญ่ดังลั่นร้าน

 

 

 

“ฮ่าๆๆ ตลกๆ มุกนี้ผ่านว่ะคริส แถมมีการไปเอาเด็กมาเป็นออฟชันเสริมอีก เมื่อกี้เกือบเชื่อแล้วนะ นึกว่าฉันพลาดมีลูกลับๆ กับสาวๆ ที่เคยกิ๊กด้วยซะแล้ว แต่ก็นะ มุกนายใช้ได้เลย ฉันให้สิบแต้มเลยสำหรับความพยายาม”

 

 

 

นัยน์ตาสีฟ้าสวยกลอกขึ้นลงไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย สองมือพยายามอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน ดีว่าแม่หนูนี่นอนหลับปุ๋ย ไม่มีอาการงอแงใดๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงสติแตกมากไปกว่านี้ ทนเสียงหมาเห่าน่ะพอได้ แต่ทนเสียงเด็กร้องนี่ไม่ไหวจริงๆ ขอแพ้บาย

 

 

 

คริสเดินเข้าไปใกล้เคาน์เตอร์ยาวอย่างรวดเร็วก่อนจะยื่นเด็กหญิงตัวน้อยออกไปข้างหน้าชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ พลางเอ่ยเสียงต่ำด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่มีแววล้อเล่นอย่างเคย

 

 

 

“ไม่ขำครับ ลูกคุณริชาร์ดจริงๆ”

“เฮ่ย!”

 

 

 

ร่างสูงใหญ่ตกใจผงะถอยไปด้านหลังจนชนกับตู้กระจกบานใหญ่ที่เต็มไปด้วยขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย ดวงตาสีฟ้าเทาเบิกกว้าง ริมฝีปากกระตุกยิ้มแบบแปลกๆ

 

 

 

“อย่า…อย่ามาอำ ไม่ขำเหมือนกันว่ะคริส”

 

 

 

น้ำเสียงสั่นๆ ของริชาร์ดบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้มันทำให้เขาหวาดกลัวมากขนาดไหน อย่างที่บอกว่าก่อนหน้านี้เขามั่วผู้หญิงไปเรื่อย ป้องกันบ้างไม่ป้องกันบ้าง คบแบบวันไนต์สแตนด์ก็มี แบบดูใจกันยาวๆ ก็มีหลงมาบ้าง เพราะฉะนั้นพอเจอเหตุการณ์แบบนี้สมองมันก็พานคิดไปในทางเลวร้ายไว้ก่อน ยิ่งบวกกับสีหน้าจริงจังไม่ทะเล้นเหมือนอย่างเคยของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยแล้ว เขายิ่งกังวลไปไกลใหญ่

 

 

 

“นี่นายไม่ได้แกล้งจริงๆ ใช่มั้ย? คงไม่ได้รับสินบนจากลีให้มาเล่นเกมลองใจอะไรฉันหรอกนะ”

 

 

 

อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรนอกจากทำหน้าเซ็งๆ ส่งกลับไปให้ เห็นแบบนั้นแล้วชายหนุ่มผมดำก็กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

 

 

 

“ผมไม่ขำแล้วก็ไม่ได้อำด้วยครับ นี่ลูกคุณริชจริงๆ ครับ ลูกคุณริชกับคุณมิเชล”

“หา!”

“ชู่! อย่าเสียงดังสิครับ เดี๋ยวเด็กก็ตื่นกันพอดี”

 

 

 

ถ้าเป็นสถานการณ์ปกติ ริชาร์ดคงไม่ยอมให้ลูกน้องมาดุตนแบบนี้เป็นแน่ แต่สำหรับตอนนี้ สมองนึกคิดอะไรไม่ออก เลยเผลอเม้มปากแน่น พยักหน้าหงึกหงักเป็นนัยประมาณว่า รับปากจะไม่เผลอทำเสียงดังอีก แต่แววตาสงสัยนั้นยังคงแสดงออกอย่างเต็มเปี่ยมแบบที่คริสมองดูก็รู้ว่าเจ้านายตนต้องนึกไม่ออกแน่ๆ ว่า มิเชลคือสาวคนไหน หน้าตาเป็นยังไง

 

 

 

“คุณมิเชลที่เป็นสาวลูกครึ่งเอเชียยังไงล่ะครับ ที่ผิวขาวๆ ตัวเล็กๆ ตาเรียวเฉี่ยวๆ หน่อย คนนี้เป็นสาวคนสุดท้ายของคุณริชเลยนะครับ แถมควงนานที่สุดเลยด้วย อะไรกัน แค่นี้ก็จำแฟนตัวเองไม่ได้ แย่จริง!”

 

 

 

ริชาร์ดอยากจะปรบมือให้ดังๆ กับสมองอันชาญฉลาดของเด็กหนุ่มคนสนิทเหลือเกินที่จำรายละเอียดได้ขนาดนี้ แต่ก็ไม่ทำเพราะกลัวว่าเสียงจะดังจนทำให้เด็กตื่นได้ ที่ทำได้ก็แค่เพียงส่งสายตาตื่นตะลึงและชื่นชมกลับไปให้เท่านั้น

 

 

 

แต่พอได้ยินข้อมูลจากปากของคริสแล้วก็พอจะจำสาวคนนั้นได้ลางๆ แล้วล่ะ เอาจริงๆ ก็พอจะนึกออกตั้งแต่แรกที่ได้ยินชื่อแล้วนะ เพราะมิเชลเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งที่เขาคิดจะตกล่องปล่องชิ้นด้วย ถ้าไม่ติดเสียว่า เขามาเจอลีก่อน

 

 

 

“แล้วนายรู้ได้ไงว่านั่นลูกมิเชลกับฉันน่ะ”

 

 

 

ชายหนุ่มยังหาเหตุผลมาโต้แย้งต่อไป คริส ไพน์ที่ได้ยินแบบนั้นเลยอธิบายความแบบม้วนเดียวจบให้ฟังว่า ก่อนจะมาทำงาน เขาได้พบกับมิเชลที่ด้านหน้าร้าน ตรงหัวมุมถนน เธอเดินยึกๆ ยักๆ อยู่แถวนั้น เหมือนกับกำลังลังเลอะไรอยู่สักอย่าง ตอนแรกเขาก็กะว่าจะเข้าไปทักก่อนอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ที่ริชาร์ดคบอยู่กับเธอ เขาก็รู้จักมักคุ้นกันพอสมควร แต่ตอนที่กำลังจะตรงเข้าไปทักทายนั้น ปรากฏว่าสาวตัวเล็กก็หันมาเสียก่อน และนั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่ชายหนุ่มเห็นว่าในอ้อมแขนเธอมีเด็กน้อยอยู่ด้วย

 

 

 

พอเห็นเด็ก สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เขามีลางสังหรณ์แปลกๆ และเริ่มไม่อยากทักเธอแล้ว แต่เมื่อดวงตาสองคู่สบกัน คริส ไพน์ก็จำใจเดินตรงเข้าไปทักทายอย่างเสียไม่ได้ หญิงสาวเผยยิ้มเล็กน้อยพอเป็นพิธี ทั้งคู่คุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไปก่อนจะวนมาเรื่องใกล้ตัวอย่างเด็กในอ้อมกอดเธอ รู้ตัวอีกทีเด็กน้อยก็มาอยู่ในอ้อมแขนเขาแทนเสียแล้ว

 

 

 

“เธอบอกว่าเป็นลูกคุณริชครับ”

“แล้ว…แล้วนายก็เชื่อ?”

“ใช่ครับ เธอยังบอกอีกว่า ถ้าคุณริชไม่เชื่อก็ไปตรวจดีเอ็นเอได้เลย”

“ใครจะไปเชื่อง่ายๆ วะ โธ่เว้ย!”

 

 

 

ชายหนุ่มยกมือใหญ่ขึ้นขยี้ผมด้วยความโมโห ยิ่งมองหน้าเด็กน้อยที่นอนหลับตาพริ้มอย่างเปี่ยมสุขเขายิ่งอารมณ์ขุ่นเคืองเพราะทำอะไรไม่ได้ ในใจลึกๆ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่บอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกตนแน่ๆ แต่อีกใจหนึ่งมันก็ไม่อยากยอมรับ เขารู้นิสัยมิเชลดีว่าเป็นอย่างไร เธออาจจะรู้ตัวว่าท้องหลังจากที่เลิกรากับเขาก็เป็นได้เลยไม่กล้าเอ่ยปากบอกเขา เพราะตอนที่เลิกกันต่างฝ่ายต่างจบลงด้วยดี

 

 

 

“ตอนนี้เธอถูกทางบ้านบังคับให้กลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดครับ เธอกลัวลูกสาวจะลำบากหากต้องกลับไปที่นั่นโดยกำพร้าพ่อ แถมพ่อเด็กยังเป็นฝรั่งตาน้ำข้าวอีก เธอเลยให้ลูกมาอยู่กับพ่อเลยจะดีกว่าน่ะครับ”

 

 

 

เหมือนคริสจะอ่านสีหน้าเขาออกว่าเขาสงสัยอะไรอยู่ หมอนั่นเลยตอบคำถามให้ ริชาร์ดได้ยินแบบนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไง ประกอบกับเริ่มมีลูกค้าเดินเข้ามาในร้านแล้ว ร่างที่ยืนคิดไม่ตกอยู่หลังเคาน์เตอร์จึงตัดสินใจเอ่ยปากทันทีด้วยหน้าตาขึงขังพร้อมยื่นมือไปแตะบ่าคนที่ยืนอยู่ตรงข้าม

 

 

 

“คริส วันนี้ฉันอนุญาตให้นายหยุดหนึ่งวันโดยไม่หักค่าจ้าง แต่! นายต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้ฉันก่อน โอเคมั้ย?”

 

 

 

เรียวคิ้วสวยเลิกขึ้นพร้อมกับถลึงตากลับทันที คนเด็กกว่ายื่นเด็กน้อยไปใกล้อีกฝ่ายมากกว่าเดิมอย่างคนอยากผลักภาระ ก็แหงล่ะ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รอง แล้วจะเอากระดูกมาแขวนคอทำไมให้หนัก เลี้ยงเด็กนะไม่ใช่เลี้ยงหมา อย่ามาฝากกันง่ายๆ แบบนี้สิครับบอส!

 

 

 

“ไม่ครับ คุณริชนั่นแหละ ลูกใครคนนั้นก็ดูเองสิครับ”

 

 

 

กระซิบเสียงต่ำเพื่อไม่ให้ลูกค้าแตกตื่น ริชาร์ดก้มมองเด็กน้อยที่ถูกยื่นมาชิดติดอกเขาก็ขมวดคิ้ว ทำหน้าปูเลี่ยนๆ ยังไงก็ทำใจไม่ได้อยู่ดี เขาเป็นโรคไม่ถูกกับเด็กๆ เสียด้วย

 

 

 

“แต่นายเป็นคนรับเด็กมา นายก็ต้องรับผิดชอบ”

“ไม่ครับ คุณริชนั่นแหละ ลูกใครคนนั้นก็ต้องดูแลเองครับ”

 

 

 

ได้ยินแบบนั้นถึงกับควันออกหูผงะตัวไปด้านหลัง คิดมาตลอดว่าไอ้หมอนี่มันหัวอ่อน ใช้อะไรก็ทำตามไปเสียทุกครั้ง แล้วครั้งนี้มันอะไร ใครไปป้อนโปรแกรมฝังหัวให้คริสพูดปฏิเสธเขาด้วยประโยคเดิมซ้ำๆ อย่างนั้นเรอะ

 

 

 

“แต่ฉันเป็นเจ้านายนะ นี่คือคำสั่ง”

 

 

 

คริส ไพน์นิ่งเงียบไปเมื่อเสียงทุ้มต่ำกระซิบลอดไรฟันออกคำสั่งอันเด็ดขาด ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงยืนนิ่งเหมือนคิดอะไรอยู่ ก่อนจะระบายยิ้มการค้าแล้วดันเด็กในสองมือที่ประคองอยู่ชิดอกกว้างของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายกลับไปอย่างแรงพอสมควร

 

 

 

“เฮ่ย”

“ลูกคุณริช คุณริชต้องรับผิดชอบครับ จะหนีปัญหาโดยการบอกเลิกคบแบบแม่ของเด็กไม่ได้แล้วนะครับ”

“นาย!”

“ฮึก”

 

 

 

เสียงเล็กๆ ที่แหลมสูงขึ้นมาท่ามกลางชายหนุ่มสองคนเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี ทั้งคู่ก้มมองไปยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าใบหน้ากลมแดงนั้นขมวดคิ้วราวกับหงุดหงิดเหมือนผู้ใหญ่ไม่มีผิดเมื่อมีอะไรมารบกวนการนอน มือเล็กที่ดูคล้ายอุ้งมือลิงจ๋อนั้นกำแล้วชูบิดไปมา ก่อนจะวางแหมะลงบนอกของริชาร์ด เสื้อเชิ้ตตัวสวยของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อแบบกะทันหันถูกคุณลูกขยำกำไว้แน่นเสียแล้ว พอเห็นแบบนั้นคริสก็ยิ้มกว้าง

 

 

 

“เห็นมั้ยล่ะครับ เพราะงั้นคุณริชเข้าไปดูแม่หนูนี่หลังร้านเถอะครับ จะได้มีเวลาคิดอะไรหลายๆ อย่าง เดี๋ยวตรงนี้ผมจัดการเองครับ ไม่ต้องห่วง”

 

 

 

มือใหญ่ยังคงลังเลที่จะอุ้มเด็กน้อย หากถามว่าช่วงระยะเวลาที่คบกับผู้หญิงคนนั้นมันมีความสุขไหม ก็ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ามีความสุขมาก เพราะฉะนั้นถึงแม้ตอนนี้จะเลิกกันแล้ว แต่หากเด็กคนนี้เกิดมาจากผลพวงแห่งความรักและความสุขในครั้งนั้น เขาว่ามันก็ไม่ใช่สิ่งที่สมควรจะปฏิเสธแต่อย่างใด

 

 

 

“มัน…มันจะไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ย? มันจะต้องผ่านไปได้…ใช่มั้ย?”

 

 

 

ร่างใหญ่พึมพำเบาๆ ราวพูดกับตนเอง แต่คริสที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็พยักหน้ารับเพิ่มความมั่นใจ ในที่สุดริชาร์ด อาร์มิเทจก็เอื้อมมือมาประคองลูกน้อยเอาไว้ ก่อนจะอุ้มขึ้นแนบอกด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยกำเสื้อตนแน่นพร้อมกับกระตุกเบาๆ รอยยิ้มจางๆ ก็ผุดพรายขึ้นบนใบหน้า

 

 

 

ชายหนุ่มอุ้มลูกเข้าไปยังหลังร้านทันที จังหวะที่กำลังหันหลังเพื่อจะใช้หลังผลักประตูบานพับเข้าไปนั้น ลูกน้องคนสนิทก็เอ่ยเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน

 

 

 

“ตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่กว่าก็คือ…คนที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่างหากครับ”

 

 

 

พูดจบก็เดินตรงดิ่งไปพูดคุยกับลูกค้าต่อทันที ทิ้งให้ความกังวลใจอันหนักอึ้งถาโถมเข้าใส่คุณพ่อป้ายแดงราวกับวันที่ฝนฟ้าตกกระหน่ำ

 

 

 

นั่นสินะ ปัญหาที่ใหญ่กว่าเด็กในอ้อมกอดเขาก็คือ คนที่ไปเยี่ยมแม่ที่นิวยอร์กแล้วกลับมาต้องพบกับความจริงที่ว่า คนรักของตนมีลูกแล้วต่างหากล่ะ

 

 

 

 

 

ดวงตาสีฟ้าเทาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ละอองหิมะโปรยปรายลงมาอย่างอ้อยอิ่งไม่รีบเร่งนัก เกล็ดแล้วเกล็ดเล่าที่ร่วงผ่านหน้าไป ยาวนานพอๆ กับเวลาที่ผลัดจากคืนค่ำสู่เช้าวันใหม่ แต่สมองเบลอๆ ของร่างใหญ่ก็ไม่มีสมาธิที่จะสนใจอะไรนัก เนื่องจากเขายังไม่ได้นอนทั้งคืนน่ะสิ

 

 

 

เอาจริงๆ ตั้งแต่ทำร้านมาหลายปีมีตั้งหลายครั้งที่เขาอดนอนแบบข้ามสองวันสามคืน ก็ไม่เห็นว่าร่างกายจะประท้วงหรือทุกข์ร้อนอะไร ก็ยังคงกระปรี้กระเปร่าทำงานได้เป็นอย่างดี แล้วนี่อะไร…แค่ต้องคอยดูลูกสาวแค่คืนเดียว ทำไมมันเหนื่อยเหมือนจะตายเอาเสียให้ได้

 

 

 

เมื่อคืนนั้นหลังจากที่เขาอุ้มเธอเข้ามายังส่วนที่พักหลังร้าน ก็ลองหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กวัยเกือบขวบดู อุปกรณ์ต่างๆ อาหารเสริม นมผง แอบกังวลอยู่เหมือนกันที่เด็กยังไม่ทันขวบเต็มดีกลับต้องหยุดกินนมแม่ไปแบบนี้ อาจจะส่งผลเสียต่อเด็กได้ แต่เขาสัญญาว่าจะดูแลและชดเชยลูกสาวให้ดีที่สุด

 

 

 

และไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่มิเชลแนบจดหมายเล็กๆ มาถึงเขาด้วย

 

 

 

หลักใหญ่ใจความนั้นไม่มีอะไรมาก เพียงแค่บอกว่าเธอยังไม่ได้ไปแจ้งเกิดลูกน้อย บอกวันเกิดของลูกสาวว่าวันไหน นอกนั้นเป็นคำกล่าวขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

 

 

 

ชายหนุ่มยักไหล่ทันทีที่อ่านจดหมายจบ นึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่ยอมรับเรื่องบ้าๆ นี่ได้ง่ายขนาดนี้ ยิ่งมองหน้าลูกสาวคนแรกของเขาแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าต้องมีอะไรบางอย่างผูกเราสองพ่อลูกเอาไว้ด้วยกันแน่ๆ

 

 

 

นั่งสืบค้นข้อมูลได้สักพัก เด็กน้อยที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟาก็เริ่มขยับตัว ก่อนจะแผดเสียงร้องดังลั่น ชนิดที่ว่าเอาอะไรมาฉุดก็ไม่อยู่ เขาดูผ้าอ้อมก็แล้ว ชงนมให้กินก็แล้ว อุ้มพลางโยกไปมาก็แล้ว แต่ลูกสาวคนเก่งก็ไม่มีท่าทีจะหยุด เป็นแบบนั้นอยู่หลายชั่วโมงจนหนูน้อยเหนื่อยและผล็อยหลับไป

 

 

 

ริชาร์ดคิดว่าอยู่ตรงนี้คงไม่ดีแน่ จึงบอกลูกน้องคนสนิทให้จัดการดูแลร้านแทนเขา ก่อนตัวเองจะกระเตงลูกพร้อมตะกร้าอุปกรณ์ต่างๆ ที่คริสถือตามเข้ามาให้ทีหลัง ขึ้นชั้นสองของร้านไป

 

 

 

แล้วมหกรรมโยเยก็เริ่มขึ้น…

 

 

 

ชายหนุ่มไม่สามารถทำให้ลูกสาวของตนเงียบเสียงลงได้เลยสักวิธีเดียว นอกจากจะปล่อยให้เธอเหนื่อยจนหลับไปเอง และก็เป็นแบบนั้นทั้งคืนจนกระทั่งถึงตอนนี้ที่ห้องทั้งหลังเงียบงันลงได้พักใหญ่

 

 

 

เฮ้อ…เป็นพ่อคนนี่มันลำบากจริงๆ ให้ตายสิ

 

 

 

หลังจากนั่งสัปหงกอยู่ได้สักพัก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกจนหัวที่เกือบทิ่มหล่นจากโซฟากลับมาตั้งตรงอีกครั้ง เขามองซ้ายแลขวาเหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าที่นี่ที่ไหน ก่อนจะได้ยินเสียงชายหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงตะโกนมาจากหลังประตูห้องนั่นแหละ สติเลยกลับเข้าตัวทันควัน

 

 

 

ริชาร์ดเดินไปเปิดประตูและพบว่าลูกน้องตนหอบหิ้วอาหารเช้าง่ายๆ มาด้วย อยากจะขึ้นเงินเดือนให้รู้แล้วรู้รอด ถ้าไม่ติดว่าต้องเก็บเงินเพื่ออนาคตของลูกสาวล่ะก็นะขึ้นให้ไปแล้ว

 

 

 

แหม่…ใครได้มันเป็นแฟนนี่สบายตายเลย

 

 

 

สองหนุ่มนั่งจัดการอาหารเช้าไปอย่างเงียบๆ ไม่มีใครเอ่ยพูดอะไรกันแม้แต่นิดเดียว ราวกับกลัวว่าถ้ามีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แม่หนูน้อยอาจตื่นได้ จนกระทั่ง…

 

 

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

 

 

 

ชายหนุ่มสองคนหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ก่อนจะกลืนแซนด์วิชคำโตลงคอพร้อมหันไปมองทางประตูห้องอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย และเป็นคนเด็กกว่าที่เอ่ยถามเสียงตะกุกตะกักออกมาก่อน ในขณะที่เจ้าของห้องพักยังได้แต่นั่งอึ้งอยู่

 

 

 

“คุณ…คุณริชครับ คุณลีเขา…มีกำหนดกลับลอนดอนวันไหนนะครับ?”

 

 

 

คำตอบน่ะ คริส ไพน์มีอยู่ในใจเรียบร้อยแล้วล่ะ ก็ทำงานกับคุณริชมาตั้งนาน แถมรู้จักมักจี่สนิทสนมกับคุณลีเป็นอย่างดี แล้วเรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้ว่าเจ้านายอีกคนนึงจะกลับวันไหน แต่ที่ถามย้ำน่ะเพราะต้องการความมั่นใจ เพราะเขาเห็นมานักต่อนักแล้วว่า ไอ้พวกชอบเซอร์ไพรส์แฟนน่ะ โดนแฟนเซอร์ไพรส์กลับตลอด

 

 

 

แล้วแต่ล่ะคู่ ก็จบไม่สวยสักราย

 

 

 

“กลับ…พรุ่งนี้ ตามกำหนดเดิมน่ะนะ”

 

 

 

ปลายเสียงทุ้มอ่อยลงจนประโยคหลังเหมือนบ่นอยู่คนเดียว ดวงตาสีฟ้าเทาจ้องบานประตูเขม็งต่างกับจิตใจที่สั่นไหวไปหมดแล้ว

 

 

 

ไม่ใช่หรอกน่า เป็นไปไม่ได้หรอก ลีไม่ใช่คนแบบนั้น หมอนั่นไม่ชอบการเซอร์ไพรส์นี่ เพราะฉะนั้นไม่มีทางกลับก่อนโดยไม่บอกเขาล่วงหน้าหรอก ไม่มีทาง

 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นคนที่เคาะประตูเป็นใครล่ะครับ?”

 

 

 

ถามพลางหันไปมองหน้าเจ้านายร่างใหญ่ที่ได้แต่นั่งอึ้งกิมกี่ยักไหล่ขึ้นเป็นเชิงว่า ‘ไม่รู้เฟ้ย มาถามฉันแล้วฉันจะไปถามใคร’

 

 

 

ในที่สุด ริชาร์ด อาร์มิเทจก็ตัดสินใจลุกจากเก้าอี้แล้วค่อยๆ เดินไปยังประตูห้อง ในใจนั้นนึกภาวนาขอให้คนที่ยืนอยู่หลังประตูตอนนี้เป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เป็นตัวแทนขายเครื่องกรองน้ำ หรือเป็นวิญญาณพ่อกับแม่เขาเขาก็ยอม ขอเพียงอย่าเป็นคนที่เขากำลังกังวลถึงเลย

 

 

 

มือใหญ่ที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเอื้อมไปยังที่จับประตูพลางบิดข้อมือให้มันคลายล็อก หัวใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะด้วยความตื่นเต้น ลมหายใจถูกสูดเข้าและระบายออกทางปากราวกับวิ่งรอบสนามฟุตบอลเป็นสิบๆ รอบ

 

 

 

และภาพที่เขาเห็นตรงหน้าก็ทำเอาขมวดคิ้วมุ่น

 

 

 

มะ…มาได้ไง?

 

 

 

 

 

To be continued…

 

 

 

 

 

Talk again : *ยืดอกรับคำด่าด้วยน้ำตานองหน้า* จริงๆ แต่งเสร็จแล้วค่ะ แต่กลัวไอวิชตะกุยหน้า (เพราะไม่ยอมแต่งตาหลากสี ก๊ากกกกกก เค้าขอโต้ด แต่ตอนนี้เค้าแต่งอยู่นะ แค่ยังไม่เสร็จเท่านั้นเอง งื้ดๆ) เลยเอามาลงแค่ครึ่งเดียวก่อน เรื่องนี้เริ่มแต่งตั้งแต่ตอนวันแม่ที่ผ่านมา ลากมายาวอย่างนานจนถึงตอนนี้ T^T

 

ส่วนพี่ไพน์ยังไม่มีคู่นะคะ เพราะหมู่นี้พี่แซคคว่ำเรือหนูบ๊อยบ่อย หนูให้พี่ไพน์โสดสนิทอยู่กับเหล่าน้องหมาไปก่อนแล้วกัน แฮ่ XD 

 

ส่วนใครจะโผล่มาหลังประตูห้องคุณริช จะเป็นคุณลี หรือจะเป็นเด็กส่งน้ำแข็ง (หือ?) หรือจะเป็นใครก็แล้วแต่ รออ่านตอนต่อไปค่า ขอบคุณมากๆ ค่ะ :D

[FreeBatch Fanfiction] Eugene the series – E1-3 The Sign of Three

Title : Eugene the series – E1-3 The Sign of Three (Happy Birthday Yuu – Jan 26th, 2014)

Pairing : Benedict Cumberbatch x Martin Freeman and Little Eugene

Author : Babibubell

Talk : จริงๆ ฟิคเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด แต่งเอาไว้ตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (วันเกิดน้องยู้) จากที่คิดว่าแต่งอ่านกันเล่นๆ ในกลุ่มติ่งครอบจักรวาล ไปๆ มาๆ ก็แต่งเติมเสริมต่อไปเรื่อยๆ จนตอนนี้จักรวาลของเรามันกว้างมาก…ต้องมาไล่ตามเก็บปมกันไปทีละปม จะพยายามเข็นออกมาเรื่อยๆ ค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ m(_ _)m

 

ป.ล. มีแก้ข้อมูลนิดๆ หน่อยๆ เพื่อให้ลักษณะตัวละครตรงกันทุกๆ เรื่องนะคะ :) และจริงๆ คำว่า เด็กโข่ง ที่ใช้ในเรื่องนั้นมันต้องเขียนว่า เด็กโค่ง (ที่แปลว่าเด็กที่โตหรืออายุมากกว่าเพื่อน ตามราชบัณฑิต) แต่เอาเข้าจริงๆ เราก็ถนัดใช้เด็กโข่งแบบนี้มากกว่าอะเนาะ >< (โข่งแบบนี้ แปลว่า เปิ่น, ไม่เข้าท่าค่ะ)

 

 

 

—–

 

 

 

เสียงโทรศัพท์สั่นสั้นๆ สองครั้ง บ่งบอกว่ามีข้อความเข้า เบเนดิกต์ละสายตาจากหนังสือนิยายอันแสนน่าเบื่อ (ในความคิดเขา แต่สำหรับคนที่ยัดเยียดมาให้เขาอ่านนั้น หมอนั่นบอกว่าเรื่องนี้มันสนุกมาก!) ที่อ่านอยู่ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาดูใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนส่งข้อความมา เขาก็รีบใช้นิ้วโป้งสไลด์หน้าจอทันที

 

 

 

‘โทษที วันนี้มีสอนพิเศษ ยกเลิกนัดไปก่อนนะ’

 

 

 

ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองกลอกขึ้นลงไปมาพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้คนตัวเล็กเลื่อนนัดเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกมาหลายครั้งแล้ว โอเค ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากเต็มคำก็เถอะว่าเป็น ‘แฟน’ กัน (ก็เขายังไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเอง แถมมาร์ตินก็ไม่เคยจะแสดงออกว่ารักเขาสักเท่าไหร่เลยนี่นา ไม่เคยขอเป็นแฟน ไม่เคยบอกรักกันด้วย ความรักนี่เป็นสิ่งที่เข้าใจยากจริงๆ เขาอ่านตำราเล่มไหนๆ ก็ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลยสักครั้ง) แต่จะมาบอกว่านัดระหว่างลูกศิษย์อย่างเขากับศาสตราจารย์อย่างมาร์ตินน่ะมันสำคัญน้อยกว่าการสอนพิเศษไอ้เด็กคนนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ (?) หรอกนะ

 

 

 

คนตัวสูงระบายลมหายใจอีกครั้งก่อนจะโยนหนังสือเล่มหนาทิ้งลงบนพื้น ตอนนี้ในหัวกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย เรื่องที่ว่าอาจารย์ร่างเล็กยกเลิกติวพิเศษเขามาหลายๆ วันติดกันแล้ว ทั้งๆ ที่นัดของเราตกลงกันไว้ก่อนด้วยซ้ำ แล้วทำไมมาร์ตินถึงเลือกที่จะไปหาไอ้เด็กนั่นมากกว่าเขา

 

 

 

คิดไปคิดมาหลายตลบ พยายามยกอ้างเหตุผลทั้งหลายแหล่และตรรกะมากมายมากองรวมกันไว้ตรงหน้า แต่ก็ยังไม่มีเหตุผลอะไรดีพอที่จะใช้อธิบายว่าทำไมมาร์ตินถึงยกเลิกนัดเขาและไปสอนพิเศษเด็กคนนั้น

 

 

 

ในเมื่อหาคำตอบตรงนี้ไม่ได้

 

 

 

เขาก็ตัดสินใจบุกไปหาไอ้ตัวต้นตอของปัญหาซะเลย!

 

 

 

 

 

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้เรามาต่อกันที่บทเรียนเรื่องไวยากรณ์กัน โอเค้?”

 

 

 

รอยยิ้มหวานถูกส่งให้กับเด็กหญิงผมหน้าม้าสีน้ำตาลเข้มที่ถือสมุดโน้ตในมือพร้อมกับพยักหน้ารับคำด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ พอเห็นดังนั้นมาร์ตินก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีกแล้ววางมือลงบนศีรษะของเด็กน้อยเบาๆ ลูบไปมาด้วยความเอ็นดู ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินออกจากห้องนอนของเด็กหญิงลงไปยังประตูหน้าบ้าน

 

 

 

มือใหญ่กุมกระชับมือเล็กๆ ของลูกศิษย์ตัวน้อย จับจูงแกว่งไกวกันลงมาตามขั้นบันได ซึ่งมันเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขามาสอนพิเศษที่บ้านหลังนี้ เขาเคยบอกกับยูจีนแล้วว่าไม่ต้องลงมาส่งก็ได้ แต่ก็ดูเหมือนกับว่าเด็กน้อยจะดื้อดึงและปฏิเสธเขาทุกครั้งไป หลังๆ เลยกลายเป็นว่าหากการเรียนการสอนจบลงเมื่อไร ยูจีนจะต้องลงมาส่งเขาถึงหน้าประตูบ้านทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน

 

 

 

“บ๊ายบายค่ะ คุณครูมาร์ติน”

“บ๊ายบายจ้ะ ยูจีน เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ”

 

 

 

มาร์ตินหมุนตัวเตรียมจะเดินห่างออกจากตัวบ้าน มือขวาของเขาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงตั้งใจว่าจะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่งข้อความไปบอกเด็กหนุ่มที่ (น่าจะ) รอเขาอยู่ว่า ‘เขาสอนเสร็จแล้ว’ แต่พอเงยหน้าขึ้นมามองถนนใหญ่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาประหลาดใจทันที

 

 

 

“อ้าว”

 

 

 

พอได้ยินเสียงทักด้วยความแปลกใจ หนูน้อยยูจีนที่ยืนมองส่งคุณครูของเธออยู่นั้นก็เกิดความสงสัยไม่แพ้กัน เธอชะเง้อหน้าออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็พบว่า คุณครูมาร์ตินของเธอนั้นกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่กับชายคนหนึ่ง

 

 

 

ดวงตาเรียวรีมองตรงไปยังผู้ชายสองคนที่หน้าบ้านอย่างจ้องจับผิด เนื่องจากสองคนนั้นคุยกันเบาๆ เธอจึงไม่ได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแถมคุณครูของเธอก็หันหลังอยู่ด้วย ทำให้เธอไม่เห็นสีหน้าว่าคุณครูมาร์ตินกำลังทำหน้าแบบไหนขณะที่คุยกับชายคนนั้น

 

 

 

แต่เธอรู้สึกไม่ไว้ใจเลย

 

 

 

ชายคนนั้นเป็นคนตัวผอมสูง ผมยุ่งๆ สีน้ำตาลเข้มบวกกับรอยยิ้มที่ดูแปลกๆ เสื้อโค้ตตัวใหญ่หนายาวถึงหัวเข่า คอปกตั้งขึ้นเหมือนกับกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ แถมพันผ้าคอเสียมิดชิด ให้ความรู้สึกไม่ปลอดภัยยังไงก็ไม่รู้ ไม่ได้การแล้ว เธอต้องรีบไปช่วยคุณครูมาร์ตินของเธอให้ได้!

 

 

 

ว่าแล้ว…เท้าเล็กๆ ของเด็กหญิงก็วิ่งถลาจากประตูบ้านลงไปยังทางเท้าที่สองคนนั้นยืนคุยกันอยู่ทันที

 

 

 

“คุณครูขา”

 

 

 

หมับ!

 

 

 

เด็กน้อยกอดเข้าที่เอวของชายร่างเล็กได้พอดิบพอดี ก่อนจะเงยหน้าช้อนตามองชายที่ยืนอยู่ตรงข้ามซึ่งกำลังก้มหน้ามองลงมาที่เธอเช่นเดียวกัน

 

 

 

“ยูจีน ทำไมยังไม่เข้าบ้านอีกล่ะ เดี๋ยวแดดดี๊ก็ว่าเอาหรอก”

 

 

 

“ยูจีนอยากกินขนมเค้ก! คุณครูพายูจีนไปกินขนมเค้กนะคะ”

 

 

 

“ไม่ได้!”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำพูดแทรกคำตอบแทนมาร์ตินทันที ก่อนที่ชายร่างสูงจะก้มหน้าลงต่ำให้ใบหน้าอยู่สูงกว่าเด็กหญิงเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าทองหรี่มองเด็กหญิงด้วยความรู้สึกไม่ไว้วางใจเช่นกัน เพราะสังเกตจากท่าทาง สีหน้า และแววตา รวมไปถึงวงแขนเล็กๆ ที่เกาะอยู่ตรงช่วงเอวของมาร์ตินแล้ว ไอ้เด็กนี่มันไว้ใจไม่ได้เด็ดขาด!

 

 

 

“มาร์ตินนัดกับฉันไว้แล้วว่าจะไปดินเนอร์กัน เพราะงั้นเด็กอย่างเธอที่นัดทีหลัง ก็ต้องตามคิวสิ”

“ไม่! คุณครูมาร์ตินจะพายูจีนไปกินขนมเค้กใช่มั้ยคะ?”

“ไม่ หมอนี่นัดกับฉันแล้ว เพราะงั้นก็ต้องไปกับฉันถึงจะถูกต้อง”

“ไม่ๆๆ คุณครูมาร์ตินจะไปกับยูจีน”

“ไม่ๆๆๆ หมอนี่จะไปดินเนอร์กับฉัน”

“ไม่ๆๆๆๆๆ คุณครูจะไปกินเค้กกับยูจีน คุณครูจะไปกินเค้กกับยูจีน”

“ไม่!”

“คุณครูขา คุณครูจะไปกินเค้กกับยูจีนใช่มั้ยคะ? ใช่มั้ยคะ?”

 

 

 

เด็กหญิงเอ่ยปากถามย้ำๆ พลางกระตุกชายเสื้อของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณครูอย่างออดอ้อน ดวงตาเรียวรีปริ่มไปด้วยน้ำใสๆ เพราะกำลังรู้สึกว่าตัวเองถูกขัดใจ มาร์ตินได้แต่ยืนมองใบหน้าของสองคนสลับไปมา คนหนึ่งก็เด็กน้อยแสนดื้อ อีกคนก็เด็กโข่งที่แสนดื้อกว่า และเมื่อเห็นว่าดวงตาทั้งสองคู่ไม่มีใครยอมใคร และปะทะกันไปมาราวกับส่งกระแสไฟฟ้ายิงใส่กัน คนกลางอย่างเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะยกมือยอมแพ้ให้ทั้งคู่

 

 

 

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องเถียงกัน ไปมันด้วยกันสามคนนี่แหละ โอเคนะยูจีน โอเคนะเบน”

 

 

 

มาร์ตินยังคงมองหน้าทั้งสองคนสลับกันไปมา เด็กสาวที่กำลังเบะปาก ส่วนชายหนุ่มก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกได้เลยว่า… มันสองตัวไม่ยอมญาติดีกันแน่ๆ

 

 

 

“ไปกินด้วยกันสามคน ตกลงนะยูจีน เบน”

 

 

 

เสียงเข้มๆ ถามย้ำอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีใครตอบอะไรออกมา มาร์ตินไม่รู้จะทำยังไง จะต้องปรามคนไหนก่อนคนไหนหลังล่ะเนี่ย ในเมื่อดื้อทั้งคู่แบบนี้น่ะ

 

 

 

“เงียบแบบนี้ถือว่าตกลง ถ้าตกลงกันแล้วก็จับมือกันด้วย เอ้า เร็ว เบนยื่นมือมาเลย ยูจีนด้วย จับมือพี่เบนซะ เบนยื่นมือมาให้น้องจับซิ”

 

 

 

มาร์ตินส่งเสียงดุไปอีกครั้ง ก่อนจะใช้สายตามองจ้องไปยังลูกศิษย์ตัวโตที่เบือนหน้าหนีอยู่ เบเนดิกต์ที่เบนหน้าหนีด้วยความไม่พอใจ ค่อยๆ หันมามองหน้าของชายร่างเล็กที่ยืนทำหน้าบึ้งใส่เขาพลางพยักพเยิดลงมายังเด็กหญิงที่ยืนอยู่ในวงสนทนาด้วย และเมื่อชายหนุ่มเบะปาก มาร์ตินก็เตะเข้าที่ขาเด็กตัวสูงกว่าอย่างจังด้วยสีหน้าที่เริ่มจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

 

“มือ! ยื่นมาเร็ว”

 

 

 

เมื่อชายหนุ่มร่างสูงเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว แถมเถียงกันอยู่ข้างนอกนี่มันก็หนาวเอาการอยู่ แถมดูท่าทางแล้วมาร์ตินคงไม่ยอมทิ้งเด็กหญิงไว้ที่บ้านแล้วไปกับเขาสองคนแน่ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดที่ควรทำในตอนนี้ก็คือยื่นมือไปให้เด็กคนนี้จับซะ มาร์ตินจะได้ไม่โกรธเขา แถมจะได้ไปดินเนอร์กันเสียที คิดได้ดังนั้น มือใหญ่ก็ยื่นออกมาตรงหน้าเด็กน้อยทันที

 

 

 

ที่เขายอมยื่นมือน่ะไม่ใช่เพราะอยากจะจับมือไอ้เด็กนี่หรอกนะ

แต่เพราะข้างนอกมันหนาวต่างหากล่ะ ครั้งนี้ถือว่ายอมๆ ไปก่อน แต่ครั้งหน้าไม่ยอมแน่!

 

 

 

“ก็แค่เนี้ย เอ้า ยูจีน จับมือกับพี่เบนสิ แล้วเราจะได้ไปกินเค้กกันนะ”

 

 

 

รอยยิ้มหวานๆ ที่ถูกส่งให้กับเด็กหญิง เล่นเอาเด็กโข่งที่ยืนอยู่ตรงข้ามหน้าง้ำลงไปอีก ทีกับเขาล่ะเตะเอาเตะเอา ทีกับไอ้เด็กนี่ดันส่งยิ้มหวานให้ มาร์ตินเลือกปฏิบัตินี่นา

 

 

 

ทางด้านเด็กสาวที่มองมือใหญ่ตรงหน้าสลับกับเงยหน้ามองคุณครูของเธอนั้นก็เบ้ปากด้วยความไม่พอใจ อะไรกัน ทำไมคุณครูมาร์ตินไม่ไปกับเธอแค่สองคนล่ะ? แล้วทำไมคุณครูไม่ได้เป็นของเธอคนเดียว ผู้ชายหัวหยิกหน้าอัลปาก้าคนนี้เป็นใคร ทำไมคุณครูต้องยอมเขาด้วย เด็กหญิงคิดในใจพลางมองมือตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ เกิดเธอยื่นมือไปจับแล้วพี่ชายผมหยิกหักนิ้วมือเธอล่ะ จะทำยังไง? คุณครูมาร์ตินไว้ใจผู้ชายคนนี้ได้ยังไงกัน พี่ชายหน้าอัลปาก้านี่มันโรคจิตชัดๆ!

 

 

 

“ยูจีน”

 

 

 

สิ้นเสียงดุของมาร์ติน หนูน้อยยูจีนก็ค่อยๆ ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปจับอีกฝ่ายทันทีอย่างว่าง่ายโดยที่อีกข้างยังคงกำเสื้อของคุณครูที่เธอรักไว้แน่น และนั่นก็เรียกรอยยิ้มกว้างจากคุณครูได้อย่างไม่ยากนัก คนตัวเล็กมองหน้าลูกศิษย์ทั้งสองคนสลับไปมาอย่างภาคภูมิใจที่อย่างน้อยๆ เขาก็สามารถกำราบเด็กดื้อให้อยู่หมัดได้

 

 

 

“จับมือกันแล้วก็กอดกันด้วย ฉันจะได้สบายใจว่าพวกเธอสองคนจะไม่ตีกัน เอ้า กอดเร็วเข้า”

 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้นเบเนดิกต์ถึงกับทำหน้าอึ้งแบบไปไม่เป็น แต่เมื่อมาร์ตินเอ่ยร้องขอเขาแบบนี้ หากไม่ทำตามเขาคงจะโดนคนตัวเล็กโกรธเอาแน่ๆ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจย่อตัวลงระดับเดียวกับความสูงของเด็กน้อยจนเสื้อโค้ตตัวยาวระเรี่ยไปกับพื้น ก่อนจะกางแขนอ้าออกกว้างอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

 

 

 

ทางด้านหนูน้อยยูจีน เธอมองวงแขนยาวๆ ที่อ้ากว้างรอรับเธออยู่อย่างไม่ไว้ใจเช่นกัน ทำไมพี่ชายหน้าอัลปาก้าคนนี้ถึงเชื่อฟังคุณครูมาร์ตินแบบนี้ เชื่อฟังเหมือนเธอไม่มีผิด หรือว่า…

 

 

 

“ยูจีน กอดพี่เบนเร็วๆ เข้า เราจะได้ไปกินข้าวกันซะที เร็ววว”

 

 

 

พอถูกคุณครูเร่ง เด็กน้อยก็ปล่อยมือจากชายเสื้อของมาร์ตินทันที เท้าเล็กๆ ค่อยๆ ก้าวเดินออกไปอย่างละล้าละลัง แต่พอหันไปเงยหน้ามองคุณครูของเธอแล้ว เธอก็ตัดสินใจเดินตรงเข้าไปสวมกอดชายร่างสูงทันที

 

 

 

วงแขนแกร่งรัดเด็กหญิงแน่น คางเล็กๆ เกยอยู่บนไหล่หนาของอีกฝ่าย ยูจีนวางฝ่ามือทั้งสองข้างไว้บนแผ่นหลังของชายหนุ่ม ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้าปกคลุมร่างกายเธออย่างรวดเร็วจนเธอเกือบจะเผลอไผลหลงรักสัมผัสอุ่นๆ นี่ไปแล้ว เว้นเสียแต่ว่า…

 

 

 

จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำก็กระซิบข้างหูของเธอเบาๆ

 

 

 

“คิดจะแย่งมาร์ตินไปจากฉันเรอะ ฝันไปเถอะ เด็กน้อย หึหึหึ”

 

 

 

สิ้นเสียงขู่ ดวงตาเรียวรีของเด็กหญิงก็เบิกกว้างพร้อมกับผละตัวออกจากชายร่างสูงทันที รอยยิ้มเจ้าเล่ห์และโรคจิตถูกส่งให้กับศัตรูตัวเล็กกว่า ยูจีนถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะถลาไปกอดเอวคุณครูมาร์ตินแน่นพร้อมหลบอยู่ด้านหลัง

 

 

 

ผู้ชายคนนี้โรคจิตจริงๆ ด้วย แง้!

 

 

 

 

 

เสียงดนตรีบรรเลงเพลงเบาๆ ดังล้อไปกับบรรยากาศแห่งความสุขของเหล่าบรรดาหนุ่มสาวทั้งหลาย กลิ่นหอมหวานของวัตถุดิบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวานิลลา ช็อกโกแลต หรือแม้กระทั่งกลิ่นหวานอมเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รี่ก็ตลบอบอวลไปทั่วร้านคาเฟ่เล็กๆ ร้านหนึ่งที่ประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีขาว เสียงเคร้งดังขึ้นเมื่อส้อมในมือหนูน้อยยูจีนตัดผ่านเค้กช็อกโกแลตชิ้นโตไป ก่อนเธอจะอ้าปากกว้างแล้วส่งเค้กคำใหญ่เข้าปากไปในทันที ริมฝีปากอิ่มระบายยิ้มกว้างออกมาในความหวานอร่อยของเค้กตรงหน้า จนอดไม่ได้ที่จะหันไปยิ้มให้กับคุณครูที่แสนดีของเธอ

 

 

 

“อร่อยจังเลยค่ะ คุณครูมาร์ติน”

 

 

 

มาร์ตินได้ยินดังนั้นก็ลูบหัวเด็กน้อยพลางส่งยิ้มหวานตอบกลับให้ในความไร้เดียงสาของลูกศิษย์ตัวเล็ก

 

 

 

“อร่อยก็กินเยอะๆ นะ”

 

 

 

“อื้อ!”

 

 

 

พยักหน้าตอบรับคำอย่างแข็งขัน ก่อนจะหันไปตักเค้กอีกคำเข้าปากไปพลางหัวเราะคิกคัก ผิดกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม รายนั้นนั่งหน้าหงิกหน้างอ กอดอกไม่ยอมพูดยอมจากับใครตั้งแต่เข้าร้านมาแล้ว ตรงหน้าเขามีเพียงถ้วยกาแฟร้อนตั้งอยู่เท่านั้น

 

 

 

เบเนดิกต์มองภาพอาจารย์ของตนที่กำลังหัวเราะหยอกเอินอยู่กับเด็กสาวก็เกิดอาการฮึดฮัดขัดใจ แต่ก็แสดงอะไรออกมาไม่ได้มากมายนัก ทั้งๆ ที่เขาอยากจะยื่นมือพุ่งเข้าไปกดหัวไอ้เด็กบ้าที่ชื่อยูจงยูจีนอะไรนั่นให้หน้าจมลงไปกับเค้กช็อกโกแลตที่เธอบอกว่าอร่อยนักอร่อยหนาก็ตามที แต่สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแค่นั่งกอดอกมองสองคนนั้นก็เท่านั้น

 

 

 

เขาไม่เข้าใจ

มีอย่างที่ไหน เด็กผู้หญิงบ้าอะไรชื่ออย่างกับเด็กผู้ชาย

ไม่ใช่สิ

ที่เขาไม่เข้าใจก็คือในเมื่อนัดของเขามาก่อน

แล้วเด็กนี่มานัดทีหลัง

ตามตรรกะแล้ว มันก็ควรเป็นเขาที่ได้สิทธิ์ไปดินเนอร์กับมาร์ตินสองคนสิ

 

 

 

แล้วนี่อะไร?

ดินเนอร์ก็ไม่ได้กิน

แถมไม่ได้มากันสองคนอีกต่างหาก

แล้วยังมีเด็กบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ห้อยท้ายตามมาด้วย

 

 

 

จิตใจของคนธรรมดาว่าเข้าใจได้ยากแล้ว

จิตใจของคนที่เป็นศาสตราจารย์วรรณกรรมกลับเข้าใจได้ยากกว่า

 

 

 

“พี่เบนคะ อ้ะ อ้าม…”

 

 

 

จู่ๆ เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้นปลุกให้เบเนดิกต์ตื่นจากภวังค์ จากที่เสหน้ามองเหม่อออกไปด้านนอกอยู่ในตอนแรก พอเบนหน้ากลับมาตามเสียงเขาก็พบว่า ช้อนเล็กๆ ที่มีเค้กพอดีคำกำลังถูกยื่นมาอยู่ตรงหน้า เป็นยูจีนที่ยื่นเค้กส่งมาให้ พร้อมส่งเสียงอ้าอ้ามอย่างน่ารักน่าเอ็นดู (แน่นอนว่าในสายตาของมาร์ติน แต่ถ้าเป็นเขาเขาว่ามันแปลกๆ พิกล) เท่านั้นยังไม่พอ ยังเอียงคอมองเขาอีกด้วย

 

 

 

คนที่กำลังจะถูกป้อนมองเค้กช็อกโกแลตคำเล็กตรงหน้าสลับกับหน้าไร้เดียงสาของเด็กน้อยไปมา ในหัวกำลังประมวลความเป็นไปได้ในการกระทำนี้อย่างรวดเร็ว

 

 

 

ความเป็นไปได้อันดับแรก ยูจีนคงจะอิ่มแล้ว สังเกตได้ว่าในจานเหลืออีกแค่คำสองคำก็น่าจะกินหมด เจ้าเด็กนี่ก็เลยกลัวว่าถ้ากินไม่หมดจะโดนมาร์ตินว่า เลยแกล้งทำเป็นป้อนเขา จะได้ช่วยแบ่งเบาภาระการกินเค้กให้หมดซะ

 

 

 

ความเป็นไปได้อันดับสอง ในขนมเค้กอาจจะมีสารอะไรบางอย่างที่ทำให้สมองของเด็กน้อยเบลอไปชั่วขณะ เลยหันมาญาติดีป้อนเค้กให้เขากินก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นอาจจะต้องลองกินดูสักหน่อย เพื่อจะได้วิเคราะห์ว่าในเค้กมีส่วนประกอบอะไรอยู่บ้างกันแน่

 

 

 

ความเป็นไปได้อันดับสาม ยูจีนอาจจะเห็นว่า การญาติดีกับเขานั้นทำให้มาร์ตินรักและเอ็นดูเธอมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นการป้อนเค้กให้ก็เป็นวิธีการง่ายๆ ที่เด็กน้อยพึงกระทำ เพื่อเป็นการนำทางไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

 

 

 

ความเป็นไปได้อันดับสี่ มาร์ตินอาจจะบังคับให้เธอป้อนเค้กเขา เหมือนกับที่บังคับให้เขาจับมือและกอดเด็กหญิงเหมือนเมื่อเย็นที่ผ่านมาก็ได้

 

 

 

ความเป็นไปได้อันดับห้า หรืออันดับสุดท้าย ยูจีนคงคิดจะกละ…

 

 

 

“เบน! น้องจะป้อนเค้กแน่ะ อ้าปากสิ อ้าม…”

 

 

 

เสียงของผู้ชายที่นั่งข้างๆ เด็กน้อยดังขัดจังหวะความคิดเขา พลางส่งเสียงเร่งให้ร่างสูงอ้าปากตอบรับขนมเค้กในช้อนเร็วขึ้น ดวงตาสีฟ้าเหลือบทองเสมองไปยังเจ้าของเสียง มาร์ตินกำลังอ้าปากส่งเสียงอ้ามอย่างน่ารัก ให้ตายสิ เขาอยากจะให้คนที่กำลังจะป้อนเค้กเขาเป็นคนตัวเล็กนี่มากกว่าไอ้เด็กบ้ายูจีนเสียอีก

 

 

 

“พี่เบนคะ อั้มๆ อั้มเร็วเร็วววว”

 

 

 

เด็กน้อยยูจีนก็ไม่ยอมแพ้มาร์ตินเช่นกัน เธอส่งเสียงต่ำในลำคอเร่งให้พี่ชายหน้าอัลปาก้าอ้าปากงับเค้กในช้อนเธอเร็วๆ เมื่อสายตาออดอ้อนทั้งสองคู่ส่งมายังชายหนุ่มร่างสูงราวกับกระแสแห่งดวงดาวระยิบระยับที่ไม่อาจต้านทานได้ ยิ่งบวกกับรอยยิ้มอ่อนหวานสดใสของอาจารย์ตัวเล็กกับลูกศิษย์ตัวแสบด้วยแล้ว คนถูกอ้อนเลยไม่รู้จะทำยังไงนอกจากยื่นหน้าเข้าไปใกล้พลางอ้าปากเตรียมจะรับเค้กคำเล็กอย่างช้าๆ

 

 

 

กึก!

 

 

 

และแล้วหัวสมองที่ประมวลผลค้างอยู่ก็ได้คำตอบที่ถูกต้อง

ความเป็นไปได้อันดับสุดท้าย ยูจีนคงคิดจะแกล้งเขาน่ะสิ!

 

 

 

เสียงฟันกระทบกันดังกึกพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะคิกคักที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหญิง พอชายหนุ่มผมหยักยุ่งอ้าปากเกือบจะถึงช้อนที่ยื่นมาตรงหน้าแล้ว เจ้าหนูนั่นก็รีบหดมือกลับแล้วส่งเค้กชิ้นเล็กๆ ที่ทำเหมือนจะป้อนให้พี่ชายตัวสูงกลับเข้าปากตัวเองแทนทันที พลางหัวเราะเล็กๆ อย่างสะใจและเคี้ยวขนมหวานตุ้ยๆ อย่างเยาะเย้ยคนตรงหน้า

 

 

 

คิดจะเป็นศัตรูกับยูจีนใช่มั้ยคะ พี่ชายหน้าอัลปาก้า…

ฝันไปเถอะค่ะ!

ยังไงคุณครูมาร์ตินก็ต้องรักยูจีนมากกว่าพี่หัวหยิกอยู่แล้ว!

 

 

 

ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีของยูจีน ชายหนุ่มสองคนนั่งอึ้งด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน สำหรับคนถูกแกล้งน่ะ ตอนนี้ยังคงยื่นหน้าค้างไว้ตำแหน่งเดิมพลางเม้มปากเข้าหากันแน่นด้วยความโมโหที่ถูกเด็กน้อยมาลูบคมเสียได้ นี่ถ้าไม่ติดว่ามาร์ตินส่งเสียงเร่งเขาพร้อมทำหน้าน่ารักๆ แบบเมื่อกี้นี้นะ เขาไม่มีทางตกหลุมพรางอ้าปากรับเค้กของไอ้เด็กบ้านี่แน่

 

 

 

ส่วนมาร์ตินนั้นก็ได้แต่นั่งหน้าเหวอไปแล้ว เพราะเขาก็ไม่คิดว่ายูจีนจะแกล้งเบนแบบนี้ ยิ่งตอนนี้ลูกศิษย์ตัวโตของเขานั่งทำหน้านิ่งมากกว่าเดิม พลางเอนตัวลงกับพนักพิง กอดอกแล้วเบือนหน้าหนีไปนอกหน้าต่างนั่นอีก ใครๆ ดูก็คงจะรู้ได้ทันทีว่า เบนกำลังนับหนึ่งถึงร้อย ไม่สิ น่าจะนับถึงล้านอยู่ในใจเพื่อระงับความโกรธ ระงับมือไม่ให้ยื่นออกมาเขกหัวยูจีนเป็นแน่แท้

 

 

 

แต่ใครๆ ที่มาร์ตินว่าคงไม่ใช่หนูน้อยยูจีนล่ะมั้ง

 

 

 

“เค้กอร่อยมั้ยคะพี่เบนขา”

 

 

 

เด็กหญิงส่งเสียงเจื้อยแจ้วพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ส่งให้กับอีกฝ่าย เบนไม่ได้ตอบอะไร เขาไม่มองหน้ายูจีนเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งมาร์ตินยกเท้าเตะเข้าที่หน้าแข้งของอีกฝ่ายใต้โต๊ะตัวใหญ่นั่นแหละ เบนถึงยอมหันมามองหน้าคนที่เตะเขา คนตัวเล็กพยักพเยิด ทำปากขมุบขมิบบอกให้เขาตอบคำถามยูจีนไปซะ แต่ร่างสูงที่นั่งกอดอกอยู่ก็ยักไหล่พลางส่ายหน้าพร้อมเบะปากอย่างงอนๆ ปฏิเสธว่าไม่ทำเด็ดขาด พอเห็นแบบนั้นขาสั้นๆ เลยเตะผัวะเข้าที่หน้าแข้งของเด็กโข่งขี้งอนเข้าไปอีกหนึ่งที

 

 

 

“เบน!”

 

 

 

แถมออฟชันเร่งปฏิกิริยาเป็นเสียงเรียกชื่อเขาเสียงเข้มอีกต่างหาก

 

 

 

รอยยิ้มเก้ๆ กังๆ ที่อย่าเรียกว่ายิ้มเลย เรียกว่าหน้ากระตุกยังจะถูกต้องซะกว่าผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าหล่อเหลา เบนกระตุกยิ้มพลางกัดฟันกรอดๆ ส่งเสียงต่ำตอบเด็กหญิงตัวน้อยไปอย่างไม่เต็มใจจะตอบเท่าไรนัก ถ้าไม่ติดว่าปฏิเสธมาร์ตินแล้วจะถูกคนตัวเล็กนี่โกรธล่ะก็ เขาจะตะโกนใส่หน้าเจ้าเด็กยูจีนตัวแสบนี่ไปว่า ‘อร่อยบ้านเธอสิ!’ แล้วเดินไปผลักเด็กบ้านั่นให้ตกเก้าอี้เสียเลย

 

 

 

ถ้าไม่ติดว่ามาร์ตินจะโกรธล่ะก็นะ…เขาทำไปแล้ว

 

 

 

“อร่อยค่ะยูจีน”

“เย้!”

 

 

 

สิ้นเสียงคำตอบลอดไรฟันของพี่ชายหน้าอัลปาก้า เด็กน้อยก็ส่งเสียงดีใจออกมาพร้อมกับตักเค้กเข้าปากคำโตอีกครั้ง เธอเคี้ยวขนมตุ้ยๆ จนแก้มตุ่ยพลางหันหน้าไปมองคุณครูมาร์ตินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะชูจานเค้กขึ้นมา แล้วเอ่ยอวดในความภาคภูมิใจของตน

 

 

 

“คุณครูมาร์ตินขา ยูจีนกินเค้กหมดเกลี้ยงเลย ยูจีนเก่งมั้ยคะ?”

“เก่งจ้ะ เก่ง แต่ถ้าจะให้เก่งกว่านี้ต้องกินไม่เลอะเทอะนะรู้มั้ย?”

 

 

 

ว่าแล้วมือเล็กๆ ก็ยื่นไปตรงหน้าของเด็กน้อย มาร์ตินใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเศษแป้งสีน้ำตาลเข้มที่ติดอยู่บริเวณริมฝีปากและแก้มของยูจีนเพื่อทำความสะอาดให้กับพวงแก้มใส เมื่อเช็ดเสร็จหนูน้อยก็ยิ้มแป้นพลางพุ่งตัวเข้าไปกอดคุณครูของเธออย่างเต็มรัก

 

 

 

“ขอบคุณค่ะคุณครูมาร์ติน รักคุณครูที่สุดเลย”

“จ้า ครูก็รักยูจีนน้า”

 

 

 

ตอบพลางลูบผมยุ่งๆ พลางโยกตัวโคลงไปมาอย่างอารมณ์ดี โดยหารู้ไม่ว่าภาพตรงหน้ามันทำให้ลูกศิษย์อีกคนที่ขาดความอบอุ่นที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยนั้นเกิดความปั่นป่วนในใจขนาดไหน

 

 

 

และด้านล่างโต๊ะตัวใหญ่นั้น นิ้วเรียวยาวของเบเนดิกต์ก็ขยับไปมาเหมือนกำลังนับอะไรบางอย่างอยู่ในใจอย่างเงียบๆ

 

 

 

 

 

“เอาล่ะ นอนได้แล้วนะสาวน้อย”

 

 

 

ภายในห้องนอนหลังเล็กที่ปกติมันก็ดูกว้างอยู่หรอกนะ แต่พอมันอัดแน่นด้วยเจ้าของห้องที่ตอนนี้นอนยิ้มแป้นอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างมีความสุข บวกกับชายหนุ่มสองคนที่คนตัวเล็กกว่านั่งอยู่บนเตียง ส่วนคนตัวสูงกว่ายืนรออยู่ข้างๆ มันก็ทำให้ห้องหลังนี้ดูแคบลงไปถนัดตา

 

 

 

“ค่ะ คุณครูมาร์ติน”

“งั้น พรุ่งนี้บ่ายๆ เจอกันนะ”

 

 

 

มือเล็กตบผ้าห่มสองสามทีเป็นการบอกลา ก่อนคุณครูมาร์ตินของเธอจะยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง (แต่ก็ยังเตี้ยกว่าลูกศิษย์ร่างสูงของเขาอยู่ดี) เพื่อเป็นสัญญาณว่าจะกลับแล้ว เห็นดังนั้นเด็กน้อยยูจีนก็เอื้อมมือไปรั้งชายเสื้อนอกสีน้ำตาลเข้มของคุณครูไว้แน่นพลางกระตุกเบาๆ

 

 

 

“คุณครูจุ๊บหน้าผากยูจีนหน่อยสิคะ”

“เอ๋?”

“เฮ้ย!”

 

 

 

สองเสียงประสานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ มาร์ตินมองหน้าเบนด้วยสายตาเลิ่กลั่ก คนตัวเล็กเอ่ยอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่ง หนูน้อยยูจีนก็ส่งเสียงแง้วๆ เร่งให้คุณครูจุ๊บหน้าผากเธอเร็วขึ้น

 

 

 

“นะคะคุณครู คุณครูจุ๊บหัวเหม่งของยูจีนแล้วบอกว่าฝันดีด้วยนะคะ คืนนี้ยูจีนจะได้นอนหลับฝันดี ไม่มีปีศาจจากใต้เตียงโผล่ออกมา นะคะคุณครู”

 

 

 

พอได้ยินคำพูดน่ารักๆ แบบนั้นบวกกับดวงตาเรียวรีสดใสไร้เดียงสา มาร์ตินก็อดไม่ได้ที่จะนึกเอ็นดูเด็กน้อยที่กำลังออดอ้อนอยู่ตรงหน้า ชายร่างเล็กหมุนตัวกลับหันหลังให้ลูกศิษย์ตัวโตทันที ก่อนจะก้มหน้าลงไปหมายจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนของเด็กน้อย แต่แล้วแรงฉุดรั้งบางอย่างตรงแขนก็หยุดการกระทำของคุณครูตัวเล็กไว้ได้ก่อนที่ริมฝีปากนั้นจะได้จุ๊บหัวเหม่งของเด็กแสบนั่น

 

 

 

“มาร์ตินไม่ต้อง เดี๋ยวผมทำเอง”

“เอ๋?”

“เอ๋?”

 

 

 

“อะไร เรื่องแค่นี้ กะอีแค่จูบหน้าผากแล้วบอกฝันดีน่ะ ไม่ต้องถึงมือมาร์ตินหรอก ฉันทำให้ก็ได้”

 

 

 

ว่าแล้วคนตัวสูงก็ดึงแขนศาสตราจารย์ของเขาให้ถอยไปด้านหลัง ก่อนจะก้มหน้าลงไปใกล้กับใบหน้าขาวของเด็กน้อย เบเนดิกต์กดริมฝีปากประทับลงไปบนหน้าผากเนียนนั่น ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วดวงหน้าหวานที่ติดจะง่วงงุนเล็กน้อยของยูจีน สัมผัสอบอุ่นที่ได้รับเกือบทำให้ยูจีนเผลอไผลไปกับมันแล้ว เว้นเสียแต่ว่า…

 

 

 

จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำก็กระซิบข้างหูเบาๆ

 

 

 

เดี๋ยว…เดี๋ยวนะ เหตุการณ์นี้มันคุ้นๆ นะ เธอรู้สึกว่าเหมือนมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อเย็นนี้!

 

 

 

“ฉันไม่มีวันยกมาร์ตินให้เธอหรอก จงฝันร้ายไปซะไอ้เด็กตัวแสบ”

 

 

 

สิ้นเสียงขู่ให้ฝันร้าย ดวงตาเรียวรีของหนูน้อยก็เบิกกว้างพร้อมกับน้ำใสๆ ที่เอ่อคลอเบ้า ยูจีนตวัดผ้าห่มในมือแน่นพลางพลิกตัวตะแคงข้างหันหลังให้พี่ชายทั้งสองคนทันที

 

 

 

พี่ชายหน้าอัลปาก้าคนนี้โรคจิตจริงๆ ด้วย แง้!

 

 

 

 

 

หลังจากที่มาร์ตินร่ำลาเจ้าของบ้านผมดำร่างใหญ่และคนตัวบางผมทองเสร็จเรียบร้อย เสียงประตูบ้านก็ถูกปิดลง ชายหนุ่มสองคนเดินปรี่ออกมายืนอยู่บนทางเท้าหน้าบ้านหลังใหญ่ ชายที่ตัวเล็กกว่าผลักไหล่อีกฝ่ายจนเซไปด้านหลังเล็กน้อย แต่กระนั้นใบหน้าคมก็ยังเบือนหน้าหนีไปทางอื่นไม่ยอมหันมาสบตากับมาร์ตินเลยแม้แต่นิด เล่นเอาศาสตราจารย์หนุ่มฮึดฮัดฟึดฟัดขัดใจ คนที่ควรจะเป็นฝ่ายงอน เป็นฝ่ายโกรธน่ะมันเขาไม่ใช่เหรอ? ก็ในเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาเบนทำตัวไม่น่ารักเลยสักนิด! แล้วไหงจู่ๆ กลายเป็นเจ้าเด็กบ้านี่มาโกรธเขาซะงั้นน่ะ

 

 

 

“เบน หันมาคุยกันเดี๋ยวนี้”

 

 

 

มาร์ตินเอ่ยเสียงต่ำบ่งบอกถึงอารมณ์ที่สะกดกลั้น พอได้ยินแบบนั้นคนตัวสูงกว่าก็ปรายตามองต่ำมายังคนตัวเล็กกว่านิดเดียวแล้วก็เสมองไปทางอื่นเหมือนเดิม มือใหญ่กอดอกตัวเองแน่นราวกับว่ามันเป็นเกราะป้องกันชั้นยอด เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะว่าตัวเองเป็นอะไร แต่แค่รู้สึกว่าอยากให้มาร์ตินทำกับเขาเหมือนที่ทำกับเด็กแสบที่ชื่อยูจีนบ้างก็เท่านั้น

 

 

 

“ก็ถ้าไม่อยากคุยกันตอนนี้ ก็ไม่ต้องมาคุยกันอีกแล้ว”

 

 

 

พูดจบคนตัวเล็กก็สะบัดหน้าหมุนตัวเตรียมจะเดินจากไปทันที เดือดร้อนถึงคนขี้งอนในตอนแรกต้องรีบเปลี่ยนฝั่งกลับมาเป็นคนง้อไปโดยปริยาย คนตัวโตกว่าอุทานคำว่า ‘เฮ่ย’ เสียงดังก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าแขนเล็กๆ ของศาสตราจารย์หนุ่มไว้ได้ทัน และทันทีที่มาร์ตินหันมา หมัดลุ่นๆ ก็พุ่งเข้าใส่หน้าของลูกศิษย์ตัวเองทันที

 

 

 

“โอ๊ย!”

“เฮ่ย!”

 

 

 

คนที่ไม่ทันจะตั้งรับพอโดนแรงหมัดกระแทกแบบนี้ก็หงายหลังลงไปนอนกองกับพื้นทั้งๆ ที่มือใหญ่ยังคงเกาะเกี่ยวแขนเล็กๆ ของมาร์ตินเอาไว้ พอเป็นแบบนั้นเลยกลายเป็นว่าสองหนุ่มไปนอนกองกันอยู่บนทางเท้าหน้าบ้านหนูยูจีนซะอย่างนั้น

 

 

 

กว่าจะลุกขึ้นมาได้ก็เล่นเอานอนจ้องหน้าจ้องตากันไปหลายวินาที มาร์ตินที่เป็นฝ่ายลุกขึ้นมาก่อนสะบัดหัวไปมาราวกับขับไล่อะไรบางอย่างออกไป ก็จะอะไรซะอีกล่ะ เมื่อกี้สายตาที่ลูกศิษย์ตัวโตของเขาส่งมานั้นมันช่างออดอ้อนราวกับลูกหมาตัวโตกำลังจะถูกเจ้าของทิ้งให้อยู่บ้านตัวเดียวยังไงยังงั้น สาบานได้เลยว่า ถ้าใครเห็นสายตาแบบนั้นของเบนแล้วไม่ใจอ่อนล่ะก็…คนคนนั้นมันต้องไม่ใช่คนแล้ว!

 

 

 

“มาร์ติน”

 

 

 

พอร่างสูงลุกขึ้นมาได้ก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำอย่างแผ่วเบาราวกับสำนึกผิด แน่ล่ะ ต้องใช้คำว่า ‘ราวกับ’ เพราะคนอย่างเบนน่ะหลายครั้งที่ทำผิดกฎธรรมชาติของมนุษย์ไปก็ไม่เคยจะรู้สึกตัวหรอกนะว่าผิดน่ะ

 

 

 

“อะไร? ยอมพูดด้วยแล้วเหรอ? ยอมเรียกชื่อฉันแล้วเหรอ? ทีเมื่อกี้นะหน้ายังไม่ยอมมองกันเลย”

 

 

 

“ผมมองแล้วนะ ตอนล้มเมื่อกี้ไง ผมนอนมองหน้ามาร์ตินตั้ง 32 วินาทีแน่ะ จะให้บอกด้วยมั้ยว่าหัวใจของมาร์ตินเต้นกี่ครั้งตอนที่เราล้มลงไปนอนกอดกันอยู่ที่พื้นน่ะ”

 

 

 

ได้ยินดังนั้นมาร์ตินก็ถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธเคือง ลูกศิษย์ไร้ความเข้าอกเข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์อย่างเบนนี่มัน… อ๊าก! จะจับเวลานอนมองหน้าเขา จะนับการเต้นของหัวใจไปทำไมล่ะเฟ้ย!

 

 

 

“ไม่ต้อง! ไม่อยากรู้ เรื่องแบบนี้น่ะหัดมีมารยาทพูดให้มันเบาๆ หน่อยได้มั้ยห๊ะ!? แล้วก็นะ เมื่อกี้เราไม่ได้นอนกอดกัน ฉันแค่ล้มลงไปทับบนตัวนายเฉยๆ เฟ้ย! เอ๊ะ?”

 

 

 

คนตัวเล็กยืนนิ่งคิดเหมือนเมื่อกี้เขาจะพูดอะไรผิดไปสักอย่าง ตรงท่อนไหนหรือคำไหนเนี่ยแหละ แต่พูดออกไปด้วยความโมโหแบบเมื่อกี้มันก็เลยจำไม่ได้น่ะนะว่าพูดผิดตรงไหน เอ้อๆ ช่างมันเถอะ! พูดแล้วก็แล้วกัน ชิ!

 

 

 

ศาสตราจารย์หนุ่มยืนกำหมัดแน่นหอบหายใจฮั่กๆ จนตัวโยนพลางใช้สายตาขุ่นเคืองจ้องมองไปยังใบหน้าหล่อๆ ของนักศึกษาจอมวุ่นวายของเขา

 

 

 

โอเค เขารู้แหละว่าเขาผิดที่วันนี้จู่ๆ ก็ส่งข้อความไปยกเลิกนัดติวหนังสือที่เป็นนัดประจำวันของเขากับเบน ก็แดดดี๊ของยูจีนน่ะสิ ดันโทรมาขอร้องเขาให้วันนี้มาสอนพิเศษภาษาอังกฤษเป็นกรณีพิเศษให้หน่อย ปกติน่ะเขาก็สอนยูจีนทุกเย็นวันพุธกับศุกร์อยู่แล้ว แต่พอดีว่าวันนี้ (ซึ่งเป็นวันอังคาร) แดดดี๊กับป่าปี๊ (?) ของยูจีนต้องออกไปธุระกะทันหันก็เลยอยากให้เขามาสอนหนังสือและอยู่เป็นเพื่อนเด็กหญิงให้หน่อยตอนหัวค่ำทั้งคู่ถึงจะกลับ ซึ่งแน่นอนว่าใครจะไปเอ่ยปากขัดได้

 

 

 

แล้วพอสอนเสร็จ เขาก็ตั้งใจจะส่งข้อความไปบอกเบนอยู่แล้วว่าเขาสอนเสร็จแล้วนะ ถ้าไม่มีนัดอะไรก็ให้มาเจอกันได้ แต่หมอนั่นก็มารอรับเขาที่หน้าบ้านของยูจีนพอดี ไอ้มนุษย์ไร้หัวจิตหัวใจอย่างเบนน่ะคงไม่รู้หรอกว่าเขาดีใจขนาดไหนที่เห็นหน้าหมอนั่นในตอนนั้น เราเลยตกลงกันว่าจะไปดินเนอร์ด้วยกันชดเชยความผิดที่เขาผิดนัดในตอนแรก แต่ที่ไหนได้

 

 

 

ยูจีนกลับโผล่เข้ามาแล้วอ้อนให้เขาพาไปกินเค้กด้วยน่ะสิ!

 

 

 

แล้วใครจะปฏิเสธสายตาไร้เดียงสาของเด็กน้อยลงล่ะ เบนคงทำได้ แต่เขาคนหนึ่งล่ะไม่ได้แน่นอน

 

 

 

ในที่สุดเขาก็ผิดนัดเบนอีกครั้ง โดยการพายูจีนไปกินเค้กที่ร้านคาเฟ่แห่งหนึ่ง (ซึ่งกว่าจะได้ออกจากบ้านยูจีนก็โดนป่าปี๊ของเธอกำชับนักกำชับหนาว่าอย่าดื้ออย่าซน ต้องเชื่อฟังคุณครูอย่างเขา) แน่นอนว่างานนี้เด็กโข่งอย่างเบนเป็นตัวแถมเห็นๆ พอถึงร้านหมอนั่นก็นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไรเลย แต่ที่เขาเสียใจที่สุดก็คือ หมอนั่นไม่ยอมมองหน้าเขาด้วยซ้ำ (ถ้าไม่เรียกหรือเตะน่ะนะ) ให้ตายสิ! จะโกรธอะไรกันก็ขอให้มันมีขอบเขตเหตุผลหน่อยได้มั้ยเล่า

 

 

 

แถมที่ร้านเบนก็ยังมาโดนยูจีนแกล้งอีก ใจนึงก็นึกขำนะที่เห็นคนอย่างเบนถูกเด็กน้อยแปดขวบแกล้งให้หลงกลเอาได้ แต่อีกใจนึงก็นึกสงสาร วันนี้เขาทำผิดกับเบนมาเสียมากมาย แล้วหมอนั่นยังมาโดนเด็กแกล้งอีก คิดสภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าเขาไม่นั่งอยู่ตรงนี้ ยูจีนจะเป็นยังไง?

 

 

 

จะโดนฆ่าปาดคอหรือจับไปขังห้องใต้บันไดไปแล้วหรือเปล่า?

 

 

 

แต่สุดท้ายก็ผ่านเหตุการณ์อันตรายตรงนั้นไปได้ ขากลับบ้านก็ดูปกติดีไม่มีอะไร เว้นเสียแต่ว่าเบนพยายามจะเดินจับมือเขาให้ได้ ส่วนยูจีนก็พยายามปัดมือเบนออกแล้วดึงมือเขาทั้งสองข้างไปจับเสียเอง ทำให้การเดินทางกลับบ้านนั้นทุลักทุเลนิดหน่อย แต่ยูจีนก็ยังคงร่าเริงเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเหมือนจะซึมลงไปเล็กน้อยน่าจะเป็นเพราะอากาศหนาวและก็ถึงเวลานอนของเด็กหญิงแล้ว พอถึงห้องนอนของเธอเท่านั้นแหละ เด็กน้อยก็รีบปีนขึ้นเตียงไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มทันที

 

 

 

เหตุการณ์เหมือนจะจบลงด้วยดี เขาตั้งใจว่าหลังจากออกจากบ้านยูจีนจะชวนเบนไปดินเนอร์ตามที่คิดเอาไว้กันตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่คิดเลยว่า จู่ๆ ยูจีนจะอ้อนให้จุ๊บหน้าผากบอกฝันดีก่อนนอนเสียได้ และเพื่อให้เรื่องจบๆ ไป (บวกกับสายตาออดอ้อนของยูจีนด้วยแล้ว) เขาก็เลยก้มลงเตรียมจะจุ๊บเหม่งยูจีนทันที ทว่า…

 

 

 

เบนก็มาดึงแขนเขาขัดไว้เสียก่อนน่ะสิ

 

 

 

แถมหมอนั่นบอกว่าจะจุ๊บเหม่งยูจีนแทนเขาอีกด้วย โอ้มายก็อด!

 

 

 

แต่แล้วไม่รู้หมอนั่นจุ๊บอีท่าไหน เพราะพอเบนเงยหน้าขึ้นมายูจีนก็สะบัดผ้าห่มคลุมโปงตัวสั่นงันงกไปเลยทีเดียว ถ้าเขาหูไม่ฝาดเขาเหมือนได้ยินเสียงสะอื้นนิดๆ ดังมาจากร่างเล็กๆ ที่นอนอยู่บนเตียงนั่นด้วยนะ เหมือนยูจีนจะพึมพำอะไรซักอย่างว่า ก้าๆ นี่แหละ

 

 

 

แล้วไม่กี่นาทีต่อมา เขากับเบนก็มายืนทะเลาะกันอยู่ริมถนนหน้าบ้านยูจีนนี่ล่ะ

 

 

 

“โอเค ฉันรู้ตัวว่าฉันผิดที่ฉันยกเลิกนัดของเราหลายครั้งแล้ว”

“มาร์ติน”

“เอ้อ! แต่นายก็ผิดเหมือนกันนั่นแหละ มีอย่างที่ไหนไปทะเลาะกับเด็กแบบนั้นน่ะ โตแล้วนะเบน หัดทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่หน่อยสิ นี่อะไร อย่างกับเด็กสองขวบทะเลาะกัน ใช้ได้ที่ไหนล่ะ”

“มาร์ติน แต่ว่าเด็กคนนั้นรักคุณนะ”

“โอ้ ให้ตายเถอะเบน นั่นมันเด็กแปดขวบนะเบน แปดขวบ! จะหึงจะหวงก็ให้มันพอดีบ้าง”

“แล้วถ้ามีเด็กแปดขวบมารักผมบ้างล่ะ คุณจะรู้สึกยังไง?”

 

 

 

เงียบ

 

 

 

สิ้นประโยคคำถามที่แสนเรียบง่าย แต่มาร์ตินกลับหาคำตอบให้กับจิตใจที่ว้าวุ่นของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จริงๆ แล้วสมองน่ะคิดคำตอบขึ้นมาได้อยู่แล้วว่า นั่นมันก็แค่เด็กแปดขวบ เด็กเหล่านั้นยังไม่รู้หรอกว่าความรักที่พวกเธอรู้สึกน่ะมันเป็นยังไง แต่จิตใจเขากลับย้อนแย้ง พอมาคิดทบทวนดู เขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าหากมีเด็กแปดขวบที่แสนน่ารัก ขี้อ้อนแบบยูจีนมารักแล้วก็อ้อนเบนแบบที่เขาโดนยูจีนอ้อนบ้าง เขาจะรู้สึกยังไง

 

 

 

ความเงียบโรยตัวปกคลุมชายทั้งสองเนิ่นนานหลายนาที คำตอบที่มาร์ตินคิดได้ในใจนั้นเป็นคำตอบที่เขาไม่อยากจะเอ่ยออกไปแม้แต่น้อย ดวงตาสีฟ้าเทาที่หลุบต่ำอยู่ค่อยๆ เหลือบมองคนตรงหน้าช้าๆ เบนก็ยังคงเป็นเบน ร่างสูงยังจ้องมองมายังเขานิ่งด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

 

 

 

“เบน ฉัน…”

 

 

 

“สิบ”

 

 

 

“หา? สิบ? สิบอะไร?”

 

 

 

“วันนี้คุณทำให้ผมเสียใจสิบครั้ง”

 

 

 

“หา”

 

 

 

เรื่องอย่างนี้มันต้องนับกันด้วยเรอะ!

 

 

 

“ครั้งแรกคุณผิดนัดผมวันนี้, ครั้งที่สองคุณผิดนัดดินเนอร์กับผมแล้วไปกินเค้กแทน, สามและสี่ บังคับให้ผมจับมือและกอดเด็กแสบนั่น, ห้า เตะผมที่ริมถนน, หก ยูจีนแกล้งป้อนเค้กผม ทั้งๆ ที่เด็กนั่นทำผิด แต่คุณไม่ดุเธอ ในฐานะคุณครูนี่เป็นการกระทำที่ใช้ไม่ได้เลยนะมาร์ติน, เจ็ดและแปด เตะผมใต้โต๊ะสองครั้ง แถมบังคับให้ผมตอบยูจีนด้วย, เก้า คุณเช็ดปากให้ยูจีน และสิบคุณไม่ยอมให้ผมจับมือตอนเดินกลับ แต่ให้ยูจีนจับ”

 

 

 

อึ้ง

 

 

 

คำเดียวที่ผุดขึ้นมาในหัวอันขาวโพลนของมาร์ตินตอนนี้คือคำว่า ‘อึ้ง’

 

 

 

ใครจะไปคาดคิดว่าหมอนี่จะเก็บทุกเม็ดทุกการกระทำแบบนี้น่ะ ก็พอรู้อยู่หรอกนะว่าลูกศิษย์คนนี้ของเขาฉลาดเกินมนุษย์มนา แต่ใครจะไปคิดว่ามันจะใช้ความฉลาดในทางที่ไม่ถูกไม่ควรและไม่จำเป็นแบบนี้เล่า! โอ๊ย…เป็นการทำผิดที่เขารู้สึกเขินชะมัด ให้ตายเถอะ!

 

 

 

“ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าคุณสำนึกผิดในการกระทำวันนี้ของคุณแล้ว แต่ยังไงผมก็อยากให้คุณชดใช้ผมอยู่ดี เพราะวันนี้คุณทำผมเสียใจมาก และเพื่อเป็นการลงโทษให้ศาสตราจารย์อย่างคุณหลาบจำและจะไม่ทำแบบนี้กับผมอีก ยังไงคุณก็ต้องชดใช้ผม”

 

 

 

ยืนกอดอกกระดิกเท้าดิ๊กๆ รออย่างผู้ชนะ เห็นแล้วหมั่นไส้จนอยากจะต่อยให้คว่ำลงไปนอนกองกับพื้นอีกซักรอบ

 

 

 

“เดี๋ยวเซ่ ฉันเป็นศาสตราจารย์นายนะ นายจะมาลงโทษฉันได้ไง”

 

 

 

“เรื่องนี้จะอาจารย์หรือนักเรียน จะกษัตริย์แห่งเกาะอังกฤษหรือมาดอนน่าก็ไม่เกี่ยว คนทำผิดก็ต้องยอมรับผิดครับ เป็นกฎกติกามารยาทของสังคมนี้ และเป็นวิธีการคิดที่ถูกต้องตามหลักการมากที่สุดเลยด้วย”

 

 

 

ร่ายยาวแบบไม่เว้นวรรคหายใจเลยสักนิด มาร์ตินเลยได้แต่ทอดถอนใจไม่รู้จะทำยังไงนอกจากเงียบ

 

 

 

“มาร์ตินนนน”

 

 

 

เสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงยาวเป็นเชิงเร่งเร้า แต่เจ้าของชื่อยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงใดๆ และนั่นก็เป็นสัญญาณว่า ‘เอาเถอะ เรื่องของเอ็ง อยากจะทำอะไรก็ทำเถอะ’ พอเห็นแบบนั้นลูกศิษย์ตัวโตก็กระตุกยิ้มออกมาก่อนจะเดินไม่กี่ก้าวก็ประชิดตัวชายร่างเล็กที่ยืนก้มหน้างุดๆ อยู่

 

 

 

วงแขนอ้ากว้างก่อนจะตวัดรัดหมับรั้งร่างเล็กๆ ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมอกตัวเองทันที ลูกศิษย์ร่างสูงเอียงศีรษะลงไปเอาริมฝีปากประทับที่แก้มนวลของอีกฝ่ายช้าๆ สองแก้มสลับไปมาซ้ายขวาจนครบสิบครั้ง ทั้งๆ ที่จริงๆ จะหอมเกินสิบครั้งก็ได้นะ เพราะมาร์ตินเห็นว่าครั้งนี้เขาผิดจริงๆ แล้วก็ไม่ได้คิดจะขัดขืนอะไร (เพราะมันดึกมากแล้ว อีกอย่างถ้าเบนคิดจะทำแบบนี้ หมอนั่นต้องคำนวณมาอย่างดีแล้วว่า เวลานี้ ถนนสายนี้ คงไม่มีใครหน้าไหนโผล่มาขัดจังหวะแน่นอน) แต่เบนก็กลับซื่อสัตย์เกินคาด หมอนั่นหอมครบสิบครั้งเสร็จแล้วก็โคลงตัวไปมาพลางกอดรัดคนตัวเล็กแน่นกว่าเดิม

 

 

 

“พอแล้วเบน อึดอัด หายใจไม่ออก”

 

 

 

“อุ่นดีออก ผมชอบ โอ๊ย!”

 

 

 

ว่าแล้วเบนก็โดนหมัดขวากระแทกสีข้างเข้าอย่างจังจนต้องคลายวงแขนออกให้คนตัวเล็กเป็นอิสระ ทั้งคู่ยืนมองหน้ากันเล็กน้อยแล้วหัวเราะคิกคักใส่กันยกใหญ่ ก่อนร่างสูงจะแบมือยื่นมาตรงหน้าศาสตราจารย์ตัวเล็กพร้อมยิ้มบางๆ และแน่นอนว่ามาร์ตินก็ไม่พลาดที่จะชดเชยความผิดที่เขาก่อทั้งหมดในวันนี้ให้ มือเล็กๆ ของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์วางลงบนมือใหญ่หนาของอีกฝ่าย ก่อนเรียวนิ้วทั้งสิบจะสอดประสานกระชับกันแน่นแล้วเริ่มออกเดินจากหน้าบ้านหลังน้อยๆ นั้นไป

 

 

 

“คราวนี้มือนี้เป็นของผมคนเดียวแล้วนะ”

“อื้อ”

 

 

 

เบเนดิกต์ที่คิดว่าตัวเองคำนวณมาเป็นอย่างดีแล้วว่า เวลาดึกเช่นนี้บนถนนสายนี้คงไม่มีใครโผล่มาขัดจังหวะสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่ แต่เชอร์ล็อก โฮล์มส์แห่งศตวรรษที่ 21 คงลืมไปล่ะมั้งว่า… เขาคำนวณแค่บนถนน แต่เด็กสาวที่ยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่แรกเริ่มผ่านทางหน้าต่างห้องนอนตัวเองนั้น เบนคงไม่ได้คาดคิดเอาไว้แน่ๆ

 

 

 

เด็กหญิงที่ยืนมองมาจากด้านบนดึงหน้าต่างปิดลงสนิทอย่างช้าๆ หนูน้อยยูจีนเอียงคอมองชายสองคนที่เดินจับจูงมือกันห่างออกจากบ้านเธอไปเรื่อยๆ ด้วยความสงสัย เธอรู้ว่าหอมแก้มเป็นยังไง แล้วก็ทำเพราะอะไร แต่เมื่อกี้ที่พี่ชายหน้าอัลปาก้าทำกับคุณครูมาร์ตินของเธอนั้นมันไม่เหมือนการหอมแก้มที่เธอรู้เลยนี่นา เธอว่ามันเหมือน ‘การฟัด’ มากกว่า เพราะเธอเห็นแดดดี๊ทำกับป่าปี๊บ่อยๆ แดดดี๊บอกเธอว่า ‘การฟัด’ นั้นมีไว้สำหรับแสดงความรักของคนที่เป็นคนรักกันเหมือนคุณพ่อทั้งสองของเธอเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ทำแม้จะเป็นยูจีนเองก็ตาม เพราะถ้ายูจีนอยากแสดงความรักกับทั้งคู่บ้าง ก็ทำได้แค่หอมแก้มซ้ายขวาข้างละทีเท่านั้น แต่ฟัดรัวๆ แบบที่พี่ชายหน้าอัลปาก้าทำกับคุณครูมาร์ตินไม่ได้

 

 

 

แต่เดี๋ยวนะ ยูจีนนึกออกแล้ว

 

 

 

แดดดี๊เคยบอกว่า ถ้าอยากจะฟัดแก้มป่าปี๊ล่ะก็ให้ทำผ่านแดดดี๊ได้ แล้วแดดดี๊จะไปฟัดแก้มป่าปี๊ต่อเอง

ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า…

พี่ชายหัวหยิกโรคจิตหน้าอัลปาก้ากับคุณครูมาร์ติน เป็นเหมือนแดดดี๊กับป่าปี๊ของเธอเหรอ?

ไม่ยอมนะ ยูจีนก็อยากฟัดแก้มคุณครูมาร์ตินด้วยนี่นา

หรือว่าต้องใช้แผนเดียวกับที่แดดดี๊บอกซะแล้ว

เพราะฉะนั้น!

ถ้าเธอฟัดแก้มพี่ชายหน้าอัลปาก้า ก็เหมือนกับว่าเธอได้ฟัดแก้มคุณครูมาร์ตินแล้ว เย้!

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again : ไม่มีอะไรจะพูดค่ะ… อะฮึก… T^T

 

 

 

 

 

 

[FreeBatch Fanfiction] Little boy the series – E9 Kokuhaku

Title : Little boy the series – E9 Kokuhaku

Pairing : Benedict Cumberbatch x Martin Freeman ft. Chris Hemsworth x Tom Hiddleston

Author : Babibubell

Talk : แด่วันสารภาพรัก (9/5) แด่วันมอบดอกกุหลาบ (14/5) แด่วันบอกรัก (20/5) ในปีแห่งความรักตลอดกาล (2014)

 

เป็นเรื่องราว Spin off ของ Iwish the series – My father is god ค่ะ (3 ตอนจบ) อ่านเรื่องนี้ก่อนค่อยไปอ่านเรื่องนั้น หรืออ่านเรื่องนั้นก่อนแล้วค่อยอ่านเรื่องนี้ หรือไม่ต้องอ่านเลยสักเรื่องก็ได้ค่ะ… ._.)

 

จริงๆ เรื่องนี้ต้องลงตั้งแต่เดือนพฤษภาแล้ว แต่ก็ลากยาวมาถึงสิงหาจนได้ เก๊าขอโต้ดนะ… แล้วก็ขอบคุณข้อมูลเรื่องภาษาจีนจากน้องยู้ฤดี แล้วก็วันมอบดอกกุหลาบจากไอวิชด้วยนะก๊ะ ><

 

ไปอ่านกันต๊ะ…

 

 

 

 

 

เบเนดิกต์ไม่ได้มีเชื้อสายญี่ปุ่น

และเขาก็ไม่ได้มีเชื้อสายจีนหรือเกาหลีเลยด้วยซ้ำ

เอาเป็นว่า ไม่มีอะไรในรูปร่างหน้าตาที่พอจะกระเดียดชาติพันธุ์ไปทางมองโกลอยด์เลยสักนิด

หนำซ้ำเขาก็ไม่ได้มีความรู้ด้านภาษาหรือวัฒนธรรมใดๆ ทางซีกโลกฝั่งตะวันออกอีกด้วย

แต่ที่เขาต้องมายืนท้าลมหนาวในตอนกลางคืนอยู่แบบนี้ ก็เพราะชมรมภาษาและวรรณกรรมเอเชียของมหา’ลัยน่ะสิ

เขายังจำตอนนั้นได้ดี…

 

 

 

 

 

มันเป็นบ่ายวันพฤหัสฯ แรกของเดือนพฤษภาคม เขาและเพื่อนซี้อย่างทอม ฮิดเดิลสตันเพิ่งจะจบคลาสเรียนวิชา ‘กวีนิพนธ์’ ออกมาหมาดๆ แต่สารภาพตามตรงว่าจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าในชั่วโมงเรียนได้เรียนเนื้อหาอะไรไปบ้าง ก็จิตใจมันมัวแต่จดจ่ออยู่กับช่วงเวลาหลังเลิกเรียนมากกว่าน่ะสิ วันนี้เป็นวันพฤหัสฯ นะ! วันที่เขากับศาสตราจารย์ตัวเล็กนั่นมีนัดจะไปดูหนังกันเป็นประจำอยู่แล้ว

 

 

 

แต่ระหว่างที่กำลังเดินอยู่บนระเบียงกว้างใต้ตึกอยู่นั้น ก็มีเด็กสาวหน้าแฉล่มสองคน คนหนึ่งอยู่ในชุดกิโมโนสีชมพูสดใส ส่วนอีกคนอยู่ในชุดฮันบกสีฉูดฉาดบาดตา เธอยื่นแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างมาที่พวกเขาสองคนทันที และแน่นอนว่า ผู้ชายสุภาพและใจดีอย่างทอมย่อมรับมันไว้อยู่แล้ว ในขณะที่เขาแทบจะเมินพวกเธอเสียด้วยซ้ำ พอเห็นเพื่อนซี้ทำแบบนั้นชายหนุ่มผมหยักยุ่งก็ได้แต่ถอนหายใจกับความเป็นคนดีของทอม ฮิดเดิลสตันเหลือเกิน

 

 

 

“แวะมาชมภาพยนตร์ที่ชมรมภาษาและวรรณกรรมเอเชียได้ก่อนนะคะ”

 

 

 

แล้วสองสาวก็ยิ้มหวานละลายใจให้อีกหนึ่งคำรบเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มคนดังของมหา’ลัยรับใบปลิวของเธอไปอ่านอย่างสนอกสนใจ

 

 

 

ทอมยิ้มตอบแม่พวกนั้นไปหนึ่งที ก่อนทั้งสองจะพากันเดินห่างออกมา เบเนดิกต์เริ่มก้าวยาวๆ อีกครั้ง หวังจะออกจากมหา’ลัยแล้วมุ่งตรงไปรอศาสตราจารย์ร่างเล็กที่โรงหนังก่อน แต่แล้วอะไรๆ ก็ไม่เป็นดังคิด เมื่อเพื่อนซี้ของเขาร้องโวยวายออกมาเสียก่อน

 

 

 

“เฮ้ย! เบน ไปดูหนังกันเถอะ!”

 

 

 

เรียวขายาวในกางเกงสีเข้มหยุดเดินทันที ก่อนจะหันมามองคนผมดำที่ยืนอยู่ข้างหลัง ใบหน้าของเพื่อนรักฉายแววตื่นเต้นระคนสนอกสนใจ รูม่านตาขยายราวกับเด็กสาวกำลังตกหลุมรัก รอยยิ้มกว้างเฉิดฉายเต็มใบหน้าบ่งบอกว่ากำลังแฮปปี้มากแค่ไหน ไม่ใช่สิ นี่มันไม่ใช่เวลามาวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อนรักนะ!

 

 

 

เบเนดิกต์ส่ายหัวทันทีที่คิดว่าตัวเองกำลังออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายเดินตรงเข้ามาใกล้พลางยื่นใบปลิวให้เขาดู คนแก่กว่าเหลือบสายตามองไปยังกระดาษแผ่นนั้น มันเป็นใบปลิวเชิญชวนธรรมดาๆ พร้อมกับมีภาพโปสเตอร์หนังในนั้นด้วย ชื่อหนังเป็นตัวอักษรเหมือนภาษาทางเอเชีย น่าจะเป็นอักษรจีน แต่เขียนซับซ้อนน้อยกว่า ดวงตาคมหรี่มองด้วยความสงสัย เขาอ่านไม่ออกหรอกนะ แต่หลังจากที่โดนมาร์ตินบังคับให้ดูหนังรักโรแมนติกมาหลายต่อหลายเรื่อง สถิติมันบ่งบอกว่าหน้าหนังแบบนี้ หนังรักชัวร์ๆ

 

 

 

“ไม่เอาอะ หนังรักแบบนี้นายไปชวนคริสเหอะ ฉันขอตัว บาย!”

 

 

 

บอกลาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว แต่เพียงแค่หันหลังกลับ ผ้าพันคอสีน้ำเงินเข้มของชายหนุ่มผมหยักยุ่งกลับโดนมือนางฟ้าปีศาจกระชากจากด้านหลัง แรงจนแทบหงายเงิบลงไปนอนนับดาววัดพื้น

 

 

 

“เฮ้ย!”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำอุทานออกมาทันทีที่โดนรั้งไว้ เขาหมุนตัวกลับอีกครั้งกะว่าจะจัดการบ่นใส่ทอมเสียหน่อยที่เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง แต่ภาพที่เห็นตรงหน้ากลับทำให้ความคิดนั้นหยุดชะงัก เมื่อเพื่อนซี้ยืนทำตาโต พองลมเข้าแก้ม มือบางกอดอกแน่น อาการอย่างนี้เขาเรียกว่าไม่พอใจสินะ อะ…เผลอวิเคราะห์พฤติกรรมเพื่อนอีกแล้ว

 

 

 

“นายนั่นแหละต้องไปดูกับฉัน”

 

 

 

โอ้ บทจะเอาแต่ใจ ทอม ฮิดเดิลสตันก็ง้องแง้งไม่แพ้ลูกคุณหนูเลยทีเดียว

 

 

 

“ทอม ฟังนะ ฉันมีนัดแล้ว อีกอย่าง นี่มันหนังรัก! ทำไมนายไม่ชวนคริสมันล่ะ แค่นายกระดิกนิ้วนิดเดียว ขี้คร้านอยากได้อะไรหมอนั่นมันก็ยอมตายถวายหัวแล้ว”

 

 

 

ชายผมหยักยุ่งพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะหูหนวกตาบอดสมองขาดออกซิเจน ไม่ฟัง ไม่รับรู้ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น มือบางยังคงกอดอกแน่นพลางพองลมทำแก้มป่องอย่างกับเจ้าเด็กยูจีนเวลาโดนเขาขัดใจยังไงยังงั้น

 

 

 

“จะไปชวนคนที่ขนาดวันวาเลนไทน์ยังไม่มีแม้แต่ดอกไม้ให้ฉันสักดอกให้เสียเวลาทำไม คนไร้ความโรแมนติกแบบเจ้าหมีบ้านั่นฉันไม่ชวนดูหนังรักให้เสียเวลาเปล่าหรอก ดูไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อีกอย่าง วันไหนๆ หมอนั่นก็ติดซ้อมรักบี้ทั้งปีทั้งชาตินั่นแหละ เฮอะ!”

 

 

 

โอเค พูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ตามตำราเขาเรียกว่า ‘งอน’ เฮ้อ งอนแฟนแล้วมาพาลใส่เพื่อนอย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะเฮ้ย

 

 

 

“งั้นนายก็ไปดูคนเดียวเถอะ ฉันถือคติถ้าไม่จำเป็นไม่ดูหนังรักหรอก ไร้สาระ อีกอย่างฉันมีนัด บาย”

 

 

 

ชายหนุ่มในเสื้อโค้ตตัวยาวเตรียมตัวจะหันหลังก้าวออกเดินอีกครั้ง แต่แล้วเสียงเล็กๆ ติดจะไม่พอใจก็ดังขึ้นจากด้านหลัง น้ำเสียงและประโยคที่พูดนั้นราวกับเป็นคำท้าทายจากอัจฉริยะจอมวายร้ายอย่างโมริอาร์ตี้ในเรื่องเชอร์ล็อก โฮล์มส์ไม่มีผิด

 

 

 

“ใครบอกนายว่ามันเป็นหนังรัก?”

 

 

 

เรียวขาหยุดชะงักทันที เบเนดิกต์ยืนนิ่งก่อนจะค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเพื่อนรักที่ยังคงยืนเอามือกอดอกอยู่ด้านหลัง ถึงแม้จะเห็นแววตาสีเขียวนั่นสั่นระริกราวกับกำลังเจอเรื่องสนุกตรงหน้า แต่ก็หาได้ใส่ใจไม่ แถมชั่วแวบหนึ่งเขาก็แอบคิดในใจประมาณว่า นึกว่าทอมจะฉลาดกว่านี้ แต่ก็นะ คนธรรมดาก็คือคนธรรมดาวันยันค่ำ

 

 

 

ชายหนุ่มถอนหายใจแสร้งทำเบื่อหน่ายก่อนจะเดินกลับมายังจุดเดิมที่เพิ่งก้าวออกไปเมื่อกี้ พลางคว้ากระดาษใบปลิวแผ่นนั้นขึ้นมา และเตรียมร่ายยาวแบบวิญญาณเชอร์ล็อก โฮล์มส์แห่งศตวรรษที่ 21 เข้าสิง

 

 

 

“เฮ้อ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายก็เหมือนคนอื่นๆ เสียดายจริงๆ ที่ฉันอุตส่าห์ยกตำแหน่งเพื่อนรักให้นาย นึกว่าระดับไอคิวจะเท่าๆ กันเสียอีก ดูนี่นะทอม ผู้หญิง ผู้ชาย พระนางชัวร์ ยิ้มหวานมีความสุขขนาดนี้ไม่ใช่หนังผีแน่นอน! ส่วนเด็กคนนี้ก็ต้องเป็นลูกแน่ๆ บรรยากาศสีฟ้าสดใส แถมมีทุ่งดอกทานตะวันด้วย ไม่ใช่ซีรีส์ฆาตกรรมโรคจิต เฉือนเนื้อคนมากินแน่ๆ เข้าใจแล้วใช่มั้ย เพราะงั้นฉันไปล่ะ”

 

 

 

หลังจากร่ายยาวโดยไม่ได้สังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายเลยสักนิดจบก็เตรียมตัวจะเดินจากไป แต่แล้วเสียงเพื่อนผู้เป็นติ่งเชคสเปียร์ก็ดังขึ้นอย่างท้าทายอีกครั้ง

 

 

 

“ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าเพื่อนฉันที่ได้ชื่อว่าฉลาดเป็นกรดอย่างกับเชอร์ล็อก โฮล์มส์แห่งศตวรรษที่ 21 มันจะซื่อบื้อมองอะไรไม่แตกขนาดนี้”

 

 

 

ปึด!

 

 

 

เส้นเลือดแอบปูดข้างขมับขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อโดนอีกฝ่ายถากถางเยาะเย้ยเข้าให้ ว่าเขาเพี้ยน ว่าเขาประหลาด ว่าเขาโง่เรื่องความรัก หรือแม้กระทั่งว่าเขาเป็นไอ้คอย่นเขายอมได้ แต่นี่ว่าว่ามองอะไรไม่แตกมันยอมไม่ได้จริงๆ

 

 

 

เจ้าตัวคนถูกเย้ยหยันสูดลมหายใจเข้าปอดหนึ่งที แล้วตีหน้าขรึมค่อยๆ หมุนตัวกลับมาหาเพื่อนรักเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้ ถึงแม้จะหงุดหงิดอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็พยายามปั้นหน้าให้นิ่งที่สุด โดยหารู้ไม่ว่าเนื้อเหนียงบริเวณใบหน้าและลำคอมันกระตุกสั่นพั่บๆ อย่างห้ามไม่อยู่แล้ว

 

 

 

แน่นอนว่า…ทอมก็กลั้นขำไม่ให้หลุดออกมาอย่างสุดความสามารถเช่นเดียวกัน

 

 

 

“ไหนว่ามาซิว่าฉันพลาดอะไรตรงไหน”

 

 

 

กลับมายืนประจันหน้ากับเพื่อนรักด้วยหน้าตาที่ดูเหมือนขึงขัง มือเรียวยกขึ้นกอดอก ใบหน้าคมคายเชิดขึ้นอย่างวางมาด เห็นแบบนั้นแล้วทอม ฮิดเดิลสตันยิ่งขำยกใหญ่ ใบหน้าขาวซับสีเล็กน้อยเพราะอาการกลั้นขำสุดฤทธิ์ ก่อนจะกระแอมไอเพื่อเรียกสติและปรับน้ำเสียงให้จริงจัง

 

 

 

“อะแฮ่ม…คือ นายรู้จัก ‘โคนัน’ มั้ย?”

 

 

 

เรียวคิ้วสวยของชายหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ ก่อนจะส่งเสียงหึในลำคอแล้วเอ่ยตอบออกมาด้วยความมั่นใจ

 

 

 

“ทอม นายคิดว่าฉันโง่เหรอ ทำไมฉันจะไม่รู้จักโคนัน ก็เซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ คนที่เขียนเรื่องเชอร์ล็อก โฮล์มส์ยังไงล่ะ”

 

 

 

พอได้ยินคำตอบอันมั่นอกมั่นใจของเพื่อนรักแบบนั้น ร่างเพรียวก็กำหมัดชูขึ้นฟ้าร้องเยส! ประหนึ่งว่าล่อเหยื่อให้ตกหลุมพรางได้สำเร็จแล้ว นัยน์ตาสีเขียวสวยเปล่งประกายแววระยับด้วยความดีอกดีใจ แต่เพียงวูบเดียวเขาก็ปรับให้มันกลับมาเรียบนิ่งแฝงไปด้วยความดูแคลนอีกฝ่ายมากกว่าเดิม พร้อมยกมือขึ้นพาดบ่าใหญ่ๆ ของคนตรงหน้า ตบปุๆ ทำเหมือนว่าปลอบอกปลอบใจ แล้วแสร้งถอนหายใจหนักๆ ตอกย้ำในความผิดพลาดโง่เง่าของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์เสียอีกหนึ่งที

 

 

 

“นายนี่มัน…”

 

 

 

“อะไร?”

 

 

 

“โง่กว่าที่ฉันคิดไว้อีกนะ”

 

 

 

“เฮ้ย!”

 

 

 

“ก็รู้อยู่หรอกว่าคนที่สอบตก ลงเรียนวิชาเดิมซ้ำสองปีซ้อนอย่างนายมันก็ไม่น่าจะฉลาดอะไรสักเท่าไหร่ แต่ไม่คิดว่าจะ ‘ไม่ฉลาด’ ได้ขนาดนี้น่ะนะ”

 

 

 

“นั่นมัน…”

 

 

 

เบเนดิกต์ทำตาโตเหลือบมองเพื่อนผมดำด้วยความขุ่นใจ ริมฝีปากหยักบางที่อ้าออกเตรียมจะเถียงทันทีที่เพื่อนรักเอ่ยจบประโยคนั้นได้แต่เอ่อๆ อ่าๆ อ้าค้างกลางอากาศแบบนั้นด้วยความที่อยากจะเถียงใจจะขาดแต่ว่าเหตุผลที่เขายอมสอบตกเรียนซ้ำสองปีนั้นเป็นเหตุผลที่ไม่ต้องเอ่ยออกไปให้ใครฟังก็พอจะอนุมานได้ว่าต้องโดนหัวเราะเยาะกลับมาเป็นแน่แท้ เสียงอื้ออึงเลยดังอยู่แต่ในลำคอพร้อมๆ กับดวงตาที่กะพริบปริบๆ ก่อนจะเสมองไปทางอื่นเมื่อสบกับดวงตาสีเขียวมรกตที่จ้องมองมา

 

 

 

เป็นครั้งแรกเลยรึเปล่าที่เขาเถียงอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่บ่อยครั้งเป็นคนชอบพล่ามน้ำไหลไฟดับแท้ๆ

 

 

 

“งั้น…สรุปว่าฉันพลาดตรงไหน?”

 

 

 

ทอม ฮิดเดิลสตันแสร้งทำเป็นถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าแกล้งเพื่อนซี้อีกหนึ่งที ก่อนจะเปล่งเสียงทุ้มติดจะเหนื่อยหน่ายเพื่อเอ่ยประโยคไขข้อข้องใจของเบนให้หมด

 

 

 

“นายรู้จักการ์ตูนญี่ปุ่นที่ชื่อ Case Closed มั้ย?”

 

 

 

ชายหนุ่มผมหยักยุ่งชะงักไปเล็กน้อย เขาโคลงศีรษะเพียงนิดพลางหรี่ตามองอีกฝ่าย ในสมองกำลังประมวลผลข้อมูลมากมายที่เคยผ่านหูผ่านตามา เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นชื่อนี้มาเหมือนกัน ตอนที่เสิร์จหาข้อมูลเกี่ยวกับเซอร์อาเธอร์ โคนัน ดอยล์ในอินเตอร์เน็ตแล้วเหมือนจะมีหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องนี้โผล่มาด้วย

 

 

 

“ก็…เคยผ่านตามาบ้าง แล้วทำไม?”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำตอบอย่างไว้เชิง ใบหน้าคมยังคงเชิดขึ้นอยู่แบบนั้น

 

 

 

“ก็ไม่ทำไมหรอก เพราะหนังที่ฉันชวนนายดูน่ะ มันเป็นเรื่อง Case Closed ภาคคนแสดงน่ะสิ!”

 

 

 

“หา?”

 

 

 

“หาอะไรล่ะ ก็นี่ไง เด็กนี่คือนักสืบชื่อโคนัน ผู้หญิงคนนี้ก็แฟน แล้วนี่ก็ลุงที่เป็นนักสืบไง อะไร…แค่นี้ก็ดูไม่ออก วู้!”

 

 

 

ดวงตาสีฟ้าอมเขียวที่เต็มไปด้วยความกังขามองหน้าเพื่อนอย่างงงงัน ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพื่อนพูดมากนัก ก่อนจะยกกระดาษในมือขึ้นแล้วจ้องไปที่โปสเตอร์หนังเรื่องนั้นอีกครั้ง นึกเจ็บใจที่ตัวเองไม่มีความรู้ด้านภาษาทางเอเชียไว้บ้าง ไม่อย่างงั้นคงเอามาเถียงกับเพื่อนรักชนะไปแล้ว

 

 

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลยังคงจ้องมองใบปลิวแผ่นนั้นไม่วางตา สังเกตสังกาทุกอย่างเพื่อหาหลักฐานแย้งว่ายังไงมันก็เป็นหนังรักแน่ๆ อย่างหนัก สมองเริ่มทบทวนภาพที่เคยผ่านตาเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้

 

 

 

มันเป็นหนังสือการ์ตูนปกสีน้ำตาลๆ หน้าปกจะมีเด็กผู้ชายหัวโตๆ ยืนเก๊กท่าเท่ๆ อยู่ เป็นเรื่องของเด็กไฮสคูลคนหนึ่งที่ไปพัวพันกับองค์กรชุดดำเลยโดนจับกินยาพิษ แต่แทนที่จะตายกลับกลายเป็นว่าร่างกายหดเป็นเด็กประถมแทน โง่ชะมัด นี่ถ้าเขาเป็นคนทำยาพิษนั่น ไอ้หนุ่มคนนั้นตายแน่ ไม่มีทางที่จะกลายเป็นเด็กแบบนั้นแล้วย้อนกลับมาเล่นงานองค์กรได้หรอก เฮอะ

 

 

 

หลังจากนั้นเจ้าเด็กนั่นเลยต้องไปอยู่บ้านคนรักที่มีพ่อเป็นนักสืบ จะได้คอยตามข่าวของพวกองค์กรนี้ เรื่องราวก็ประมาณนี้ แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด เจ้าเด็กหัวโตนั่นมัน…

 

 

 

“นายมั่วแล้วทอม เจ้าเด็กที่เป็นตัวเอกมันต้องใส่แว่นเซ่!”

 

 

 

คนโดนกล่าวหาว่ามั่วสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ ทอมไม่คิดว่าเพื่อนตัวดีจะมีข้อมูลของเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่น้อย ดวงตาสีเขียวมรกตสั่นระริกด้วยอาการตื่นตระหนก หากตอนนี้สมองของเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์กำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อเอามาตีแผ่ความจริงเกี่ยวกับไอ้การ์ตูนญี่ปุ่นยอดนักสืบนั่น สมองของทอม ฮิดเดิลสตันก็กำลังรวบรวมข้อมูลอย่างหนักเพื่อเอามาแถให้เพื่อนยอมแพ้ให้จงได้

 

 

 

“นะ…นายนี่มัน…ช่างไม่รู้อะไรเลยนะ”

 

 

 

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาถึงจะจับได้ว่าสั่นแบบคนไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เบเนดิกต์กลับอยากรู้มากกว่าว่าเพื่อนจะแก้ตัวเรื่องเจ้าเด็กใส่แว่นนี่ยังไง

 

 

 

“นี่มันเป็นเวอร์ชั่นมูฟวีนะ เด็กนี่มันเลยไม่ใส่แว่นยังไงล่ะ”

 

 

 

พอได้ยินแบบนั้นชายหนุ่มผมหยักยุ่งก็กลับเถียงอะไรไม่ออก ถึงแม้จะคิดว่าโดนเพื่อนหลอก แต่พอฟังเหตุผลที่บอกว่ามันเป็นคนละเวอร์ชันกับหนังสือการ์ตูน เหตุผลต่างๆ นานาที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ก็เริ่มจะสั่นคลอนและไขว้เขว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อมั่นในความจำอันเป็นเลิศของตัวเองอยู่ดี

 

 

 

“…งั้นตาลุงนี่ล่ะ”

 

 

 

“ก็บอกแล้วไงว่าเป็นเวอร์ชันมูฟวี โคนันก็เลยไม่ใส่แว่น ลุงนักสืบนี่ก็ไม่มีหนวด นายเห็นนี่มั้ย? ทุ่งดอกทานตะวัน มันเป็นฆาตกรรมในห้องปิดตาย! จู่ๆ ก็พบศพปริศนาถูกทิ้งไว้กลางทุ่งดอกทานตะวัน ไม่มีรอยเท้าเดินย่ำเข้าหรือย่ำออกจากทุ่งเลย จู่ๆ ก็เหมือนกับว่าศพมันตกลงมาจากฟ้าหรือผุดขึ้นมาจากพื้นดินอย่างงั้นแหละ!”

 

 

 

ดวงตาสีฟ้าอมเขียวสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไว้ไม่อยู่ ไอ้นิสัยอยากรู้อยากเห็นหรือชอบเอาตัวไปคลุกคลีกับเรื่องประหลาดๆ นี่มันแก้ไม่หายจริงๆ พอได้ยินอะไรที่เป็นปริศนาเข้าหน่อย ความรู้สึกนึกคิดว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญก็ลืมเลือนไปเสียอย่างนั้น มันบดบังแม้กระทั่งไม่คิดเอะใจเลยสักนิดว่าที่เพื่อนพูดมามันจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่

 

 

 

แต่ถึงแม้ในใจจะก้าวเดินตามหลังเพื่อนรักและแม่สองสาวในชุดกิโมโนและฮันบกเข้าห้องฉายหนังไปแล้วก็ตาม แต่กายหยาบยังคงยืนอยู่ที่เดิมตรงหน้าเพื่อนและแสร้งตีหน้าขึงขัง วางฟอร์มว่ายังไม่อยากไปดูหนังตามความตั้งใจเดิมที่หมายมั่นเอาไว้ คิดในใจว่าขืนปล่อยไต๋ให้เพื่อนรู้ว่าเขายอมแพ้และโอนอ่อนตามทอม มีหวังหมอนั่นล้อเขาตาย

 

 

 

แล้วเรื่องอะไรที่ทอม ฮิดเดิลสตันรู้ ไอ้เจ้าหมียักษ์หุ่นนักกีฬาอย่างคริส เฮมส์เวิร์ธก็ต้องรู้ด้วย ซึ่งเขาไม่อยากจะแพ้เจ้าซื่อบื้อนั่นหรอกนะ

 

 

 

“ก็ตามใจ ฉันไปดูคนเดียวก็ได้ เฮ้อ…อุตส่าห์คิดว่าวันนี้จะได้ดูเชอร์ล็อก โฮล์มส์ไขคดีแข่งกับเจ้าหนูยอดนักสืบจิ๋วโคนันเสียอีก ไอ้เรารึก็อยากรู้ว่าระหว่างคนจริงๆ กับตัวการ์ตูนใครมันจะเก่งกว่ากัน แต่ถ้านายไม่อยากไปดูก็ไม่เป็นไร…ฉันไปดูเองคนเดียวก็ได้”

 

 

 

พูดพลางค่อยๆ เดินผ่านหน้าเพื่อนรักผมหยักยุ่งไปอย่างช้าๆ เบเนดิกต์ที่ยืนกอดอกทำหน้านิ่งอยู่นั้นถึงกับหมุนตัวกลับมาคว้าต้นแขนเพื่อนเอาไว้ ชายหนุ่มผมดำหันกลับมามองเพื่อนรักด้วยความรู้สึกว่าตนเป็นผู้ชนะ แต่ก็ทำเนียนเล่นละครต่อ ตีหน้าสงสัยกลับไป

 

 

 

“อะไรของนาย? อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจจะไปดูหนังกับฉันแล้ว?”

 

 

 

เบเนดิกต์เม้มปากแน่น ดวงตาคู่สวยกลอกขึ้นลงแบบกำลังใช้ความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จะเดินตามหลังทอมไปง่ายๆ ก็ดูเสียฟอร์มซะเหลือเกิน แต่จะแถแก้ตัวอะไรออกไป คนฉลาดๆ อย่างทอมก็น่าจะรู้ทันเขาอยู่ดี

 

 

 

แต่เอาวะ…สารภาพไปตรงๆ เลยดีกว่า อายเฉยๆ ดีกว่าแก้ตัวแล้วก็ต้องอายอีก

 

 

 

“ใช่”

 

 

 

ตอบไปสั้นๆ คำเดียว แต่ร่างเพรียวตรงหน้าก็ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อในคำพูด ชายหนุ่มผมดำหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางเอนตัวไปด้านหลังอย่างไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ เรียวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มในผ้าพันคอสีน้ำเงินถอนหายใจเฮือกออกมา มือใหญ่ปล่อยแขนเพื่อนให้เป็นอิสระ แล้วล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ตของตน สมาร์ตโฟนเครื่องใหญ่ถูกหยิบขึ้นมา เรียวนิ้วรัวข้อความลงไปเพียงครู่เดียวก็กดส่ง ก่อนจะยื่นหน้าจอที่ยังคงมีข้อความนั้นในกรอบบับเบิลสีเขียวส่งให้อีกฝ่ายดูเพื่อคลายสงสัย

 

 

 

‘ขอโทษที วันนี้ผมคงไปด้วยไม่ได้แล้วล่ะ’

 

 

 

ไม่ต้องมีประโยคใดเอ่ยตอบออกมาอีก รอยยิ้มกว้างขวางผุดพรายขึ้นบนใบหน้าเนียนขาว จากที่ตอนแรกเป็นฝ่ายถูกคว้าแขน บัดนี้ทอม ฮิดเดิลสตันกลับเอื้อมมือไปข้างหน้าแล้วคว้าแขนชายหนุ่มผมสีน้ำตาลมาคล้องไว้กับแขนตน อารมณ์ดีจนไม่ได้สนใจจะสังเกตชื่อของคนที่เบเนดิกต์ปฏิเสธนัดว่าเป็นใคร ขาสองคู่ก้าวเดินออกไปพร้อมๆ กัน แน่นอนว่าจุดหมายปลายทางคือห้องฉายหนังของชมรมภาษาและวรรณกรรมเอเชีย

 

 

 

และหนังฆาตกรรมในทุ่งดอกทานตะวันปิดตายกำลังรอเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์อยู่…

 

 

 

 

 

ซะที่ไหนล่ะ!

 

 

 

ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลหยักยุ่งนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอย่างคนขัดอกขัดใจอยู่บนเก้าอี้พลาสติกสีขาวที่ตั้งเรียงรายเป็นแถว เรียวขายาวในกางเกงสีเข้มไขว่ห้าง แผ่นหลังกว้างเอนตัวพิงพนักด้านหลัง ทิ้งน้ำหนักลงไปจนขาเก้าอี้สองขาหน้าลอยหวือขึ้นมาจากพื้นเล็กน้อย แขนแกร่งในเสื้อโค้ตตัวยาวกอดอกแน่น แน่นอนว่าตอนนี้เขากำลังหงุดหงิดอยู่เต็มประดา!

 

 

 

เขาสาบานกับตนเองไว้เลยว่า ต่อไปนี้จะไม่เชื่อคำพูดใดๆ ของเจ้าเพื่อนตัวดีอีกแล้ว ไหนล่ะโคนัน! ไหนล่ะนักสืบ! ไหนล่ะฆาตกร! ไหนล่ะฆาตกรรมในทุ่งทานตะวัน! ไม่มีอะไรเลยสักนิด บ้าจริง!

 

 

 

หนังเริ่มต้นด้วยภาพธรรมชาติ ป่าริมทะเลสาบ เสียงนกร้องจิ๊บๆ ดวงตาสีฟ้าอมเขียวของชายหนุ่มเปล่งประกายเพราะเริ่มเรื่องมาก็ได้กลิ่นถึงความลี้ลับแล้ว นอกจากฆาตกรรมกลางทุ่งดอกทานตะวัน น่าจะมีพวกฆาตกรโรคจิตฆ่าเหยื่อแล้วเอาศพหมกป่าด้วยแน่ๆ

 

 

 

หลังจากนั้นภาพก็ตัดเป็นผู้ชายขี่มอเตอร์ไซค์ ตัดสลับกับภาพใครบางคนกำลังเอาไข่ตอกใส่ในกระทะ พอถึงจุดนั้นความเอะใจก็เริ่มพุ่งขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเสียงเพลงงุ้งงิ้งมันเริ่มดังขึ้น แต่เขาก็ยังไม่อยากคิดอะไรมาก และไม่อยากจะโวยวายกระโตกกระตากประจานความซื่อบื้อของตัวเองด้วย ก็เลยทนนิ่งเงียบไม่ถามอะไรเพื่อนซี้ที่นั่งมองจอภาพด้วยใจจดใจจ่อ

 

 

 

เอาน่ะ คิดในแง่ดี มันอาจจะเป็นฆาตกรที่เลียนแบบดอกเตอร์ฮันนิบาล เลคเตอร์ก็ได้ ถึงมีทำอาหงอาหารแบบนี้น่ะ

 

 

 

แต่ยิ่งดูไปนานเข้า เสียงเพลงมุ้งมิ้งก็ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ภาพเด็กหนุ่มเดินออกไปเปิดประตูต้อนรับคนขับมอเตอร์ไซค์ ตามมาด้วยบทสนทนาปริศนาประมาณว่างานนี้เป็นงานสุดท้ายของตาลุงคนนั้นแล้ว และก็มอบกล่องของขวัญหนึ่งกล่องให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น พร้อมกับกล่าวสุขสันต์วันเกิด อืม…หรือว่าในกล่องนั่นจะมีชิ้นส่วนมนุษย์อยู่?

 

 

 

แล้วภาพก็ตัดไปเป็นเด็กหนุ่มคนเดิมกำลังขี่จักรยานไปในป่า แม้ท่วงทำนองเพลงยังคงดูเป็นหนังฟีลกู้ดอยู่ แต่เบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ก็คิดเข้าข้างตัวเองไปว่า เจ้าเด็กนี่ต้องเป็นฆาตกรฆ่าหั่นศพแล้วก็เอาศพไปทิ้งในป่าแน่นอน

 

 

 

แต่พอสามนาทีผ่านไป เสียงเพลงโลกสวยก็ดังขึ้นพร้อมๆ กับภาพชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเดินจับจูงมือลูกชายตัวน้อยอยู่ตรงกลางนั้นก็ฉายชัดขึ้น และมันก็ชัดเลย! นี่มันหนังรักชัดๆ!

 

 

 

ทอม ฮิดเดิลสตัน!

 

 

 

ชายหนุ่มหันขวับไปทางเพื่อนรักทันทีพร้อมๆ กับเสียงโทรศัพท์มือถือของทอมที่แผดเสียงลั่น มือขาวยกขึ้นตรงหน้าเขาเป็นเชิงห้าม ก่อนจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองไปยังโทรศัพท์มือถือที่สั่นกึกๆ อยู่ในมือ พอเห็นหน้าเพื่อนที่ไม่สู้ดีนักเขาจึงชะเง้อก้มมองไปยังหน้าจอบ้างว่าใครกันที่โทรมาแล้วทำให้เพื่อนเขาทำหน้าแบบคนถ่ายไม่ออกขนาดนี้

 

 

 

มันเป็นชื่ออนุบาลอะไรสักอย่าง เขาอ่านไม่ทันเพราะทอมกดรับเสียก่อน คนนั่งข้างๆ เขาคุยอะไรกับปลายสายอยู่สองสามประโยค ก่อนจะทำตาโตตกใจแล้วลุกพรวดยืนขึ้น หันมาขอโทษขอโพยแล้วก็ผลุนผลันวิ่งออกไปจนแทบไม่เห็นฝุ่น ปล่อยให้เขานั่งแกร่วมองแผ่นหลังเล็กๆ ในเสื้อเชิ้ตสีสว่างหายลับสายตาไป

 

 

 

เรือนผมสีน้ำตาลเข้มเอนตัวพิงกับพนักเก้าอี้อีกครั้งอย่างแรงพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ โอเค หนังฆาตกรรมก็ไม่มีให้ดู ไอ้คนตัวตั้งตัวตีอยากดูก็ดันมีธุระกะทันหันแล้วทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว ที่หนักสุดก็คือ…จะกลับไปหาศาสตราจารย์ร่างเล็กนั่นก็ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นมีนัดกับใครคนอื่นไปแล้วหรือยัง ไม่น่าพลาดปฏิเสธนัดสำคัญวันนี้เพราะไอ้คำท้าบ้าๆ เล้ย ให้ตายเหอะ!

 

 

 

เมื่อเห็นว่านั่งอยู่ตรงนี้ต่อไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา ถึงแม้หนังที่ฉายอยู่ก็ดูจะมีสาระและน่าสนุกดี แต่อย่างที่บอกว่ามันไม่ถูกจริตกับคนอย่างเขาสักเท่าไหร่ เรียวขายาวที่ไขว่ห้างอยู่เลยตวัดออกแล้วลุกขึ้นหยัดยืนเต็มความสูงโดยไม่ได้เกรงอกเกรงใจว่ามันจะบังคนที่นั่งข้างหลังแม้แต่น้อย เขาเดินอาดๆ ออกไปนอกห้องฉายหนังด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ตลอดริมผนังของห้องถัดมาเต็มไปด้วยบอร์ดที่จัดแสดงนิทรรศการความรู้ต่างๆ เกี่ยวกับภาษาและวรรณกรรมเอเชียเอาไว้

 

 

 

ดวงตาเรียวกวาดตามองบอร์ดต่างๆ เพียงแว้บเดียวก็ถอนหายใจและเตรียมตัวจะหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไปจากห้องชมรมแห่งนี้ แต่แล้วกลับสะดุดตากับหัวข้อที่ติดอยู่บนบอร์ดนั้น

 

 

 

‘2014 รักคุณตลอดกาล’

 

 

 

เหมือนกับมีบางอย่างดึงดูดเข้าไปใกล้ เบเนดิกต์ค่อยๆ ก้าวเท้าไปหยุดยืนอยู่หน้าบอร์ดนั้น ดวงตาจับจ้องไปยังหัวข้อที่อยู่ด้านบนสุดด้วยความสงสัย ปีค.ศ.2014 มันเกี่ยวอะไรกับรักคุณตลอดกาลอย่างงั้นหรือ

 

 

 

“มันเป็นคำพ้องเสียงของภาษาจีนน่ะค่ะ คำอ่านของปี 2014 พ้องเสียงกับคำว่า รักคุณตลอดกาลในภาษาจีนน่ะค่ะ”

 

 

 

ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ หันไปมองต้นเสียงที่ดังมาจากด้านข้าง หญิงสาวในชุดกิโมโนสีชมพูที่แจกใบปลิวให้เขากับทอมนั่นเอง พอเธอเห็นเขาหันไปมองก็ระบายยิ้มกว้างออกมาเล็กน้อย

 

 

 

“แล้วทำไมถึงบอกว่าเดือนพฤษภาเป็นเดือนแห่งความรักล่ะ? ทั้งๆ ที่จริงๆ มันควรจะเป็นเดือนกุมภาพันธ์ไม่ใช่หรือ?”

 

 

 

เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามอย่างรัวเร็ว ยอมรับว่าเรื่องของวัฒนธรรมฝั่งตะวันออกนี่เขามีความรู้น้อยมากจริงๆ หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มหวานให้อีกครั้งก่อนจะเอ่ยตอบเสียงใส

 

 

 

“สำหรับวัฒนธรรมฝั่งตะวันตกน่ะใช่ค่ะ ว่าเดือนกุมภาพันธ์คือเดือนแห่งความรัก แต่สำหรับพวกเราที่ตอนนี้เล็งเห็นว่า เดือนพฤษภาคมนั้นเหมาะที่จะเป็นเดือนแห่งความรักมากกว่านั่นก็เพราะว่า…”

 

 

 

หญิงสาวร่ายประโยคบอกเล่ายาวออกมาเสียนานสองนาน หลักใหญ่ใจความที่เขาจับได้ก็คือ ในเดือนพฤษภาคมนี้ มีวันที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความรัก’ อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นวันสารภาพรัก ซึ่งตรงกับวันที่ 9 พฤษภาคม ในภาษาญี่ปุ่นนั้นไปพ้องเสียงกับคำว่า ‘สารภาพรัก’ พอดี หนุ่มสาวแดนอาทิตย์อุทัยเลยใช้วันนี้เป็นวันเผยความในใจให้คนที่ตนรักได้รู้ หรือจะเป็นวันมอบดอกกุหลาบที่ตรงกับวันที่ 14 พฤษภาคม ในวัฒนธรรมของประเทศเกาหลี รวมไปถึงวันที่ 20 และ 21 พฤษภา ที่สามารถแผลงเป็นคำอ่านได้ว่า ฉันรักเธอ ในภาษาจีนอีกด้วย

 

 

 

อืม…นี่มันเหยื่อทางการตลาดชัดๆ! เชื่อสิว่าพวกร้านค้าและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความรักต่างๆ ต้องเร่งผลิตสินค้าขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับแคมเปญพวกนี้แน่ๆ แค่เดือนเดียวก็มีวันที่ต้องแสดงออกว่ารักกันถึงสี่วันแล้ว!

 

 

 

ชายหนุ่มยิ้มแหยๆ ให้กับหญิงสาวตรงหน้า แล้วเอ่ยขอตัวลาเพื่อปลีกตัวจากสถานการณ์ตรงนี้ แต่แล้วเสียงเดิมที่อธิบายความให้เขาฟังก็ดังขึ้นอีกครั้ง

 

 

 

“ถ้ายังไงคืนนี้ลองชวนเธอมาดูพระจันทร์ด้วยกันสิคะ”

 

 

 

“…”

 

 

 

ร่างสูงชะงักกึกแล้วหันหลังกลับมามองหญิงสาวในชุดกิโมโนสีชมพูอีกครั้ง เสียงหวานๆ เอ่ยบอกอย่างเย็นเยียบ รอยยิ้มของเธอดูมีเสน่ห์เย้ายวนในแบบฉบับของหญิงสาวชาวญี่ปุ่น แต่ไม่รู้ทำไม…พอเขาเห็นหน้าขาวๆ แบบนั้นทีไรมันพานให้คิดถึงสารพัดสารพันผีที่โผล่มาในหนังฝั่งเอเชียยังไงก็ไม่รู้…

 

 

 

 

 

ต้นเดือนพฤษภาคมอากาศยังคงความเย็นอยู่บ้าง แม้จะไม่หนาวจับขั้วหัวใจเหมือนฤดูหนาวตอนต้นปีมากนัก แต่ในช่วงเวลาหัวค่ำแบบนี้ แค่ลมที่พัดผ่านผิวแก้มก็ทำเอาชายหนุ่มที่ยืนกอดอกอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนกว้างหน้าชาไปได้เหมือนกัน

 

 

 

ดวงตาสีสวยเหลือบมองท้องฟ้าเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ เขายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ฟ้ายังคงสว่าง จนกระทั่งมันเปลี่ยนเป็นสีส้มอมแดง และไม่นานมันก็มืดสนิท ยืนรอแบบนี้มาสักสองถึงสามชั่วโมงได้แล้ว แต่คนที่อยากเห็นหน้าก็ยังไม่โผล่มาเสียที

 

 

 

“เฮ่อ”

 

 

 

โทรศัพท์มือถือถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง นิ้วเรียวกดเข้าไปยังกล่องข้อความของศาสตราจารย์ตัวเล็ก ประโยคล่างสุดคือข้อความชวนให้อีกฝ่ายมาดูพระจันทร์ด้วยกันที่สวนแห่งนี้ มันลอยเด่นอยู่ในกรอบบับเบิลสีเขียว แต่จนบัดนี้เขาก็ยังยืนแกร่วอยู่คนเดียว นั่นตีความได้สองความหมาย คือ มาร์ตินยังไม่ได้อ่านข้อความ หรืออ่านแล้วแต่ไม่มา

 

 

 

ชายหนุ่มจ้องไปที่โทรศัพท์เครื่องนั้นอย่างชั่งใจ ในใจนึกอยากโทรไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า แต่การโทรไปหาใครต่อใครนั้นไม่ใช่วิสัยเขาแม้แต่น้อย

 

 

 

ถึงแม้จะเป็นศาสตราจารย์ร่างเล็กนั่นก็เถอะ…

 

 

 

มือใหญ่เก็บเจ้าเครื่องมือสื่อสารลงกระเป๋าเสื้อโค้ตก่อนจะกำกุญแจดอกเล็กที่ใส่อยู่ในกระเป๋าเดียวกันแน่น อยากจะไปหามาร์ตินที่ห้องเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าระหว่างที่กำลังเดินทางไปหานั้นจะสวนกับอีกฝ่ายที่อาจจะกำลังมาหาเขาที่สวนแห่งนี้ก็เป็นได้

 

 

 

เขาคลายกุญแจดอกเล็กที่กำไว้เมื่อครู่ออก ก่อนจะตัดสินใจเดินไปยังม้านั่งตัวยาวที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเมื่อตระหนักได้ว่าอาจจะยังต้องรออยู่ที่นี่อีกหลายชั่วโมง เรียวขาตวัดไขว่ห้างทันทีที่ก้นสัมผัสกับแผ่นไม้ เอนหลังพิงกับพนักแล้วเงยหน้ามองฟ้าอีกครั้ง วันนี้ท้องฟ้ามืดมิด เห็นเพียงแสงเล็กๆ กระจายตัวห่างๆ อยู่สองสามดวง ชายหนุ่มคิดบ่นอยู่ในใจที่วันนี้อุตส่าห์นัดคนสำคัญมาดูพระจันทร์ด้วยกันแท้ๆ แต่บรรยากาศกลับไม่เป็นใจสักนิด

 

 

 

ดวงตาสีฟ้าอมเขียวเพ่งมองไปยังสวนเบื้องหน้าท่ามกลางแสงไฟสีส้มนวลจากเสาไฟฟ้า อีกหนึ่งเหตุผลที่เขาเลือกนัดมาที่สวนแห่งนี้ก็เพราะที่นี่มีสวนแบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า Kyoto Garden นี่ล่ะ ก็…ไหนๆ จะชวนมาดูพระจันทร์แบบแฝงความนัยตามธรรมเนียมญี่ปุ่นแล้ว เขาก็ขอเลือกสถานที่ให้เข้ากับบรรยากาศหน่อยแล้วกัน

 

 

 

คำพูดของหญิงสาวในชุดกิโมโนสีชมพูดังก้องขึ้นในหัวอีกครั้ง

 

 

 

‘สำหรับคนญี่ปุ่นนั้น การชวนมาดูพระจันทร์แล้วชมว่า พระจันทร์สวยดีนะ หรือที่ภาษาญี่ปุ่นพูดว่า Tsuki ga kirei desu ne แค่นั้นก็โรแมนติกสุดๆ แล้วล่ะค่ะ เพราะฉะนั้นคนที่เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมต้องรู้เรื่องนี้ดีแน่นอนค่ะ’

 

 

 

เขาก็เลยหวังว่า…ผู้ชายบ้าอ่านหนังสือ บ้าวรรณกรรมแบบมาร์ตินน่าจะรู้เรื่องนี้ดีนะ

 

 

 

ชายหนุ่มมองไปยังท้องฟ้ามืดๆ อีกครั้ง ดวงตาสอดส่ายไปมาเพื่อหาพระจันทร์ดวงโต แต่แย่ชะมัด คืนนี้พระจันทร์หยุดทำงานหรือไงถึงไม่โผล่ออกมาให้เขาเห็นแบบนี้น่ะ

 

 

 

“แล้วแบบนี้จะพูดว่า คืนนี้พระจันทร์สวยจังเนอะ ได้ยังไงล่ะ”

 

 

 

“นั่นสิ ก็นี่มันคืนเดือนมืด นายมองเห็นพระจันทร์ก็บ้าแล้ว จะมาพระจันทร์สวยจังน้งจังเนอะอะไรกัน บ้ารึเปล่า”

 

 

 

จู่ๆ เสียงเล็กๆ ก็ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดของธรรมชาติที่รายล้อมชายหนุ่มอยู่ เบเนดิกต์ที่พูดยังไม่ทันขาดคำดีก็มีเสียงของคนที่อยู่ในห้วงคำนึงโผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว เล่นเอาร่างสูงผงะถอยไปด้านข้างอย่างตกตะลึง

 

 

 

มาร์…มาร์ติน ฟรีแมนโผล่มาได้ไง!?

 

 

 

ร่างเล็กในเสื้อเชิ้ตลายตารางสีขาวน้ำตาลสวมทับด้วยคาร์ดิแกนเนื้อบางสีแดงเลือดหมูยืนอยู่ด้านหลังม้านั่งที่ร่างสูงนั่งอยู่ เอาศอกเท้ากับพนักพิงหลังแล้วประสานมือโน้มตัวไปด้านหน้าพลางเหม่อมองท้องฟ้าไปด้วย ปากอิ่มสีชมพูอ่อนพูดบ่นงึมงำใส่คนเด็กกว่า ก่อนจะหันไปมองหน้าไอ้ตัวต้นเรื่องที่ส่งข้อความยกเลิกนัดดูหนัง ทำให้เขาน้อยอกน้อยใจยกใหญ่ แต่จู่ๆ ก็ส่งข้อความชวนมาดูพระจันทร์แบบไม่ได้รู้สี่รู้แปดเลยว่า วันนี้มันเป็นคืนเดือนมืด! จะไปมีพระจันทร์ให้ชมได้ยังไงกันล่ะ บ้าจริง

 

 

 

ใบหน้าน่ารักติดออกจะมุ่ยด้วยความน้อยใจอยู่เป็นทุนเดิมจ้องมองไปยังอีกฝ่ายที่นั่งหน้าเอ๋ออยู่บนม้านั่งยาว ร่างสูงอ้าปากพะงาบๆ เหมือนพยายามจะพูดอะไรสักอย่างแต่เสียงกลับไม่ยอมออก คนตัวเล็กขมวดคิ้วมุ่นรอลุ้นในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดออกมาอย่างอึดอัดใจ

 

 

 

“เอ่อ อ่า คือ…สุ…สุ…”

 

 

 

เบเนดิกต์นึกแปลกใจที่ตัวเองอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออกแบบนี้ ทั้งๆ ที่ปกติพูดพล่ามกับคนตัวเล็กได้อย่างไม่มีติดขัด แต่ครั้งนี้กลับแปลกไป หรือเป็นเพราะภาษาที่ต้องการสื่อสารมันเป็นคำที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่อาจรู้ได้

 

 

 

ให้ตายสิ! อุตส่าห์ท่องมาตั้งนาน มาลืมง่ายๆ แบบนี้ได้ไงเล่าเบเนดิกต์!

 

 

 

“อะไรของนาย ไม่เอาแล้ว กลับบ้านดีกว่า เสียเวลาชะมัด”

 

 

 

ในที่สุดศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวรรณกรรมก็สิ้นสุดความอดทน ความน้อยเนื้อต่ำใจยังคงหลงเหลืออยู่เต็มอก เมื่อบ่ายแก่ๆ ตอนที่ลูกศิษย์ตัวโตส่งข้อความมายกเลิกนัดโดยที่ไม่บอกล่วงหน้าแถมยังไม่อธิบายถึงเหตุผลใดๆ นั่นก็ทำให้เขาขุ่นเคืองใจมากพอแล้ว แต่พอได้รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกลับทำให้เสียใจมากกว่า ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่สิ เพราะใครที่ทำให้นัดของเขาถูกยกเลิกแบบนี้ เพราะตอนที่ข้อความถูกส่งมา มันเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาเห็นทั้งสองคนเดินควงแขนไปตามระเบียงกว้างนั่นด้วยท่าทางมีความสุข

 

 

 

แค่นั้นก็ทำให้ช้ำใจได้มากพอแล้ว…

 

 

 

มาร์ตินยืดตัวขึ้นเต็มความสูงก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วก้าวเดินจากไป ทิ้งให้ลูกศิษย์ตัวดีนั่งอยู่เบื้องหลังแบบนั้นอย่างไม่สนใจไยดี นึกโทษตัวเองว่าไม่น่าใจอ่อนยอมดั้นด้นออกจากแฟลตมาตั้งไกลเพื่อมาหาหมอนี่เลย รู้อย่างนี้ปล่อยให้นั่งรอทั้งคืนให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า

 

 

 

แต่ก้าวไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงทุ้มต่ำของคนที่อยู่ข้างหลัง เปล่งคำพูดบางอย่างออกมาด้วยภาษาที่ฟังแล้วไม่ใช่ภาษาอังกฤษแน่ๆ

 

 

 

“สุ…สุคิเดส!”

 

 

 

พอได้ยินชัดๆ เต็มสองรูหู ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาวรรณกรรมก็ถึงกับอึ้งไป ถึงแม้เขาจะไม่ได้เชี่ยวชาญภาษาเอเชียหรือภาษาญี่ปุ่นมากนัก แต่การดูหนังรักของแดนอาทิตย์อุทัยบ่อยๆ ก็ทำให้เขารู้ดีว่า ไอ้ประโยคเมื่อกี้ที่ลูกศิษย์ร่างสูงพูดนั่นหมายความว่าอย่างไร

 

 

 

ใครสั่งใครสอนให้พูดอะไรบ้าๆ กลางที่สาธารณะแบบนี้เนี่ย!?

 

 

 

มาร์ตินยืนนิ่งอยู่แบบนั้นด้วยไม่รู้จะทำตัวยังไง ปกติแล้วหมอนี่ไม่เคยพูดอะไรตรงๆ ออกมาแบบนี้เลยสักครั้ง ได้แต่แสดงออกในแบบที่เจ้าตัวคิดว่าอยากให้เขารับรู้ว่าเขาเป็นคนสำคัญสำหรับหมอนั่นมากแค่ไหน แต่ครั้งนี้กลับสารภาพรักออกมา…แถมเป็นภาษาอื่นเสียด้วย! โอ้…พรุ่งนี้น้ำจะท่วมลอนดอนมั้ยเนี่ย

 

 

 

ขณะที่กำลังคิดเพ้อเจ้อเข้าข้างตัวเองไปเรื่อยเปื่อยนั้น คนตัวสูงกว่าก็เดินเข้ามาใกล้ มือใหญ่เอื้อมไปกอบกุมมือเล็กๆ เอาไว้ ก่อนจะดึงรั้งอีกฝ่ายให้เอนแผ่นหลังมาแนบชิดพร้อมวางคางลงบนไหล่เล็กๆ นั่น

 

 

 

“นาย…นายรู้ตัวรึเปล่าว่านายพูดอะไรออกมา”

 

 

 

น้ำเสียงสั่นๆ หลุดออกมาจากเรียวปากอิ่มของมาร์ตินอย่างยากลำบาก ยิ่งพอวงแขนแกร่งโอบตวัดรัดร่างเขาไว้ เลือดในกายมันก็สูบฉีดจนลมหายใจและคำพูดติดๆ ขัดๆ ไปเสียหมด

 

 

 

“รู้สิ”

 

 

 

พอได้พูดภาษาอังกฤษ เสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นตรงกันข้ามกับตอนแรกที่เอ่ยประโยคน่าอายออกมาอย่างสิ้นเชิง

 

 

 

“รู้แล้วยังกล้าพูดในที่สาธารณะแบบนี้อีกน่ะเหรอ”

 

 

 

คนตัวเล็กก้มหน้างุดๆ ซ่อนใบหน้าที่เขินอายไว้จนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนตกลงปรกใบหน้า ถ้าตอนนี้เอาปรอทมาวัดไข้เขา มีหวังปรอทแตกไปแล้วล่ะ ก็เล่นพูดด้วยน้ำเสียงเซ็กซี่อยู่ข้างหูเขาแบบนี้จะไม่ให้เขินได้ไงเล่า

 

 

 

“ดึกแล้ว ไม่ค่อยมีคนหรอก”

 

 

 

“นี่ นาย…”

 

 

 

“อีกอย่าง ผมพูดชมพระจันทร์ว่าสวย ไม่เห็นน่าอายตรงไหนเลย ก็เข้ากับบรรยากาศดีออกนะมาร์ติน ถึงแม้ว่ามันจะไม่เห็นพระจันทร์ก็เถอะ แต่คำนี้น่ะ ผมอุตส่าห์ท่องจำมาแล้วก็เลยอยากจะพูดกับคุณจริงๆ นะ เห็นว่าอาจารย์โซๆ เซๆ อะไรสักอย่างของญี่ปุ่นพูดไว้นี่แหละ ผมก็เลย เอ๋…มาร์ตินเป็นอะ…โอ๊ย! ผมเจ็บนะ ต่อยทำไม โอ๊ย!”

 

 

 

ฟังยังไม่ทันจบข้อความที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ จากไอ้ที่หน้าแดงเพราะเขินอายก็เปลี่ยนเป็นหน้าแดงเพราะโกรธ หน็อยแน่ะ ที่พูดออกมาเมื่อกี้นั่นเพราะตั้งใจจะชมพระจันทร์หรอกเรอะ! ไม่ได้ตั้งใจจะสารภาพร้งสารภาพรักสินะ ฮึ่ม…

 

 

 

ศาสตราจารย์ภาควิชาวรรณกรรมหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับลูกศิษย์จอมซื่อบื้อก่อนจะง้างหมัดแล้วต่อยเปรี้ยงเข้าไปตรงบริเวณแก้มแล้วกระทืบซ้ำลงไปที่เท้าของร่างสูงอีกที นี่ต้องขอบคุณเขานะที่ยังปรานีไม่ต่อยให้โดนปากกับจมูกน่ะ ฮึ!

 

 

 

“นายมันบ้า! เป็นคนยกเลิกนัดแท้ๆ ทำฉันเสียใจขนาดไหน ขอโทษสักคำก็ไม่มี แถมยังมาพูดจาบ้าๆ แบบนี้อีก เคยคิดถึงฉันบ้างมั้ย! พรุ่งนี้ไม่ต้องโผล่หน้าบ้าๆ ของนายไปขัดขวางการสอนพิเศษของฉันที่บ้านยูจีนเลยนะ ถ้านายกล้ามาล่ะก็…เรา-จบ-กัน”

 

 

 

พูดจบก็สะบัดหน้าพรืดกึ่งเดินกึ่งวิ่งพรวดๆ ออกไปเรียกแท็กซี่ที่ริมถนนแล้วหายลับไปอย่างรวดเร็วอย่างกับพายุบุแคม ทิ้งให้ชายหนุ่มผมหยักยุ่งยืนเขย่งขาเดียวกระโดดไปมาพร้อมยกมือกุมแก้มข้างที่โดนต่อยด้วยความสงสัยว่าตัวเองทำผิดอะไร ถึงจะนึกเอะใจหน่อยๆ ก็เถอะว่า ไอ้ประโยคชมพระจันทร์มันยาวกว่าประโยคที่ตนเองพูดออกไปอยู่บ้าง แต่ก็คิดเองเออเองว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา…

 

 

 

ก็แค่พูดคำว่า สุคิเดส

แล้วไหงมาร์ตินถึงโกรธขนาดนี้ล่ะ?

 

 

 

ก็ไหนบอกว่าถ้าคนที่เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมจะเข้าใจการชวนมาดูพระจันทร์นี่นา แล้วนี่อะไร? หรือว่าไอ้การที่ตั๊นหน้าเขาแล้วกระทืบเท้าซ้ำอีกทีนี่คืออาการเขินของมาร์ติน?

 

 

 

เห็นบอกว่ามันโรแมนติกหรอกนะ เขาเลยยอมทนหนาวอยู่แบบนี้ตั้งหลายชั่วโมงน่ะ ยัยหน้าขาวในชุดกิโมโนนั่นโกหกกันชัดๆ!

 

 

 

 

เจ็บตัวก็เจ็บ ฉากสวีตก็ไม่มี แถมพรุ่งนี้โดนสั่งไม่ให้ไปบ้านยัยเด็กยูจีนนั่นอีกต่างหาก นี่สรุปแล้วไม่มีอะไรดีเลยนะเนี่ยชวนมาดูพระจันทร์เนี่ย หรือว่ามันมีอะไรผิดพลาด?

 

 

 

งานนี้คงต้องบุกไปหอของทอม ติ่งเชคสเปียร์ผู้เชี่ยวชาญด้านวรรณกรรมอีกคนเพื่อถามเรื่องนี้ให้รู้เรื่องซะแล้ว!

 

 

 

 

 

The End

 

 

 

 

 

Talk again : เรื่องนี้เปิดโหมดเบิร์นอย่างจริงจัง (เผาฟิค…) ตอนจบดูห้วนๆ ไปนิด แต่นึกมุกไม่ออก แง้ T^T มีใครรู้มั้ยคะว่าหนังโลกสวยที่เบนถึงกับเดินหนีออกจากโรง(?)นั่นเรื่องอะไร หุๆ เป็นหนังเรื่องที่เราชอบมาก ดูกี่ทีก็น้ำตาร่วงเป็นเผาเต่า T^T

 

พูดถึงในเรื่องนิดนึง คือการพูดชมว่าพระจันทร์สวยดีนะ เมื่อสมัยก่อนอาจารย์นัตสึเมะ โซเซกิท่านได้แปลคำว่า I love you เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า Tsuki ga kirei desu ne เพื่อหลีกเลี่ยงการบอกรักตรงๆ ค่ะ (ในสมัยนั้นยังเหนียมอายเรื่องแบบนี้กันอยู่) แต่สมัยนี้คงไม่มีใครมาพูดแบบนี้แล้วหรอกนะ… แล้วคือพี่เบนแกก็คงไม่รู้หรอกว่าไอ้นี่น่ะมันคือคำบอกรัก แกคงคิดของแก (ด้วยสมองแบบเชอร์ล็อก โฮล์มส์) ว่ามันคงจะเป็นคำพูดที่ฟังแล้วโรแมนติกเฉยๆ อะไรทำนองนี้น่ะค่ะ ._.) แต่ไอ้คำว่า สุคิเดส ที่พี่เบนพูดนั้นมันแปลตรงตัวว่า ‘ชอบ’ เลยล่ะค่ะ (ซึ่งเป็นคำบอกรักที่คนญี่ปุ่นนิยมใช้กันในปัจจุบันด้วย) ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชมพระจันทร์เลยสักนิด แหะๆ ^^;;

 

เอาเป็นว่า ขอบคุณที่ติดตามค่า m(_ _)m เรื่องหน้าเราจะพาบินไปเยอรมนีหรือยังอยู่ที่ลอนดอนอยู่ดีนะ… (วิ่งหลบรองเท้า)

 

ป.ล. ยังไม่ได้ทำสารบัญฟิคสักที ฮื้ออออ T[]T